ตอนที่ 664 รักษาความลับ
ก่อนที่กู่ฉิงซานจะทันได้ถามประโยคนี้ สภาพแวดล้อมโดยรวมก็เงียบงันลงไปแล้ว
ขณะเดียวกัน เอกสารฉบับใหม่ในมือของพนักงานก็กำลังคลี่ออกอย่างช้าๆ
เอกสารนี้ถูกขีดเขียนไว้ด้วยตัวอักษรมากมาย ยามเมื่อถูกคลี่โดยสมบูรณ์ โดมโปร่งใส่ก็กระจายออกจากมัน เข้าปกคลุมรอบตัวเขา รวมไปถึงเซี่ยเต๋าหลิงและจ้าววงการคนอื่นๆ
แผนกกิจการอาชีพโลกที่ฟุ้งไปด้วยเสียงดัง บัดนี้ถูกตัดขาดออกไปอยู่ภายนอก
พนักงานกระแอมและกล่าว “ตามมาตราเจ็ดสิบเจ็ด ของบทที่ห้า วรรคที่สี่ แห่งสหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้น ระบุเอาไว้ว่า สถานะผู้หวนคืนจะต้องถูกเก็บเป็นความลับ จะต้องได้รับความช่วยเหลือและสนับสนุนที่ดีในระดับหนึ่ง”
“ขอทุกท่านโปรดใช้เจตจำนงจิตวิญญาณของตนในการทำข้อตกลงเพื่อรักษาความลับนี้ด้วย”
พนักงานส่งเอกสารให้เฉินหยาง “พี่ใหญ่ ได้โปรดให้ความร่วมมือด้วย”
“แน่นอน เพราะนั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น” ขณะกล่าว เฉินหยางก็ยื่นนิ้วออกไป และเคาะลงบนเอกสารด้วยความสุข
อีกสามจ้าววงการก็ยื่นมือออกไปสัมผัสลงบนเอกสารเช่นกัน
เซี่ยเต๋าหลิง หนิงเยว่ฉาน และเหลิงเทียนสิงก็กดมือลงบนเอกสาร
พนักงานเก็บเอกสารอย่างระมัดระวัง เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาจึงค่อยผ่อนคลายลง
เขาหันไปทางกู่ฉิงซานและกล่าว “ตอนนี้ ผมจะอธิบายถึงสถานะของคุณอย่างเป็นทางการ...”
“รบกวนด้วย” กู่ฉิงซานกล่าว
พนักงานกำลังจะเอ่ยปาก แต่ก็ถูกหยุดไว้โดยเฉินหยางเสียก่อน
“เจ้าทำหน้าที่แค่นี้ก็พอแล้ว ในเมื่อคนอื่นๆ ต่างก็ลงนามรักษาความลับ” เฉินหยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้น ไอ้คำพูดที่ดูเป็นทางการน่ะไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะท้ายที่สุดนี้ แม้เจ้าจะพยายามใช้คำลวงกู่ฉิงซานอย่างไร สุดท้ายข้าก็ต้องบอกความจริงแก่เขาในภายหลังอยู่ดี”
พนักงานยิ้มอย่างขมขื่นและหุบปากลง
เฉินหยางกอดอก พลางกล่าวกับกู่ฉิงซาน “เจ้าทราบเรื่องที่เหล่าทวยเทพได้สร้างโลกขึ้นมาหรือไม่?”
“ผมพอจะรู้มาบ้าง” กู่ฉิงซานตอบตามตรง
เฉินหยาง “ในสมัยโบราณกาล ก่อนที่เทพวิญญาณจะสร้างโลกขึ้น เดิมทีมันมีโลกที่พิเศษจำนวนหนึ่งอยู่ก่อนแล้ว มันก็ต้องเป็นเช่นนั้นน่ะซี เพราะอย่างไรเสีย ในยุคโบราณ ทวยเทพก็ไม่ได้ปรากฏตัวมาจากในความว่างเปล่าเสียหน่อย แต่พวกเขานั้นมีที่อยู่อาศัยตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
“โลกเหล่านั้นเป็นดินแดนของเทพวิญญาณ นอกเหนือไปจากเทพวิญญาณแล้ว ก็มีเฉพาะเพียงตัวตนที่แข็งแกร่งและได้รับความโปรดปรานจากเทพวิญญาณเท่านั้น ถึงจะได้รับเชิญจากเทพ ให้ไปยังโลกที่ว่า เดินทางมายังโลกอันเจริญรุ่งเรืองภายใต้การคุ้มครองของเหล่าทวยเทพ”
“ถึงแม้ว่าผู้แข็งแกร่งเหล่านี้จะไม่ใช่ลูกหลานของทวยเทพ แต่เนื่องจากความสามารถอันยอดเยี่ยม และอำนาจอันทรงประสิทธิภาพ ผสานไปกับการได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ได้เปรียบ ส่งผลให้ความสามารถของพวกเขาทวีมากขึ้น มีอำนาจมากขึ้น ไปไกลเกินกว่าที่คนทั่วไปจะสามารถเข้าใจได้”
“ในยุคนั้น โลกของเทพวิญญาณและโลกเก้าร้อยล้านชั้นยังคงเชื่อมต่อกัน และตราบใดที่ได้รับอนุญาตจากเทพวิญญาณ ไม่ว่าใครก็จะสามารถข้ามผ่านไปมาระหว่างโลกของเทพวิญญาณกับโลกตนเองได้”
“แต่ภายหลัง เมื่อวันสิ้นโลกได้มาถึง เทพวิญญาณได้หายตัวไป โลกเหล่านั้นก็ถูกตัดขาดการเชื่อมต่อออกไปเช่นกัน”
“ผู้คนที่อาศัยอยู่ในโลกเทพวิญญาณไม่สามารถออกมาได้ ขณะเดียวกันคนนอกก็ไม่สามารถเข้าไปได้”
“มีคนกล่าวกันว่า ผู้ที่อยู่ในโลกเทพวิญญาณ จักสามารถหลบลี้จากวันสิ้นโลก และใช้ชีวิตเป็นอยู่ที่ดีได้”
“อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีผู้คนบางส่วนในโลก ได้ใช้วิธีการที่พิเศษบางอย่าง สังเกตเห็นถึงหายนะของโลกเก้าร้อยล้านชั้น ค้นพบว่าโลกนับล้านล้านใบได้ถูกทำลายลง สิ่งมีชีวิตมากมายต้องประสบกับความทุกข์ทรมาน”
“จึงเกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายขึ้น”
“บางคนรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องใส่ใจเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ภายนอก เพราะมันไม่เกี่ยวอะไรกับตัวเขา เพียงแค่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในโลกที่เทพวิญญาณทิ้งไว้ก็เพียงพอแล้ว”
“ขณะที่บางคนคิดว่าสิ่งนั้นมันหาได้ส่งผลดีไม่ เพราะสุดท้ายแล้วโลกของเทพวิญญาณก็คงไม่อาจหลบหนีจากโชคชะตา ยิ่งไปกว่านั้น ในโลกภายนอกยังมีทั้งเรื่องที่เขากังวล หรือผู้คนที่เขายังคงห่วงใย”
“ด้วยเหตุนี้เอง ฝ่ายหลังจึงต้องการที่จะหลบหนีออกจากโลกเทพ ต้องการที่จะกลับเข้าสู่โลกเก้าร้อยล้านชั้น เพื่อต่อสู้ร่วมกันกับเรา ช่วยกันฟันฝ่าวิกฤต”
“ทว่าโลกของเทพวิญญาณนั้นได้ถูกตัดขาดไปแล้วโดยสมบูรณ์ มันไม่มีใครนอกเหนือไปจากเทพที่จะสามารถเปิดช่องว่างมิติ เพื่อให้พวกเขาสามารถกลับมายังโลกเก้าร้อยล้านชั้นได้อีกครั้ง”
“ทว่าท้ายที่สุด ก็มีผู้หลักแหลมคนหนึ่งที่สามารถคิดค้นวิธีการหนึ่งขึ้นมาได้”
“นั่นคือ ‘การส่งจิตวิญญาณกลับมาเกิดใหม่’ แยกจิตตนออกจากร่างกาย เพื่อออกไปค้นหาสถานที่ที่จะกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งท่ามกลางโลกเก้าร้อยล้านชั้น”
“แต่ข้อเสียของการกลับมาเกิดใหม่ก็คือ จิตวิญญาณจะถูกผนึกความทรงจำเอาไว้ชั่วคราว และความสามารถทั้งหมดจะถูกสลายไป มีเพียงจิตบริสุทธิ์เท่านั้นจึงจะสามารถมาเกิดใหม่ในโลกได้”
“ผู้ที่มีประสบการณ์เกิดใหม่ทางจิตวิญญาณจะมีลักษณะเฉพาะบางอย่างต่างออกไป อย่างเช่น มีความปรารถนาอันแรงกล้าและยาวนาน สามารถข้ามผ่านไปมาระหว่างหนึ่งถึงสองโลกได้ มีความเกี่ยวข้องกันกับสิ่งประดิษฐ์เทวะที่ทรงพลัง มีความสามารถพิเศษดั่งได้รับการประทานพรจากเหล่าทวยเทพ แต่ก็มีน้อยคนนัก ที่หลังจากจิตวิญญาณกลับมาเกิดใหม่ แล้วจะสามารถปลดผนึกความทรงได้เลยในทันทีที่ปรากฏตัว!”
“คนเหล่านี้ที่กลับชาติมาเกิดจากโลกเทพวิญญาณ พวกเราจะเรียกกันว่าผู้หวนคืน”
“เมื่อเติบใหญ่ พวกเขาจะเข้าสู่สถานะแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างรวดเร็ว”
“ผู้หวนคืนน่ะคือคนที่ยินยอมละทิ้งชีวิตที่มั่นคงในโลกเทพวิญญาณ และหันมาอุทิศตนเพื่อโลกเก้าร้อยล้านชั้น เป็นตัวตนที่น่านับถือ และยังเป็นผู้ช่วยเหลือที่ทรงพลังอีกด้วย”
“กล่าวโดยสรุปแล้ว โลกเก้าร้อยล้านชั้นน่ะยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อนรับผู้หวนคืน!”
เฉินหยางมองดูกู่ฉิงซาน และกล่าวอธิบายด้วยรอยยิ้ม
สายตาของเขาในเวลานี้ มันไม่เหมือนกับการมองน้องชายคนเล็กของพี่ใหญ่อีกต่อไป แต่มันเป็นสายตาที่มองดูชายผู้แข็งแกร่งในฐานะที่เท่าเทียมกัน
และสายตาของจ้าววงการคนอื่นๆ ก็มองเขาเฉกเช่นเดียวกัน
กู่ฉิงซานหันไปมองนางเซียนไป่ฮั่วด้วยความสับสน
ก่อนหน้านี้ นางเซียนเองก็ต้องการที่จะบอกเขาถึงความลับเกี่ยวกับผู้หวนคืนเช่นกัน แต่เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวที่สาวกคนอื่นๆ อยู่ นางจึงมิได้กล่าวมันออกไป และหันไปพูดอย่างอื่นแทน
นางเซียนไป่ฮั่วพยักหน้าให้เขา
“ถูกต้องแล้ว ฉิงซาน มันเป็นไปได้มากทีเดียวที่เจ้าจะเป็นผู้หวนคืน เพราะเจ้ามีความผูกพันกับโลกเทวะ” เซี่ยเต๋าหลิงสารภาพ
แรกเริ่มเดิมที โลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์น่ะมันไม่มีชื่อ จนกระทั่งหลังจากที่ได้ผสานรวมเข้ากับโลกเทวะ ผู้คนในโลกจึงค่อยตระหนักได้ว่าโลกของตนจำเป็นต้องมีชื่อเรียก เพื่อที่จะได้สามารถแยกความแตกต่างกับโลกอื่น
ดังนั้นผู้ฝึกยุทธ์จึงไม่เสียเวลาคิดให้มากความ พวกเขาเลยเรียกโลกของตนเองหลังจากการผสานรวมว่าโลกเทวะโดยตรง
กู่ฉิงซานรับฟังเฉินหยางและเซี่ยเต๋าหลิงอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เขาอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจลึก
ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างผิดปกติกับเรื่องนี้
เห็นได้ชัดว่าในชีวิตก่อนหน้า เขากำลังจะตายในสงคราม แต่จู่ๆ ก็ถูกส่งกลับมาจุติ แล้วทำไมเขาถึงถูกเข้าใจว่าเป็นผู้หวนคืนกันนะ?
หรือว่าการตรวจสอบสถานะของท่านหญิงแบล็กซีจะผิดพลาดกันแน่?
แต่เธอแข็งแกร่งกว่าเฉินหยางนี่นา ดังนั้นมันไม่ควรที่จะผิดพลาดสิ
อีกอย่าง เขาก็จดจำสิ่งต่างๆ ในชีวิตก่อนหน้าของตนได้อย่างชัดเจน
เขาไม่เคยอาศัยอยู่ในโลกเทพวิญญาณเสียหน่อย!
…ใช่แล้วล่ะ
ตนนึกออกแล้ว ว่าในช่วงระหว่างการคัดเลือกคุณสมบัติของหน้าใหม่ คล้ายกับว่ามีเสียงของผู้หญิงกำลังพูดกับตัวเอง
ว่าแต่คนๆ นั้นเป็นใครกัน ใช่ท่านหญิงแบล็กซีหรือไม่?
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือออกไป แตะลงบนดาบยาวตรงเอว
ดาบขุนเขาเทวะหกโลกา
ฉานนู่สามารถแหกทุกกฎเกณฑ์ได้
แม้จะไม่แน่ใจ แต่บางทีฉานนู่อาจจะได้ยินได้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก็ได้
แต่ตอนนี้ มันไม่ใช่เวลาที่จะมาสอบถามถึงมัน เอาไว้เขาอยู่คนเดียวเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน
กู่ฉิงซานเต็มไปด้วยความสงสัย แต่เขาก็มิได้เผยท่าทีใดๆ เลย เพียงแสดงออกถึงสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยเท่านั้น
ซึ่งการแสดงออกและห้วงอารมณ์ดังกล่าว มันสอดคล้องกับปฏิกริยาที่เขาควรจะแสดงออกมา
“เอาล่ะ” พนักงานกล่าว “ในเมื่อทุกท่านได้ลงนามข้อตกลงทางจิตวิญญาณกันแล้ว ฉะนั้น ไฟล์ส่วนตัวของกู่ฉิงซานก็จะถูกอัพเกรดให้ไปเป็นระดับ ‘ความลับ’ และคนส่วนใหญ่จะไม่ได้รับอนุญาตให้อ่านมัน”
เขาหยิบไพ่สามใบออกมา แล้วส่งสองใบให้แก่กู่ฉิงซานและหนิงเยว่ฉานตามลำดับไพ่ ขณะที่อีกใบหนึ่งสะบัดไปในความว่างเปล่าและหายไป
“หน้าใหม่ทั้งสามจะได้รับไพ่หน้าใหม่ การคัดกรองหน้าใหม่อาชีพผู้ฝึกยุทธ์ได้สิ้นสุดลงแล้ว”
พนักงานกล่าวกับเซี่ยเต๋าหลิงและคนอื่นๆ
เขาโค้งคำนับแก่เฉินหยางและเหล่าจ้าววงการ “หากไม่มีธุระอะไรแล้ว ผมคงต้องขอตัวก่อน”
“อืม ไปเถอะ เพราะเจ้าเป็นคนขยันแบบนี้นี่เอง งานมันถึงได้ออกมาดี” เฉินหยางหัวเราะ
“ว่าแต่ไพ่มันนี้จะใช้งานมันได้อย่างไรกัน?” หนิงเยว่ฉานถามด้วยความสงสัย
“เมื่อคุณกล่าวชื่อของตัวเองออกไปในเวลาที่ถือมัน มันจะพาคุณข้ามผ่านโลกนับล้านล้านใบ ตรงไปยังสถานีด่านหน้าของดินแดนชิงอำนาจโดยตรง” พนักงานหันกลับมาอธิบาย
“ด้วยไพ่ใบนี้น่ะหรือ?” หนิงเยว่ฉานถามย้ำอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ถูกต้อง สถานีด่านหน้าคือโลกมิติอนันต์ ซึ่งเป็นของสหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้นที่ถูกเชื่อมต่อไว้กับไพ่ใบนี้”
“และคุณจะต้องไปรายงานตัวภายในเวลาหนึ่งชั่วโมง”
หยุนจีมองหนิงเยว่ฉานและเตือน “อา...สาวน้อย ฉันรู้สึกถูกชะตากับเธอจัง ดังนั้นเลยอยากจะขอเตือนอะไรสักประโยคหนึ่ง”
“อาวุโสเชิญกล่าว” หนิงเยว่ฉานประสานกำปั้นด้วยความเคารพ
“จงอย่าดูถูกไพ่ ห้ามดูถูกผู้ใช้ไพ่โดยเด็ดขาด มิฉะนั้นเธอจะต้องประสบกับปัญหา และรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งที่สบประมาทอีกฝ่ายไปในก่อนหน้านี้” หยุนจีกล่าว
เฉินหยางไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ เขาเอ่ยเสริม “และเจ้าควรจะอยู่ให้ห่างจากผู้ใช้ไพ่ พวกเขามักจะหลงตัวเอง และวิปลาส”
“พวกเขามักจะจัดการสิ่งต่างๆ จากในมุมมองของตัวเอง และไม่เคยคิดถึงคนอื่นๆ เลย” แขนจักรกลอดไม่ได้ที่จะกล่าว
“และหลังจากที่พวกเขาได้ทำในสิ่งที่ตนต้องการแล้ว พวกเขาจะรู้สึกว่ามันช่างสมบูณณ์แบบ แต่เชื่อฉันเถอะ หนูจะไม่รู้สึกยินดีในสิ่งที่พวกเขาทำหรอก” พี่หมีว่าต่อ
จ้าววงการทั้งสี่กล่าวจบ ทั้งหมดต่างก็ถอนหายใจ มองกันและกันอย่างเข้าอกเข้าใจ
“…” หนิงเยว่ฉาน
“ผู้น้อย…จะจดจำไว้” เธอประสานกำปั้นให้อีกฝ่าย
จ้าววงการทั้งสี่ถึงกับเตือนเป็นเสียงเดียวกัน เรื่องนี้จึงถูกประทับลึกลงในจิตใจของหนิงเยว่ฉานทันที
หากกระทั่งตัวตนทรงอำนาจก็ยังต้องทนทุกข์กับมัน เธอก็จะระมัดระวังให้ถึงที่สุด
‘ผู้ใช้ไพ่’
ตนเองจะไม่ญาติดีกับผู้ใช้ไพ่โดยเด็ดขาด!
กู่ฉิงซานมองอาจารย์ตน ก่อนจะหันไปมองเหล่าจ้าววงการอีกครั้งและกล่าวลา “เช่นนั้นพวกเราคงต้องไปแล้ว”
เซี่ยเต๋าหลิงกระตุ้นเตือน “อืม หลังจากเจ้าไป จงจดจำเอาไว้ว่าหากพบเผชิญกับอันตรายจริงๆ ก็ขอให้หลบหนีเสีย เพราะในสถานที่อย่างเช่นดินแดนชิงอำนาจ ตราบใดที่เจ้าสามารถรอดชีวิตไปได้ จะวิธีการใดมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายใดๆ”
“อาจารย์เจ้าพูดถูกแล้วนะ” เฉินหยางตบไหล่เขา “แม้ว่าเจ้าจะเป็นผู้หวนคืนก็ตาม แต่ความทรงจำของเจ้ายังไม่ตื่นขึ้น ดังนั้นจะเป็นการดีที่สุดที่จะไม่ประมาท เพราะถ้าตาย ทุกอย่างก็เป็นอันจบ”
จ้าววงการคนอื่นๆ พยักหน้า
หยุนจีกล่าว “หากมันไม่ไหวจริงๆ ก็ใช้ด้ายมิติของเสี่ยวเหมียว หนีกลับไปยังสมาคมกำปั้นเหล็กได้เลย”
“พวกเราสมาคมกำปั้นเหล็กไม่มีใครถอยหนีกันหรอก” กู่ฉิงซานตบลงบนหน้าอกเขา
“แม้ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ถึงตายก็ไม่คิดจะหนีหรือ?” หยุนจีถาม
กู่ฉิงซานกล่าวเด็ดขาด “แน่นอนว่าจะไม่หนี...ยกเว้นในกรณีที่ทางสมาคมมีเรื่องเร่งด่วนต้องจัดการ ผมถึงจะรีบกลับไปในทันที”
เฉินหยางสรรเสริญ “ถ้าไม่พูดถึงเรื่องความแข็งแกร่งแล้วล่ะก็ เจ้านี่มันเหมือนกับแบรี่เสียจริงๆ”
กู่ฉิงซานยิ้ม และหันไปมองหนิงเยว่ฉาน
หนิงเยว่ฉานพยักหน้า
ทั้งสองกำไพ่ในมือ และเอ่ยปากพร้อมกัน
หนิงเยว่ฉาน “ข้าหนิงเยว่ฉาน”
กู่ฉิงซาน “ข้ากู่ฉิงซาน”
พริบตานั้นรังสีแสงก็สาดออกมาจากตัวไพ่ทันที ห่อหุ้มกายเขาและเธอ หายวับไปจากแผนกกิจการอาชีพโลก
…………………………………………….