webnovel

0652 ทุกคนจะได้มีความสุข

ตอนที่ 652 ทุกคนจะได้มีความสุข

“สวัสดีเฉินหยาง ผมไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับคุณที่นี่” กู่ฉิงซานทักทายด้วยรอยยิ้ม สรรพนามที่ใช้เรียกขานของเขาเปลี่ยนไป

ช่วงก่อนหน้านี้ในอัลเบอัส ระหว่างรอราชินีหนามขึ้นสรรเสริญและมอบรางวัล แบรี่ได้พากู่ฉิงซานเข้าไปแนะนำตัวกับเพื่อนๆ ของเขา

และเฉินหยางเองก็เป็นหนึ่งในเพื่อนของแบรี่ที่อยู่ที่นั่น

ในฐานะที่เป็นถึงหนึ่งในพี่ใหญ่ในบรรดาจ้าววงการ ดังนั้นเมื่อเขานำรุ่นเยาว์คนหนึ่งมาแนะนำตัวกับทุกคน จึงย่อมเป็นธรรมดาที่เพื่อนๆ ของแบรี่จะให้ความสนใจกับกู่ฉิงซาน

และผลที่ปรากฏต่อหน้าพวกเขาทั้งหลายก็คือ หน้าใหม่คนนี้มิได้ตื่นเวทีเลย แถมพื้นฐานวรยุทธ์ส่วนตนหากเทียบกับอายุแล้วก็นับว่าอยู่ในอันดับต้นๆ วิธีการพูดคุยก็ดูไม่เสแสร้ง ดังนั้นทุกคนจึงยินดีที่จะพูดคุยกับเขา

ในเวลานั้น กู่ฉิงซานได้ทิ้งความประทับใจดีๆ เอาไว้กับเหล่าจ้าววงการมากมาย

โดยรวมแล้ว สรุปได้ว่าการเปิดตัวของกู่ฉิงซานด้วยฝีมือของแบรี่ ประสบผลสำเร็จอย่างแท้จริง

ชายที่ชื่อว่าเฉินหยางกล่าว “หลังจากวันนั้น ข้าก็ยังไม่ได้เห็นแบรี่ในบ่อนกาสิโนเลย แต่ข้าได้ยินมาว่าเขากับเสี่ยวเหมียว ออกไปเที่ยวกับเจ้า”

“ใช่ครับ ทางฝั่งเขายังปกติดี ผมเลยแยกตัวออกมาก่อน ส่วนเรื่องอาหารดูเหมือนว่าพวกเขาจะชอบมันมากๆ ดังนั้นพวกเขาก็น่าจะยังสบายดี”

ระหว่างกล่าว กู่ฉิงซานก็หันไปส่งสายตาให้เซี่ยเต๋าหลิง สื่อกลายๆ ว่าเธออย่าเพิ่งทำอะไรในเวลานี้

“แล้วพวกเขาเลือกที่จะติดบิลทิ้งเอาไว้อีกหรือเปล่าล่ะคราวนี้?” เฉินหยางหัวเราะ

“ไม่แน่นอน เพราะคราวนี้ผมเป็นคนจ่ายมันทั้งหมดเอง” กู่ฉิงซานตบลงบนหน้าอกของเขา

“โห? อย่างงั้นหรือ? เช่นนั้นเมื่อไหร่เจ้าจะพาข้าไปเที่ยวบ้างเล่า?”

“ฮ่าๆ นั่นไม่มีปัญหาเลยครับ ครั้งต่อไปผมจะพาพี่ชายเฉินไปด้วยกันอย่างแน่นอน”

เฉินหยางพยักหน้าและกล่าว “เช่นนั้นก็ดี ดูข้าสิ ข้ามักจะถูกอัญเชิญมาเป็นผู้ชี้ขาด นี่มันช่างน่าเบื่อจริงๆ ไม่เคยจะได้เล่นไพ่อย่างสงบๆ ซักที...ว่าแต่เจ้ามาทำอะไรที่นี่กัน?”

กู่ฉิงซานตอบ “พอดีว่าผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเกี่ยวกับอาจารย์ของผม ดังนั้น หลังจากที่ได้ตระเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับแบรี่และเสี่ยวเหมียวแล้ว ผมเลยกลับมาหาท่าน”

“นางเป็นอาจารย์ของเจ้างั้นหรือ?”

เฉินหยางเอียงศีรษะ มองผ่านกู่ฉิงซานไปยังเซี่ยเต๋าหลิง

กู่ฉิงซานแนะนำ “ใช่ นี่คืออาจารย์ของผมชื่อว่าเซี่ยเต๋าหลิง ท่านอาจารย์ แขกผู้มาเยี่ยมเยือนนิกายของพวกเราท่านนี้คือตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการ ผู้เป็นจ้าวโลกในชั้นสามร้อยเก้าสิบถึงหกร้อยหกสิบหก เป็นผู้ทรงเกียรติที่มีชื่อว่าเฉินหยาง”

เซี่ยเต๋าหลิงเก็บแส้ ประสานสองมือโค้งกายคำนับ “ยินดีที่ได้พบท่านผู้ทรงเกียรติ”

เฉินหยางกลับกลายเป็นจริงจัง เขารับการคำนับและกล่าวอย่างสุภาพ “เมื่อครู่ที่ข้าพูดไม่ดีใส่เจ้า ต้องขออภัยด้วยนะ”

ว่าจบ เขาก็หันมาตำหนิคนข้างกาย “ฉิงซาน เจ้าเด็กนี่ ถ้าอยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรกแล้วทำไมถึงไม่พูด ข้าเลยต้องมาทำอะไรไม่จำเป็นเลยเห็นไหม”

เฉินหยางเอื้อมมือออกไป และเริ่มพรมลงในอากาศที่ว่างเปล่า

ทั่วทั้งห้องโถงใหญ่ จู่ๆ ก็ปรากฏถึงเส้นแสงสีดำนับไม่ถ้วน กระจุกตัวกันหนาแน่นเผยขึ้น

และสิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ เส้นแสงสีดำเหล่านี้ติดอยู่ตามแขนขา และส่วนต่างๆ บนร่างกายของเซี่ยเต๋าหลิง และแน่นอนว่าทางฝั่งแปดอาวุโสก็เช่นกัน

เซี่ยเต๋าหลิงและแปดอาวุโสมองดูเส้นสีดำที่สาดแสงประหลาดเหล่านี้ด้วยความสงสัย

เมื่อได้สติกลับคืน ทั้งหมดก็เริ่มทำการรับรู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรอบคอบ แต่กลับพบว่าตามร่างกายของตนเองบัดนี้ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่คาดว่าน่าจะเป็นตั้งแต่ที่แสงสีดำนี้ติดกับตัวของพวกเขา ทั้งหมดก็ไม่อาจรู้สึกอะไรได้อีกเลย

ด้วยสองมือที่พรมลงอย่างต่อเนื่องของเฉินหยาง เส้นแสงสีดำที่รายล้อมเซี่ยเต๋าหลิง เส้นแล้วเส้นเล่าก็ค่อยๆ ถูกเก็บรวบรวมโดยเขาจนสิ้น

ระหว่างที่กำลังเก็บรวบรวมเส้นแสงสีดำ เฉินหยางก็อธิบาย “เจ้าพวกแปดก้อนอึนั่นข้าไม่สนใจหรอก แต่ที่สำคัญก็คือ เทคนิคเต๋าของอาจารย์เจ้า มันคือสกิลเทวะประเภทการกระทำ(กรรม) ที่สามารถข้ามผ่านขอบเขต และอาจทำร้ายผู้คนได้ ดังนั้นข้าจำต้องป้องกันมันเอาไว้ก่อน”

“ข้าต้องขออภัยด้วยที่สร้างปัญหาแก่ท่าน” เซี่ยเต๋าหลิงขอโทษ

“โอ้ ไม่ ไม่หรอก อันที่จริงแล้วเป็นข้าต่างหากที่สร้างปัญหาแก่เจ้า”

เฉินหยางอธิบายอย่างรวดเร็ว “ ‘ตรวนแห่งความสิ้นหวัง’ ของข้าอาจจะหลงเหลือพลังงานบางอย่างทิ้งไว้อยู่รอบๆ ตัวเจ้าอีกสักหนึ่งถึงสองชั่วยาม ”

“ในช่วงเวลานั้น ตัวเจ้าจะบังเกิดความคิดมืดมนมากมายขึ้นในจิตใจ ทว่าด้วยจิตแห่งเต๋าของเจ้า คาดว่าไม่นานก็สมควรที่จะต้านทานมันได้”

เขามองมายังกู่ฉิงซาน และตำหนิเจ้าตัวอีกครั้ง “เจ้าเนี่ยนะ ทำไมถึงไม่ยอมออกมาตั้งแต่แรกเล่า”

กู่ฉิงซานพูดอะไรไม่ออก

‘ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเอ็งเป็นคนถูกเชิญมาที่นี่ แต่แสร้งทำเป็นขรึมไม่ยอมชายตามองข้าเอง จนกระทั่งข้ามาหยุดยืนต่อหน้า...เป็นแบบนี้แท้ๆ แล้วยังคิดจะมาตำหนิกันอีกหรือ?’

อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานไม่ได้พูดคำในใจเมื่อครู่ออกไป เขาเพียงหัวเราะ “พี่เฉิน แล้วตอนนี้ท่านในฐานะผู้ชี้ขาดคิดเห็นว่าเช่นไร?”

สีหน้าของเฉินหยางเผยถึงการขบคิด และไม่เอ่ยคำใดไปครู่หนึ่ง

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังลังเล กู่ฉิงซานก็เอ่ยปาก “ในเมื่อทางพันธมิตรไม่ให้โควตาแก่ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นผมขอใช้โควตาของทางสมาคมกำปั้นเหล็กก็แล้วกัน”

“แบบนั้นไม่ดีหรอก” เฉินหยางเริ่มกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“มีปัญหาอะไรงั้นหรือครับ?” เห็นถึงการแสดงออกของอีกฝ่าย กู่ฉิงซานเริ่มกลายเป็นจริงจังมากขึ้น

เฉินหวางถอนหายใจและกล่าว “ช่วงที่ผ่านมานี้คงต้องโทษข้าที่มัวแต่เล่นไพ่มากเกินไป ดังนั้นจึงมิได้ทำการบังคับกฎอย่างจริงจัง”

กู่ฉิงซานงง

เฉินหยางเริ่มอธิบาย “แท้จริงแล้วยังมีผู้ใดอีกเล่าที่ไม่กระจ่างเกี่ยวกับเรื่องของพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์? ในเมื่ออาจารย์เจ้าติดร่างแหไปด้วยแล้ว เช่นนั้นข้าจึงจะบอกให้”

เขาเปิดประเด็น “พันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์...ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมานี้ มันไม่เคยปรากฏถึงจ้าวแห่งเต๋าผู้มีโอกาสที่จะได้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ที่สามารถยกระดับขึ้นเป็นตัวตนทรงอำนาจได้เลย นั่นก็เพราะเมื่อกลุ่มพันธมิตรตกอยู่ในอันตราย ผู้รับตำแหน่งจ้าวแห่งเต๋าก็มักจะถูกโยนลงไปอยู่ในแนวหน้าเสมอๆ โดยการลงคะแนนกดดันของอาวุโสทั้งแปด..จ้าวแห่งเต๋าจำต้องต่อกรกับผู้เข้าสู่วิถีมารมากมายในคราวเดียว ขณะที่เมื่อเขาเหล่านั้นมิอาจทานทนได้ไหว ก็จักถูกละทิ้งไปอย่างไม่ไยดี”

“ขณะที่จ้าวแห่งเต๋าคนล่าสุดนั้นดูจะหลักแหลมไม่เบา เขาตัดสินใจเกษียณตัวเอง เลือกคนใหม่ขึ้นมาแทนที่ ออกปากประกาศว่าตนจักยินยอมพินาศไปพร้อมกับผู้เข้าสู่วิถีมาร ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อปกป้องลูกหลานของเขา และยังคงรักษา ยึดมั่นไว้ซึ่งจิตแห่งเต๋าของตัวเอง (หมายถึงไม่เบี่ยงเบนไปตามผลประโยชน์ที่อาวุโสทั้งแปดจะมอบให้ โดยแลกกับการรับใช้)”

“ในขณะที่อาณาจักรมารกำลังล่าถอย กลุ่มพันธมิตรจึงได้มีเวลาเลือกผู้นำคนใหม่ เพื่อมาใช้รับมือกับระบบของราชามารเสียที แต่สุดท้ายผู้นำคนใหม่กลับต้องมาพบเจอกับอะไรแบบนี้ หากเป็นข้า ขอยอมตายแล้วไปเกิดใหม่ยังรู้สึกดีกว่า”

“แต่ใครจะรู้…ว่าจริงๆ แล้วผู้นำคนนั้นจะเป็นอาจารย์ของเจ้า”

ด้วยประโยคข้างต้นที่กล่าวออกมาในลมหายใจเดียว มันได้เปิดเผยเนื้อในอันชั่วร้ายของพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์ออกมาจนสิ้น

กู่ฉิงซานยิ้มหยันอย่างเงียบๆ

‘ไม่ว่าจะโลกไหน มันก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่เลย’

นับตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนกระทั่งถึงปัจจุบัน มีกองกำลังและกลุ่มอิทธิพลนับไม่ถ้วน ที่ต่างก็ใช้ข้อแก้ตัวที่ฟังดูดีและสวยงามเป็นเปลือกนอก เพื่อที่จะดำเนินการและอำนวยความสะดวก ให้แก่เรื่องร้ายๆ ที่ตนเองกระทำ

เนื่องจากความแข็งแกร่งอันยอดเยี่ยมของเซี่ยเต๋าหลิง ที่ทำให้ทุกคนต่างเริ่มเกิดความหวัง ด้วยเหตุนี้เอง นางจึงได้ถูกเลือก ขณะที่กลุ่มอาวุโสก็อดไม่ได้ที่จะแทรกแซงเข้ามาในโลกของนาง เพื่อหมายว่าหลังจากกุมจุดอ่อนของนางเอาไว้ได้แล้ว จึงค่อยบังคับให้นางเป็นหุ่นเชิด คอยทำงานให้แก่พวกเขา

กู่ฉิงซานกล่าว “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของพี่ชายเฉิน ผมจะเป็นคนเกลี้ยกล่อมท่านอาจารย์ให้คอยจัดการเรื่องนี้ให้เอง หลังจากนี้พี่เฉินจะได้ไม่ต้องคอยพะวงเกี่ยวกับเรื่องของพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์อีกต่อไป”

เฉินหยางตบไหล่เขาและกล่าว “ต้องอย่างนั้นสิ! ปล่อยเรื่องวุ่นวายให้พวกผู้ใหญ่เขาทำกันไป ขณะที่เจ้าน่ะ มีทั้งแบรี่และเสี่ยวเหมียว ในโลกเก้าร้อยล้านชั้นไม่ว่าที่ใดเจ้าก็ย่อมสามารถไปได้ กลุ่มขยะอย่างพันธมิตรมันไม่คุ้มค่าให้เจ้าอยู่หรอก จงทะยานออกจากกรอบ และกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่โดดเด่นยิ่งกว่าผู้ใดเสีย!”

“เอ่อแล้วเรื่อง…ของท่านอาจารย์ผมล่ะจะว่ายังไง” กู่ฉิงซานถาม

“อย่าไปบอกแบรี่เกี่ยวกับเรื่องนี้เชียว ไม่งั้นข้าคงโดนสวดยับแน่ๆ” เฉินหยางเตือนเขาอย่างจริงจัง

“แล้วถ้าอย่างงั้นเรื่องโควตา…”

“ข้าจะมอบโควตาให้แก่เจ้าเอง และไม่ต้องรอกระบวนการยุ่งยากวุ่นวายอะไรด้วย ข้าจะจัดการให้เดี๋ยวนี้เลย”

กู่ฉิงซานเร่งรับความปรารถนาดีอย่างรวดเร็ว “ผมต้องขอโทษสำหรับเรื่องนี้ด้วย แต่เดี๋ยวสิ ผมจำได้ว่าโควตาในการผสานโลกมันมีค่ามากเลยไม่ใช่หรือ ผมคงไม่สามารถ...”

“ไม่เป็นไรหรอก” เฉินหยางส่ายมือส่งๆ และกล่าว “เรื่องของเจ้าขอให้พี่ชายเฉินผู้นี้จัดการเอง หรือว่าเจ้าไม่ไว้ใจข้า?”

กู่ฉิงซานไม่ดิ้นรนเถียง เขาประสานกำปั้นแก่อีกฝ่าย “ถ้าเช่นนั้นผมขอรับน้ำใจของพี่ชายเฉินเอาไว้ก็แล้วกัน”

เฉินหยางพยักหน้าด้วยความพอใจ

เขาหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมา แล้วพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อยๆ จนพบชื่อว่าเซี่ยเต๋าหลิง และจำนวนโลกที่ผสานรวม

“นี่สินะ”

เฉินหยางพึมพำ ก่อนจะหยิบดินสอออกมาและขีดเขียนมัน

“บัญชีของนางได้ถูกชำระแล้วโดยข้า...เฉินหยาง”

สุดท้าย เขาก็ลงนามในชื่อของตัวเอง

“เอาล่ะ เท่านี้ก็จบแล้ว”

เขาเก็บสมุด และหันมาพูดกับกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานถอนหายใจโล่งอกอย่างลับๆ

ห้าโควตาสำหรับการผสานรวมโลก...ในตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นนี้ นับว่ามีมูลค่ามหาศาล

แต่ไม่คาดคิดเลย ว่าอีกฝ่ายเพียงขีดเขียนมันง่ายๆ ก็จบแล้ว

“พี่ชายเฉิน ถ้ายังไงช่วยหักจากบิลของสมาคม...”

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความรู้สึกผิด

เซี่ยเต๋าหลิงเมื่อเห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้น นางก็ประสานกำปั้นไปทางอีกฝ่าย และกล่าว “ขอบพระคุณสำหรับความช่วยเหลือของท่าน”

“ไม่ต้องกังวลไปหรอก ข้ามิได้สูญเสียอะไรเลย” เฉินหยางกล่าว

เขายกนิ้วโป้งขึ้น หงายมันชี้ไปยังอาวุโสทั้งแปดที่กำลังงงงวยอยู่เบื้องหลัง

“พวกเขาได้กระทำสิ่งโสมมต่างๆ เอาไว้มากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ สั่งสมความมั่งคั่งและสมบัตินานับไม่ถ้วน คิดว่าข้าจะมองไม่ออกเลยหรือ”

“ข้าจะยึดความมั่งคั่งของพวกเขา บางทีสมบัติทั้งหมดมันอาจจะเพียงพอที่จะชดเชยความสูญเสียในครั้งนี้ของข้าก็ได้”

“เป็นไง? ด้วยวิธีนี้พวกเราทุกคนก็จะมีความสุขแล้ว เห็นไหม?”

แปดอาวุโสตกตะลึงงัน

พวกเขาอยากจะทุบตีสมองของตนเองจริงๆ ไม่คาดคิดเลยว่าแผนการที่พวกเขาวางไว้เป็นอย่างดี จะพลิกผันมาอยู่ในจุดนี้ได้

สีหน้าของหัวหน้าอาวุโสหม่นทะมึน เขาเอ่ยเสียงจม “ท่านผู้ชี้ขาด คำพูดเมื่อครู่ของท่านหมายความว่ากระไรกัน? ท่านคิดจะยึดครองโลกของพวกเราอย่างนั้นหรือ?”

“พวกเราไม่ยอม! พวกเราจะทำการยื่นอุทธรณ์!” อีกอาวุโสเริ่มตะโกน

“ใช่! พวกเราไม่กลัวท่านหรอก!”

“ท่านผู้ใหญ่ เหตุใดท่านจึงไม่มีเหตุผลเลย?”

คนแล้วคนเล่าต่างเริ่มร่ำร้องออกมา

เฉินหยางเผยถึงความหงุดหงิด เขายื่นมือออกไปในอากาศที่ว่างเปล่าโดยไม่คิดหันไปมอง

“ข้า...เฉินหยาง ไม่มีเหตุผลใดจักต้องสังหารพวกเจ้า แต่ในเมื่อพวกเจ้ารนหาที่...งั้นก็อย่าเสียเวลาพูดคุยกันอีกเลย จงไปเกิดใหม่เสียเสียให้สิ้น”

ยามเมื่อเสียงนี้ตกลง เส้นแสงสีดำนับไม่ถ้วนก็จมลงไปในร่างของแปดอาวุโส

แปดอาวุโสจู่ๆ ก็ชักอาวุธของตนออกมาทันที จากนั้นก็เริ่มฟันเข้าใส่ผู้คนที่อยู่รอบกายตนเอง

แต่ที่น่าฉงนก็คือ การฟาดฟันนี้มันกลับมิได้ใช้ออกด้วยพลังวิญญาณเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าอาวุโสทั้งแปดได้สูญสิ้นสติปัญญา และคิดได้แค่เพียงต้องฆ่าฟันคนอื่นเท่านั้น

ภายในห้องโถง เพียงไม่นานทุกอย่างก็เงียบสงบลงโดนสิ้นเชิง

แปดอาวุโสล้มลงกับพื้น

พวกเขาสิ้นใจแล้ว

........................................