ตอนที่ 649 เห็นถึงความจริง
บนท้องฟ้า
ว่อนไปด้วยยันต์สื่อสารที่ลุกไหม้ แพร่กระจายออกไปในทุกทิศทาง
‘กู่ฉิงซานตัวจริงได้กลับมาแล้ว!’
ข่าวนี้แพร่กระจายราวกับไฟลามทุ่ง ฟุ้งไปตลอดโลกทั้งใบ
อย่างไรก็ตาม เหมือนกับว่าเจ้าตัวที่กำลังเป็นข่าวอยู่จะไม่ได้รู้สึกอะไรเลย
เขากับหนิงเยว่ฉานยืนอยู่ใจกลางทะเลสาบ พูดคุยกันกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่พึ่งเกิดขึ้น
“ดังนั้น แม้ว่าโลกหลายใบจะถูกผสานรวมเข้าด้วยกัน แต่เจ้าก็ยังไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เลย?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
หนิงเยว่ฉาน “ใช่ กระทั่งในเวลานี้ โลกทั้งใบนอกไปจากพวกเรา คนจากโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นอีกเลย ตรงจุดนี้มันน่าฉงนนัก เกรงว่านอกเหนือไปจากอาจารย์ของเจ้า คงจะไม่มีใครทราบว่าแท้จริงแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
กู่ฉิงซานเงียบไป เขาจมลงสู่ห้วงความคิด
‘นี่ย่อมเป็นเพราะหกวิถีถูกทำลายลง’
‘เมื่อต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจอันน่าสะพรึง คาดเดาว่าเศษเสี้ยวของโลกจำนวนมากจึงเกิดปัญหาขึ้น’
‘แล้วอะไรที่น่าสนใจน่ะหรือ มันก็คือหลังจากที่ฉันค้นพบถึงความจริงที่ว่าโลกหกวิถีเกิดการพังทลายลง แต่เศษเสี้ยวที่แตกกระจายออกมาของมันก็ยังคงเป็นโลกหกวิถีอยู่ดีน่ะสิ!’
ไม่ว่าจะเป็นโลกเทวะ โลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ และโลกเดิมของเขา ก็ยังคงเป็นโลกหกวิถี
ทว่าจากทั้งสามโลกที่กล่าวมา โลกที่พิเศษออกไปก็คือโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ ที่หกวิถีในส่วนของโลกสวรรค์ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เป็นเพราะมันถูกทำลายลงโดยสมบูรณ์ไปแล้วใช่หรือไม่?
กู่ฉิงซานละความคิดนี้ไป เขาเอ่ยถามต่อ “ข้าก็แค่มาข้ามผ่านโทษทัณฑ์ในโลกใบนี้ เหตุใดกระบวนการดังกล่าวมันถึงได้ดึงดูดความสนใจจากเจ้าและคนอื่นๆ กัน?”
สีหน้าของหนิงเยว่ฉานกลายเป็นจริงจังขึ้นเล็กน้อย “นั่นเพราะเจ้ามิได้ยื่นเรื่องข้ามผ่านโทษทัณฑ์ จึงถูกต้องสงสัยว่าเป็นคนนอก และพวกเราไม่อนุญาตให้ผู้ฝึกยุทธ์จากโลกภายนอกเข้ามาสู่โลกของพวกเรา”
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?”
“เพราะคนที่แสร้งเป็นเจ้าได้รับข้อมูลของโลกพวกเราไปมากมาย จนกระทั่งเขาได้มาพบกับข้า และสองศิษย์น้องของเจ้า”
“แล้วพวกเจ้าจับเขาทันทีที่เจอเลยหรือไม่?”
“ไม่ พวกเราเกรงว่าเขาจะใช้วิธีการบางอย่างจากโลกอื่นที่พวกเราไม่รู้จักแล้วหลบหนีไป ดังนั้นพวกเราจึงไม่ไปวุ่นวายกับเขาให้มากจนเกินควร และเฝ้ารอให้อาจารย์ของเจ้ากลับมา จึงค่อยรายงานแก่นาง”
“ท่านอาจารย์ข้าลงมือด้วยตัวเองเลยงั้นหรือ?”
“ถูกต้อง”
กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “คนคนนั้นปลอมตัวเหมือนข้ามากเลยรึเปล่า?”
หนิงเยว่ฉานพยักหน้าเล็กน้อย “คาดว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเขาคงจะสืบประวัติมาหนักไม่น้อย เพราะกระทั่งอาวุธของเจ้า พวกเขาก็ยังเลียนแบบได้ ไม่เว้นแม้แต่ธนูเย่หยู ธนูที่ซึ่งมันแทบจะไม่ถูกหยิบออกมาใช้เลย ไม่ว่าจะเป็นตัวเจ้าหรือข้า”
“แล้วเจ้าสามารถมองทะลุถึงตัวจริงของเขาได้อย่างไร?”
“เมื่อเทียบกับเจ้า เขาสมบูรณ์แบบมากเกินไป นอบน้อม พิถีพิถันกับทุกสิ่ง โดยเฉพาะวาทศิลป์ในการพูดจาและทำสิ่งต่างๆ ให้ผู้คนรู้สึกประทับใจ”
“…ฟังดูเหมือนกับว่าเจ้ากำลังด่าข้าอยู่เลย”
“ก็ได้ ข้ายอมรับว่าถ้าเทียบกันแล้ว เจ้าดูแย่ลงไปเยอะเลย”
หนิงเยว่ฉานกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เหมือนกับว่าเธอจะพลันจดจำได้ถึงบางสิ่ง เจ้าตัวเอ่ยปากอีกครั้ง “ศิษย์น้องฉินรั่วและว่าเอ๋อของเจ้า ก่อนหน้านี้พวกเราได้เคยสนทนากันเป็นการส่วนตัว พวกนางบอกว่า มองคราแรกชายคนนั้นดูเหมือนกันกับเจ้าทุกประการก็จริง แต่พวกนางสงสัยว่าเขาไม่ใช่เจ้า”
กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็ชะงักทันที
แท้จริงแล้วกลับกลายเป็นฉินรั่วและว่านเอ๋อที่ได้เข้าร่วมกับนิกายร้อยบุปผา หลังจากที่พวกนางกลับมาจากโลกล่องเวหา
หญิงสาวทั้งสอง อดีตเคยเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ได้รับพรจากสวรรค์ ในโลกเดิม พวกเธอล้วนเป็นตัวตนที่แสนโดดเด่น แต่น่าเสียดาย ที่โลกเดิมดันถูกโลกล่องเวหาบุกรุก ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา โชคชะตาของพวกเธอจึงบิดผันไป
พวกเธอและกู่ฉิงซานต่อสู้เคียงข้างกัน ฟันฝ่าอุปสรรคอันยากลำบากร่วมกันไปมากมาย
ระหว่างช่วงเวลาดังกล่าว กู่ฉิงซานจึงค่อยๆ ยอมรับในตัวของหญิงสาวทั้งสอง
และตอนนี้ พวกเธอก็ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมกับนิกายร้อยบุปผาเป็นที่เรียบร้อย เขาละอยากเห็นจริงๆ ว่าตอนนี้ทั้งสองเป็นอย่างไร
อย่างไรก็ตาม
ชายคนนั้นกลับเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี จนเจ้าตัวมั่นใจว่าสามารถแสร้งเล่นละครเป็นกู่ฉิงซานได้อย่างสมบูรณ์แบบ และผู้อยู่เบื้องหลังเขาก็ได้ทำการทดสอบต่างๆ นานา เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีข้อผิดพลาดใหญ่หลวงใดๆ เกิดขึ้น ก่อนที่เจ้าตัวจะเข้าสู่โลกใบนี้
ทว่าหลังจากที่เขาสามารถปิดบังตัวเอง หลอกลวงผู้คนไปได้มากมาย เขากลับถูกหญิงสาวทั้งสามมองทะลุตัวตนจริงๆ ได้อย่างง่ายดาย
นี่มันช่างน่าแปลกจริงๆ
“แล้วพวกนางรู้ได้อย่างไรว่าชายคนนั้นไม่ใช่ข้า?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
แต่คราวนี้ หนิงเยว่ฉานไม่ยอมตอบคำถามเขา
เธอย้อนนึกไปถึงคำพูดของฉินรั่วและว่านเอ๋อในวันนั้น และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะคิกคัก จนต้องยกมือขึ้นมากุมปาก
และเมื่อมองมายังกู่ฉิงซาน ดวงตาของหนิงเยว่ฉานก็แลดูจะอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย
เธอยังคงเลือกที่จะไม่ตอบ แต่กล่าวว่า “ชายผู้นั้นมีรูปลักษณ์เหมือนกับเจ้าทุกประการ แต่ข้าคิดว่าเขาไม่ใช่เจ้า”
“ข้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไม แต่ข้าสามารถบอกได้ว่าเขามีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติไปตั้งแต่แรกพบ”
“แต่ในครั้งนี้ เมื่อเจ้าตัวจริงได้กลับมา ข้าก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้นอีกเล็กน้อย”
“นี่เจ้ายังอยากจะวิจารณ์ข้าอีกอย่างงั้นใช่ไหม?” กู่ฉิงซานเริ่มไม่พอใจ
หนิงเยว่ฉานส่ายหัวและกล่าวพึมพำกับตัวเอง “อันที่จริงแล้ว ในการต่อสู้เมื่อครู่ ที่เจ้าตะโกนว่าจะโจมตีข้า ขณะเดียวกันก็เลือกที่จะถอยเว้นระยะห่างออกไป ข้าก็สามารถตระหนักได้แล้ว ว่าเจ้าตัวจริงได้กลับมา”
“ไหนจะนำน้ำตามังกรอีก คราวก่อนก็เป็นดอกไม้น้ำตามังกรมิใช่หรือ ที่เจ้าคิดจะเอาใจและประจบประแจงมอบมันให้แก่ข้า”
“ข้าน่ะหรือประจบประแจงเจ้า?”
หนิงเยว่ฉานกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แน่นอน เป็นเพราะเจ้าหวาดเกรงในเจตกระบี่ของข้า กระบี่ที่มิเคยยั้งมือของข้า เพียงทานรับกระบี่แรก เจ้าก็ถอยลี้จากกระบี่ เป็นเพราะเจ้าเกรงว่าเจตกระบี่ข้าจะทำร้ายเจ้า ”
กู่ฉิงซานเงียบไป เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาว และกล่าว “ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดชายผู้นั้นจึงไม่อาจซ่อนความจริงจากสายตาของเจ้าไปได้”
ณ เวลาเดียวกันนั้นเอง เรือเหาะวิญญาณอีกลำหนึ่ง ก็บินมาจากเส้นขอบฟ้า
เรือเหาะลำนี้เด่นสะดุดตายิ่งกว่าลำอื่นๆ เนื่องจากบนผิวเรือถูกขีดเขียนไว้ด้วยตัวอักษรที่ราวกับหงส์ร่อนมังกรรำเป็นคำว่า ‘ซาน’
กู่ฉิงซานมองไปทางเรือเหาะและกล่าว “นั่นคงจะเป็นเรือเหาะฝีมือศิษย์พี่ข้า ในที่สุดก็มาเสียที”
หนิงเยว่ฉานพยักหน้าและกล่าว “ในเมื่อคนจากนิกายเจ้ามาแล้ว เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน”
“เจ้าจะไปไหน?” กู่ฉิงซานถาม
“ข้ายังมีภารกิจลาดตระเวนอยู่ ต้องมั่นใจว่าจะไม่มีผู้ฝึกยุทธ์จากโลกภายนอกแทรกซึมเข้ามาในโลกของพวกเราในตลอดทั้งสองวันนี้”
“ในตลอดทั้งสองวันนี้อย่างงั้นหรือ?”
“ถูกต้อง เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่เหล่าอาวุโสจากพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์มาประชุมกันในนิกายเจ้า ดังนั้นข้าจึงได้รับภารกิจให้มาเฝ้าระวังความปลอดภัยด้วยตัวเอง”
“ประชุมอาวุโสของพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์!”
กู่ฉิงซานตริตรองอย่างรวดเร็วเกี่ยวกับความสำคัญของเรื่องนี้
“ในเมื่อเจ้าติดธุระอยู่ เช่นนั้นก็ไปเถอะ เอาไว้พวกเราค่อยมาคุยกันอีกในภายหลัง” เขากล่าว
“อื้อ”
หนิงเยว่ฉานมองเขาอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะเคลื่อนกายบินขึ้นไปบนท้องฟ้า
เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่ออกลาดตระเวนกับเธอก็จากไปเช่นกัน
เหลือเพียงเรือเหาะลำหนึ่งที่ใกล้เข้ามา
แต่ไม่ใช่ฉินเซี่ยวโหลว
แท้จริงแล้วกลับปรากฏถึงร่างของสองสาวงามที่กำลังร่อนลงมาอย่างช้าๆ หยั่งเท้าลงบนผิวทะเลสาบอันนิ่งสงบ
คนที่ดูอบอุ่นและอ่อนโยนคือฉินรั่ว ส่วนอีกคนที่ดูละเอียดอ่อนและมีชีวิตชีวาคือว่านเอ๋อ
กู่ฉิงซานมองพวกเธอด้วยรอยยิ้ม
ในโลกล่องเวหา ช่วงเวลานั้นมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นมากมาย แต่เขาและพวกเธอก็จำต้องแยกจากกันกลางทาง
และมันก็เป็นเวลานานมากแล้ว ที่กู่ฉิงซานไม่ได้เจอกับพวกเธอ
ขณะที่กู่ฉิงซานกำลังจะกล่าว สองสาวที่อยู่ตรงกันข้ามก็เป็นฝ่ายชิงเคลื่อนกายก่อน
ว่านเอ๋อลอยมา และกุมมือของเขา ปากเอ่ยกล่าวด้วยเสียงหวานที่ดูมีเลศนัย “นายน้อย ในที่สุดท่านก็กลับมา ศิษย์น้องว่านเอ๋อคิดถึงท่านจริงๆ”
ฉินรั่วก็ลอยมาหาเขาเช่นกัน เธอคล้องแขนกู่ฉิงซานและแนบกายลง
หญิงสาวเปล่งเสียงกระซิบ “นายน้อย ท่านคิดถึงข้ากับน้องว่านเอ๋อบ้างหรือไม่?”
กู่ฉิงซานดีดตัวถอยหลังไปสองสามก้าวทันที เร่งเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “เกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้ากัน?”
สองหญิงสาวชะงักไป แต่แล้วก็เผยให้เห็นถึงรอยยิ้มจริงใจ “เป็นเจ้าตัวจริง ข้าต้องขออภัยด้วย พวกเราทำแบบนั้นเพราะต้องการตรวจสอบ ว่าเป็นคนอื่นที่มาแสร้งปลอมเป็นเจ้าหรือไม่”
“ฮี่ๆ ตอนนี้พวกเราควรจะเรียกเขาว่าศิษย์พี่สิ” ว่านเอ๋อยิ้ม
กู่ฉิงซานจึงค่อยผ่อนคลายลง
แต่แล้วเขาก็เหมือนจะตระหนักได้ถึงบางสิ่งในทันใด
“ช้าก่อน อย่าบอกนะว่าเมื่อครู่นี้ก็เป็นวิธีเดียวกันกับที่พวกเจ้าใช้ตรวจสอบคนที่แสร้งปลอมเป็นข้า?” เขาเอ่ยถามแปลกๆ
“ใช่ เมื่อเขาปรากฏตัว ข้ากับน้องสาวก็รู้สึกว่ามันมีบางอย่างไม่ถูกต้อง” ฉินรั่วกล่าว
“ดังนั้น พวกเราจึงใช้วิธีการเล็กน้อยเพื่อล่อลวงเขา และเพียงพริบตาผลลัพธ์ที่ว่าจริงหรือเท็จก็ปรากฏทันที” ว่านเอ๋อเสริม
กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยความกังวล “แล้วพวกเจ้ามิได้ถูกลวนลามใดๆ ใช่หรือไม่?”
“วางใจเถอะ พวกเรามิได้ถูกลวนลามใดๆ” ว่านเอ๋อส่ายมือและกล่าว
“ว่าแต่ปฏิกริยาของเขาแตกต่างจากข้าอย่างไร?” กู่ฉิงซานถามด้วยความสนใจ
ว่านเอ๋อตอบด้วยรอยยิ้ม “ก็หลังจากนั้น คำพูดและการกระทำของเขามันไม่ไก่อ่อน...”
ฉินรั่วกระแอมไอ และลอบดึงแขนเสื้อว่านเอ๋อทันที
ว่านเอ๋อหุบปากลง
อย่างไรก็ตาม เวลานี้สองศิษย์น้องต่างก็กำลังมองเขาด้วยรอยยิ้มที่ฉายอยู่ในแววตาของพวกเธอ
“เขาไม่ทำไมนะ?” กู่ฉิงซานถามย้ำ
“น้องสาวว่านเอ๋อจะบอกว่า ด้วยการกระทำและคำพูดของเขา มันไม่น่าจะใช่คนดี” ฉินรั่วแทรก
“อืมๆ นั่นแหละที่ข้าจะกล่าว มันดูไม่เป็นคนดี” ว่านเอ๋อสนับสนุน
…………………………………………….