ตอนที่ 642 หอคอยแห่งหมื่นโลกา
แบรี่กับเสี่ยวเหมียวเริ่มหันไปมองรอบๆ ใบหน้าทองแดง
ขณะที่กู่ฉิงซานยังคงยืนนิ่งอยู่ในจุดเดิมอย่างว่างเปล่า
ในหัวใจของเขาฟุ้งไปด้วยความคิดมากมาย จนไม่อาจข่มมันให้สงบลงได้เลย
อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลบางอย่าง เมื่อมองลงบนใบหน้าทองแดง เขาก็ย้อนนึกไปถึงร่างใหญ่
ร่างใหญ่ถูกขังอยู่ในโลกปิด ถูกตรึงเข้ากับเสาทองแดง และไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้
บางทีเสาทองแดงนั่น... ก็อาจจะเป็นสิ่งที่เหล่าทวยเทพสร้างขึ้นเช่นกันใช่หรือไม่
หากเขาได้เข้าไปหาร่างใหญ่ในครั้งต่อไป ตนจะต้องไม่ลืมเอ่ยถามถึงที่มาของมัน
แถมยังมีอะไรแปลกๆ อย่างมอนสเตอร์ประหลาดตัวนั้นอีก
มอนสเตอร์ที่คอยกัดกินเลือดเนื้อของร่างใหญ่
นอกจากนี้ มันยังเรียกชื่อของเขา และกระโจนเข้ามาสังหารตนเอง
แต่โชคยังดี ที่ตัวเขาได้สวมใส่เกราะเทพเอาไว้ ทำให้สามารถซื้อเวลาได้มากพอ และพลิกกลับสังหารมอนสเตอร์ประหลาดลงได้ในที่สุด
มันบอกว่าตัวเขาน่าสงสาร
น่าสงสาร…
ในหัวใจของกู่ฉิงซานบังเกิดความสงสัยผุดขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อน
สถานการณ์ในขณะนั้น ความแข็งแกร่งของตนยังอ่อนแอเกินไป เกราะเทพจึงทำได้เพียงช่วยชะลอเวลา ขณะที่ดาบพิภพทำได้เพียงระเบิดพลังออกมาเท่านั้น
ส่งผลให้เขาจำต้องสังหารมอนสเตอร์ลง ไม่สามารถจับเป็นกลับมาเพื่อเค้นถามอย่างช้าๆ ได้
ตอนนี้ ทั้งหมดจึงได้กลายเป็นปริศนาไปแล้ว
กู่ฉิงซานไม่อาจอาศัยข้อมูลที่เขารู้อยู่ในปัจจุบัน คาดเดาอะไรได้เลย
นี่มันช่างชวนให้สิ้นหวังจริงๆ!
กู่ฉิงซานลดเปลือกตาลง และถอนหายใจอย่างเงียบๆ
ในที่สุดเสี่ยวเหมียวก็สังเกตได้ถึงการแสดงออกที่ผิดปกติของกู่ฉิงซาน
เธอกระโดดขึ้นไปบนปลายจมูกของใบหน้าทองแดง และเพ่งดูกู่ฉิงซานอย่างใกล้ชิด
“กู่ฉิงซานเป็นอะไรไป เกิดอะไรขึ้นกับนายงั้นเหรอ?”
เธอถาม
“ผมไม่เป็นอะไรหรอก” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผมก็แค่คิดว่ากุญแจสำคัญในการเปิดสุสานแห่งโลกมันอาจจะอยู่ในดวงตาของรูปปั้นเทพก็ได้”
“โอ๊ะ? ที่แท้นายยืนนิ่งก็เพราะกำลังคิดหาวิธีอยู่นี่เอง”
เสี่ยวเหมือนอุทาน
แบรี่ก็ได้ยินสิ่งที่กู่ฉิงซานกล่าวเช่นกัน
เขาไม่พบอะไรบริเวณปากของใบหน้าทองแดง เจ้าตัวผุดลุกขึ้นและเอ่ยถาม “นายคิดว่าเป็นตรงบริเวณตาใช่ไหม?”
แบรี่ขยับร่างตน ตรงไปยังดวงตาของรูปปั้นทองแดง
“ตาข้างซ้าย” กู่ฉิงซานช่วยเตือน
แบรี่พยักหน้า และย่อตัวลงบริเวณขอบดวงตาซ้ายของรูปปั้นทองแดง
เขาก้มลงและกดฝ่ามือของเขาลงบนผิวดวงตาทองแดง และทำการรับรู้ถึงมันอย่างระมัดระวัง
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง แบรี่ก็ตะโกนออกมา “มันมีบางอย่างต่างออกไปจริงๆ ด้วย”
“ต่างออกไปยังไงเหรอ?” เสี่ยวเหมียวตะโกนถามจากระยะไกล
“ดวงตานี่มันหลวม เหมือนว่าจะสามารถเคลื่อนย้ายได้”
ระหว่างกล่าว แบรี่ก็กดมือลงแรงๆ บนมัน
ดวงตาของใบหน้าทองแดงค่อยๆ จมลง จนเหลือเพียงสองหลุมดำบนใบหน้าของรูปปั้น
หนึ่งลมหายใจผ่านไป
ทันใดนั้นไฟสว่างสองดวงก็ปรากฏขึ้นภายในดวงตาของรูปปั้น
เมื่อแสงปรากฏ ทั้งร่างของรูปปั้นก็ราวกับได้รับชีวิตกลับคืนมาทันที
รูปปั้นทองแดงเปิดปากและถอนหายใจยาว
มันมองแบรี่ แล้วก็เสี่ยวเหมียว สุดท้ายกู่ฉิงซาน
“เป็นเจ้าที่ปลุกข้าให้ตื่นขึ้นงั้นหรือ?” รูปปั้นทองแดงถาม
เสียงของมันสะท้อนกังวานไปหลายชั้น เป็นน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์และสง่างาม
“ใช่ เป็นพวกเราเอง” แบรี่กล่าว
“ทำได้ดีมาก” รูปปั้นทองแดงยกย่อง “ก่อนที่เหล่าทวยเทพจะจากไป สถานที่แห่งนี้คือสุสานแห่งโลกที่พิเศษกว่าที่อื่นๆ”
“หากจะเปิดมัน ก็จำต้องทำการผสานรวมหกวิถีแห่งสังสารวัฏให้เป็นหนึ่งเดียวกันเสียก่อน”
“ท่ามกลางสายธารแห่งกาลเวลาที่ไหลผ่านมาเนิ่นนาน ในที่สุดก็มีคนผสานรวมโลกมนุษย์ โลกอาชูร่า โลกสวรรค์ โลกปรภพ โลกผีร้าย และโลกจ้าวอสูร เข้าด้วยกันได้เสียที”
“ถึงแม้ว่าพวกเราจะจากไปเนิ่นนานแล้ว แต่พวกเรายังสามารถรับรู้ได้ถึงเรื่องนี้ และรู้สึกโล่งใจจริงๆ”
แบรี่กับเสี่ยวเหมียวมองหน้ากันและกันด้วยความประหลาดใจ
ทั้งสองคือฮีโร่ที่ผ่านพ้นประสบการณ์มามากมาย ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถตระหนักได้ถึงคำใบ้บางอย่างในประโยคของใบหน้าทองแดงได้อย่างชัดเจน
“เทพวิญญาณที่เคารพ ทำไมท่านถึงต้องการให้โลกหกวิถีผสานรวมกันเป็นหนึ่งเดียวด้วย?” เสี่ยวเหมียวถาม
“เพราะนี่คือความปรารถนาของเรา พวกเรากำลังเตรียมพร้อมที่จะกระทำมันให้เสร็จสมบูรณ์ แต่ในที่สุดพวกเราก็ไม่มีเวลามากพอที่จะทำมัน เนื่องจากเกิดเรื่องไม่คาดฝันบางอย่างขึ้นเสียก่อน” ใบหน้าทองแดงตอบ
แบรี่กับเสี่ยวเหมียวพอได้ฟัง ก็ไม่เข้าใจว่าความหมายของอีกฝ่ายคือสิ่งใด
มีเรื่องที่เหล่าทวยเทพยังทำไม่สำเร็จอยู่ด้วยอย่างงั้นหรือนี่?
กู่ฉิงซานช็อค
ทันใดนั้นในจิตใจของเขาก็ราวกับได้รับแสงสว่าง
หลังจากที่เหล่าทวยเทพได้สร้างโลกหกวิถีขึ้น และเตรียมที่จะหลอมรวมโลกหกวิถีเข้าด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลบางประการ ทำให้ความตั้งใจของพวกเขาถูกค้นพบโดยศัตรู
จนโลกหกวิถีต้องถูกทำลายลง!
นี่เองสินะ คือเหตุผลที่เหล่าทวยเทพไม่สามารถทำมันได้!
“เพราะอะไร ทำไมท่านถึงไม่มีเวลาที่จะทำมัน?” กู่ฉิงซานลองเอ่ยถาม
ใบหน้าทองแดงนิ่งงันไปครู่หนึ่ง
“คำถามนี้มิใช่สิ่งที่เจ้าควรจะรู้” ใบหน้าทองแดงกล่าว
กู่ฉิงซานสวนกลับทันที “เช่นนั้นโปรดบอกผม ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ทำการผสานรวมโลกหกวิถีเข้าด้วยกัน”
ใบหน้าทองแดงนิ่งงันไปอีกครั้ง
มันถอนหายใจอย่างลึกล้ำ และกล่าว “การผสานรวมของหกวิถี จะก่อให้เกิดความเป็นไปได้บางอย่างขึ้น แต่เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรจะรู้”
ใบหน้าทองแดงไม่คิดตอบคำถามอีกต่อไป มันกล่าว “ตอนนี้ อีกไม่นาน สุสานแห่งโลกที่พิเศษจะถูกปลุกขึ้น”
แบรี่ถามเสียงหม่น “ที่ว่าตื่นขึ้นน่ะหมายความว่ายังไง? ฉันจำได้ว่าสุสานแห่งโลกคือพื้นที่ ที่ซ่อนอยู่ในมิติ และทำได้เพียงต้องเข้าไปนำสมบัติมาจากข้างในไม่ใช่เหรอ?”
เมื่อสนทนากันมาถึงจุดนี้ แบรี่เองก็เริ่มรู้สึกแล้วถึงความผิดปกติบางอย่าง
“นี่คือสุสานแห่งโลกที่พิเศษออกไป” ใบหน้าทองแดงกล่าว
ทั้งสามคนหันมามองหน้ากันและกัน
พวกเขาย้อนนึกไปถึงคำพูดของคนจากสถาบันเทพ
กลุ่มคนจากสถาบันเทพเข้ามายังโลกใบนี้ ก็เพื่อที่จะตามหาสุสานแห่งที่พิเศษออกไป เพื่อพระเจ้าของพวกเขา
ขณะนั้นเอง ใบหน้าทองแดงก็อธิบายต่อ “เมื่อเจ้าผสานโลกหกวิถีจนครบ แม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตเล็กจ้อย ก็ยังสามารถพัฒนาขึ้นได้อย่างก้าวกระโดด อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ดังนั้นเราจึงฝังหอคอยไว้ที่นี่ เพื่อรอให้มันถูกปลุกขึ้นมา”
พร้อมกันกับคำพูดของมัน โลกทั้งใบก็เริ่มสั่นสะเทือน
“ดูนั่นสิ!” เสี่ยวเหมียวร้องออกมา
ห่างออกไปไม่กี่สิบเมตรข้างๆ ใบหน้าทองแดง หอคอยสูงที่สาดแสงเย็นของโลหะก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
-นี่คือหอคอยที่ถูกทำขึ้นมาจากทองแดงทั้งหมด!
มันโผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน และดิ่งตรงขึ้นสู่ท้องฟ้า ทะลุขึ้นไปถึงชั้นเมฆแล้วจึงค่อยชะลอตัวลง
ครืน…
ท่ามกลางการสั่นสะเทือน หอคอยสูงตั้งตระหง่านเชื่อมต่อระหว่างสวรรค์และโลกเข้าด้วยกัน
มันช่างงดงามและเปี่ยมไปด้วยบารมี หากผู้ใดจ้องมองมัน ในหัวใจย่อมรู้สึกได้ถึงความยำเกรงและเคารพบูชา
เสี่ยวเหมียวเอ่ยเสียงแหบแห้ง “อย่าบอกนะว่านี่คือหอคอยแห่งความรู้ของสมาคมผู้พิทักษ์หอคอยสูง?”
ใบหน้าทองแดงกล่าว “ไม่ใช่ นี่คือมิใช่หอคอยแห่งความรู้ แต่มันคือหอคอยสุดท้ายที่เทพวิญญาณสร้างขึ้น เรียกว่าหอคอยแห่งหมื่นโลกา”
“หอคอยแห่งหมื่นโลกา?”
“ถูกต้อง หอคอยแห่งความรู้ คือสิ่งที่ทุกสรรพชีวิตสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับความรู้ของโลกผ่านทางวิธีการและรูปแบบต่างๆ ได้ ทว่าสำหรับหอคอยแห่งหมื่นโลกานี้ ความรู้และหลักการทั้งหมดของโลกทั้งล้านล้านใบได้ถูกเตรียมเอาไว้ให้พร้อมแล้ว และเมื่อสิ่งมีชีวิตใดๆ สามารถผ่านการทดสอบ พวกเขาก็จะสามารถเรียนรู้มัน และแข็งแกร่งขึ้นได้ทันที”
“ทุกคนที่เข้ามาในหอคอยนี้ จะต้องเผชิญกับการทดสอบที่แตกต่างกันออกไป และเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาบรรลุบททดสอบ พวกเขาก็จะสามารถปีนขึ้นไปยังชั้นถัดไปได้”
“ยิ่งจำนวนชั้นสูง รางวัลก็ยิ่งเลอค่า”
“แล้วรางวัลที่ว่านั่นมีอะไรบ้าง?” แบรี่ถาม
“เทคนิคลับในการยกระดับ กุญแจสำคัญในการวิวัฒนาการ สกิล อาวุธ สมบัติ อุปกรณ์ หนทางสู่ความเชี่ยวชาญพิเศษ ฯลฯ”
“ทุกสิ่งมีชีวิตสามารถปีนหอคอย เพื่อพัฒนาตนให้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งได้”
“นี่คือวิธีการช่วยเหลือตนเอง ที่เหล่าทวยเทพทิ้งไว้ให้ทุกสรรพชีวิต!”
แบรี่กับเสี่ยวเหมียวรับฟังอย่างเงียบๆ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปแหงนหน้ามองดูหอคอยทองแดงที่สูงตระหง่านอีกครั้ง
“ใหญ่โตเกินไป…” เสี่ยวเหมี่ยวอดพูดไม่ได้
แบรี่ถอนหายใจ “เหล่าทวยเทพช่างมีเมตตาจริงๆ พวกเขาได้สร้างสิ่งนี้ เพื่อช่วยให้ทุกชีวิตแข็งแกร่งขึ้น”
ใบหน้าทองแดงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทวยเทพทรงรักในทุกชีวิต ทวยเทพทรงเมตตาต่อชีวิตทั้งมวล ยิ่งทุกชีวิตแข็งแกร่งขึ้น ทวยเทพก็จะยิ่งรู้สึกพึงใจและมีความสุข”
แบรี่กับเสี่ยวเหมียวผงกหัวเล็กน้อย
เหล่าทวยเทพได้สร้างหอคอยแห่งหมื่นโลกาทิ้งเอาไว้เพื่อทุกสิ่งมีชีวิตอย่างแท้จริง
และคงไม่มีเหตุผลอื่นใดอีก นอกไปจากความเมตตาต่อทุกสิ่งมีชีวิต เนื่องด้วยหวังว่าทุกสิ่งมีชีวิตจะสามารถอยู่รอด และมีชีวิตที่ดีขึ้น
มีเพียงกู่ฉิงซานที่รับฟังอย่างเงียบๆ และไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา
‘เหตุผลที่ทำไมเทพวิญญาณถึงต้องการให้ทุกสิ่งมีชีวิตแข็งแกร่งขึ้นน่ะหรือ?’
‘แท้จริงแล้วหาใช่ความเมตตา แต่เป็นเพราะพวกเขาต้องการให้ทุกสรรพชีวิตเป็นกำแพงอุปสรรค คอยถ่วงเวลาให้พวกเขาหลบหนีไปต่างหาก!’
‘เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจยิ่ง ทว่าใบหน้าทองแดงกลับกล่าวออกมาอย่างภาคภูมิ สื่อเจตนาบ่งบอกว่าทวยเทพนั้นประเสริฐเพียงไร’
ความโกรธในจิตใจของกู่ฉิงซานเริ่มที่จะปะทุขึ้นทีละน้อย
ทว่าเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าพลังที่จะสามารถช่วยให้ตนแข็งแกร่งขึ้นได้ ฉะนั้นจะให้สิ่งมีชีวิตทั้งมวลทำเป็นละเลยมันไปก็คงจะไม่ได้เช่นกัน
เมื่อต้องเผชิญกับวิกฤต เหล่าทวยเทพแท้จริงแล้วกลับเลือกที่จะใช้สิ่งมีชีวิตตลอดทั้งหมื่นโลกาเป็นโล่กำบัง
โดยแลกเปลี่ยนกับการช่วยเหลือให้สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นแข็งแกร่งขึ้น บ่งบอกกลายๆ ว่าพวกเจ้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้นนะจึงจะไขว่คว้าความหวังที่จะมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้
แต่อันที่จริง ไอ้สิ่งที่เรียกว่าความหวังนั่นมันอาจจะไม่มีมาตั้งแต่แรกแล้วก็ได้
พวกเขาน่ะไร้ซึ่งความหวังในการมีชีวิตรอด ขณะเดียวกันก็ต้องกลายเป็นเพียงเครื่องมือที่ต้องแข็งแกร่งขึ้น คอยช่วยต้านทานศัตรูของเหล่าทวยเทพ
ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าโดยแท้
มันจะไม่มีหนทางใดเลยหรือที่สิ่งมีชีวิตทั้งมวลจะสามารถรอดชีวิตไปได้?
ที่สิ่งมีชีวิตสามารถกระทำได้ คือการตกเป็นเครื่องมือในการปกป้องเหล่าทวยเทพเท่านั้นเองหรือ?
กู่ฉิงซานกัดฟันแน่น
ความไม่ยินยอมที่จะแข็งแกร่งขึ้นแลกกับการตกเป็นเครื่องมือ เดือดปุดๆ อยู่ในหน้าอกของเขา เขาต้องพยายามควบคุมตัวเองอย่างเต็มกำลัง เพื่อที่จะยับยั้งไม่ให้ความสิ้นหวังและความโกรธในจิตใจปะทุออกมา
ไม่!
โชคชะตาของฉัน เช่นเดียวกันกับโชคชะตาของทุกสิ่งมีชีวิต มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้!!!
แน่นอน… มันจะต้องมีหนทางสิ…
กู่ฉิงซานฝืนบังคับตัวเองให้สงบลง และมุ่งเน้นสมาธิเริ่มขบคิดอย่างจริงจัง
จู่ๆเขาก็พลันตระหนักได้ถึงฉากที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
ประโยคสุดท้ายที่เงาจากยุคโบราณพูดขึ้นก่อนจะสลายไป
“เพราะเหล่าทวยเทพได้สร้างสิ่งมีชีวิตต่างๆ ขึ้นมากมาย และบางอย่างหากวิวัฒนาการแล้วก็อาจถึงขั้นเหนือล้ำยิ่งกว่าตนเอง ดังนั้นจึงไม่มีใครพูดได้เต็มปากว่า จะไม่มีปาฏิหาริย์ใดๆ เกิดขึ้นเลย จนกว่าตลอดทั้งหมื่นโลกาจะถูกทำลายลงจนพินาศสิ้น”
ประโยคนี้ยังอื้ออึงอยู่ในหูของกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานกรองคำกล่าวของอีกฝ่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทันใดนั้นเอง ความคิดหนึ่งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนก็ผุดขึ้นมาในจิตใจของเขา
ใช่แล้วล่ะ เช่นเดียวกันกับความปรารถนาของเทพบรรพกาล ทุกสิ่งมีชีวิตในตลอดทั้งหมื่นโลกาสมควรที่จะเติบโต และแข็งแกร่งขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง
แต่ที่จะแกร่งขึ้น ไม่ใช่เพื่อเป็นเครื่องมือที่คอยช่วยป้องกันเหล่าทวยเทพ
นั่นก็เพราะ...
แม้ทุกสรรพชีวิตจะถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าทวยเทพ แต่ใครจะกล้าพูดได้อย่างเต็มปากกันล่ะว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะไม่สามารถเหนือล้ำยิ่งกว่าทวยเทพได้?
มีแค่เพียงจะต้องแข็งแกร่งขึ้นยิ่งกว่าเหล่าทวยเทพเท่านั้น จึงจะสามารถสร้างหนทางแห่งความหวังให้หลุดพ้นจากชีวิตและความตายได้!
นี่คือวิธีเดียวที่จะสามารถเอาชนะเทพวิญญาณ และสามารถจัดการกับการดำรงอยู่ที่แม้แต่เหล่าทวยเทพก็ยังหวาดกลัวได้!
นี่คือหนทางที่ทุกสิ่งมีชีวิตสมควรจะปฏิบัติ!!!
กู่ฉิงซานกำหมัดของเขาแน่น
ช่วงเวลานี้ ในหัวใจของเขาบังเกิดความหาญกล้าพุ่งทะยานสูงขึ้นอย่างเป็นประวัติการณ์!
........................................