ตอนที่ 641 เงาจากยุคโบราณ
เงาบุคคลยังคงนิ่งมองกู่ฉิงซาน ผ่านดวงตาของใบหน้าทองแดงอย่างเงียบๆ
อย่างไรก็ตาม แบรี่และเสี่ยวเหมียวกลับไม่สามารถตระหนักถึงมัน
แบรี่ “นายต้องระวังตัวให้ดี จะมีบางสุสานแห่งโลกที่มักจะเกิดเหตุการณ์แปลกๆ ขึ้นเหมือนกัน ในช่วงเวลาก่อนที่มันจะถูกเปิด”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ด้วยความแข็งแกร่งของฉันกับพี่ชาย พวกเราสามารถรับมือมันได้อย่างแน่นอน” เสี่ยวเหมียวพูดด้วยรอยยิ้ม
ทั้งสามยังคงร่อนลงไปยังใบหน้าทองแดง
หลังจากนั้นหนึ่งลมหายใจ
พวกเขาก็ลงมาหยุดยืนบนปลายจมูกของใบหน้าทองแดงได้ในที่สุด
“ต่อไป พวกเราจะแยกกันสำรวจ และดูว่ามีอะไรพิเศษเกี่ยวกับรูปปั้นทองแดงนี้รึเปล่า” แบรี่กล่าว
“ถ้าว่ากันโดยทั่วไปแล้ว รูปปั้นที่ดูพิเศษแบบนี้ อย่างไรก็ต้องมีความเกี่ยวข้องกับวิธีการเปิดสุสานแห่งโลกอย่างแน่นอน” เสี่ยวเหมียวอธิบายกับกู่ฉิงซาน
“งั้นพวกเราก็มาเริ่มกันตอนนี้เลยไหม?” แบรี่เริ่มควงแขนของเขาที่เปี่ยมไปด้วยพลัง
เพราะท้ายที่สุดนี้ มันเป็นสิ่งที่เหล่าทวยเทพทิ้งเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่จะได้สำรวจมัน
กู่ฉิงซานเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของทั้งสองอย่างเยือกเย็น
แต่ก็พบว่าทั้งแบรี่และเสี่ยวเหมียว ไม่ได้มองเห็นเงาบุคคลคนนี้จริงๆ
พี่ชายและน้องสาวมีบุคลิกที่เปิดเผยและซื่อตรง
หากพวกเขาหลอกลวงตนเอง โดยการแสร้งทำเป็นไม่เห็นเงาบุคคล และแกล้งไม่พูดถึงมัน การแสดงออกของแบรี่กับเสี่ยวเหมียวจะต้องมีบางอย่างผิดปกติไปอย่างแน่นอน
นี่มันแปลกจริงๆ
กู่ฉิงซานสูดหายใจเข้าลึก
เขาตัดสินใจที่จะแนะนำแบรี่กับเสี่ยวเหมียวอีกครั้ง โดยการขอให้ทั้งสองใช้ออกด้วยเทคนิคมนตราบางอย่าง
หากใช้เทคนิคมนตรา บางทีทั้งสองอาจจะมองเห็นถึงเงาบุคคลคนนี้ก็ได้
กู่ฉิงซานเอ่ยปาก “แบรี่ เสี่ยวเหมียว พวกคุณลองใช้เทคนิคมนตรา มองเข้าไปในดวงตาซ้ายของใบหน้าทองแดงดูสิ ผมพบว่า...”
แต่แล้วคำพูดของเขาก็ขาดห้วงไป
เมื่อเจ้าตัวกล่าวว่า ‘ดวงตาซ้ายของใบหน้าทองแดง’ ทุกอย่างรอบตัวเขาเปลี่ยนไป
สภาพแวดล้อมโดยรอบกลายเป็นพร่ามัว ฉากต่างๆ มากมายเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนเห็นเป็นเพียงเส้นแสง แยกตัวออกไปจากกู่ฉิงซาน
โลกทั้งใบกลายเป็นความว่างเปล่าสีขาวบริสุทธิ์
กู่ฉิงซานค้นพบว่าตัวเองกำลังลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ แต่ขณะที่กำลังจะตั้งสติได้ เขาก็ถูกทิ้งให้ตกลงมาบนพื้นอีกครั้ง
เขาปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไป และหันไปมองรอบๆ
เหนือ ใต้ ออก ตก สวรรค์และโลกทั้งสี่ทิศทาง ไพศาลไร้ที่สิ้นสุด
โลกทั้งใบนอกเหนือไปจากสีขาว ก็ไม่อาจมองเห็นถึงสิ่งใดได้อีกเลย
โลกทั้งใบล้วนเป็นสีขาว เว้นไว้เพียงแต่เกาะหนึ่งที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว
เป็นเกาะที่กู่ฉิงซานกำลังหยั่งเท้าอยู่
ในไม่ช้า เขาก็ออกจากโลกใบเดิม และมาหยุดยืนอยู่บนเกาะโดดเดี่ยวแห่งนี้
เสี่ยวเหมียวกับแบรี่ได้หายไปแล้ว
หลงเหลือเขาเพียงลำพังตลอดทั้งเกาะ
ซึ่งเกาะนี้กำลังลอยอยู่เหนือหุบเหวไร้ก้นบึ้ง ลึกลงไปไม่มีที่สิ้นสุด
ฉากดังกล่าวนี้ ค่อนข้างดูคล้ายกับเกาะลอยฟ้าในโลกล่องเวหา
อย่างไรก็ตาม นี่มันแตกต่างจากโลกล่องเวหา เพราะเบื้องล่างของมันเป็นหุบเหวลึก ไร้ซึ่งวี่แววใดๆ ของมารโลกา
กู่ฉิงซานก้มหน้าลง และลองย่ำๆ ลงกับพื้น
พื้นมีความแข็งเป็นอย่างมาก แถมยังสาดแสงมันวาวของโลหะ
นี่คือสีเงาวาวของทองแดง
กลับกลายเป็นว่าเกาะแห่งนี้ ทำมาจากทองแดงทั้งเกาะ
กู่ฉิงซานขบคิดเล็กน้อย ก่อนจะแสยะยิ้มเย็น
หากต้องการที่จะเคลื่อนย้ายสองตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการ โดยไม่ให้ได้รับการต่อต้านใดๆ คงจะเป็นการยากเกินไป
ดังนั้น
ในความเป็นจริง เลยมีเพียงตนเองเท่านั้นที่ถูกเคลื่อนย้ายมา
นี่คือคำอธิบายที่สมเหตุสมผลที่สุด
“เป็นเทคนิคหลอนประสาทรึเปล่านะ?”
กู่ฉิงซานพึมพำ และคว้าจับดาบขุนเขาเทวะหกโลกาออกมาจากความว่างเปล่า
ดาบขุนเขา ทำลายกฎเกณฑ์!
ภายใต้การทุ่มเต็มกำลังของตนเอง อย่างน้อยก็สมควรที่จะสามารถทำลายเทคนิคหลอนประสาทเบื้องหน้านี้ลงได้
เขาง้างดาบขึ้น และเตรียมที่จะสับออกไป
“ช้าก่อน”
เสียงที่ฟังดูคุ้นเคยดังขึ้น
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ร่างของกู่ฉิงซานก็พลันแข็งค้าง จนแทบจะมิอาจกุมดาบในมือได้อีกต่อไป
หลังจากที่ผ่านการต่อสู้มาอย่างยาวนาน และหลายครั้งครา เขามักจะสามารถรักษาความสงบ และควบคุมสติอารมณ์ได้เสมอมา
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ เพียงแค่ได้ยินถึงเสียงดังกล่าว กู่ฉิงซานกลับรู้สึกได้ถึงความเย็นวาบที่เสียดแทงเข้ามาตามแผ่นหลัง
“ท่านเป็นใครกัน?”
กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยเสียงหนักอึ้ง
“ข้าเป็นใคร? นั่นมันไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก”
ภายใต้เกาะทองแดง เบื้องล่างหุบเหวที่ลึกจนไร้ที่สิ้นสุด เงาดำเงาหนึ่งได้พุ่งทะยานขึ้นมา
เงาดำที่ว่านั้นค่อยๆ ตกลงตรงข้ามกับกู่ฉิงซานอย่างนุ่มนวล
ไร้ซึ่งรูปลักษณ์ใบหน้าใดๆ ไร้ซึ่งเอกลักษณ์บนร่างกายที่จะสามารถมองเห็นได้ นี่เป็นเพียงเงาของบุคคลเท่านั้น
แต่มันช่างเป็นเงาที่มีรูปร่างแสนคุ้นเคย
กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก แต่เขาก็แทบจะไม่สามารถควบคุมจิตใจของตัวเองได้
“ท่านใช้เทคนิคอะไร เพื่อนำพาผมมาที่นี่” เขาเอ่ยถาม
“รายละเอียดเหล่านั้นหาได้สำคัญไม่ หากเทียบเปรียบกับสิ่งที่ข้ากำลังจะพูด” เงากล่าว
“โปรดบอกให้ผมทราบอีกเรื่องหนึ่งจะได้ไหม อย่างเช่นเรื่องที่มาของท่าน”
เงาตอบ “ข้ามาจากยุคโบราณ ครั้งหนึ่งเคยเป็นเงาของใครบางคน และเนื่องจากพลังเหนือธรรมชาติที่แนบมากับสุสานแห่งโลก ส่งผลให้แม้กาลเวลาจะผ่านไปยาวนาน แต่ข้าก็ยังมิได้สลายหายไป”
“ตัวข้าถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง เพราะบุคคลผู้นั้นรู้สึกว่า จำเป็นที่จะต้องส่งต่อความจริงบางอย่างไปสู่คนรุ่นหลัง และมอบความหวังในการเรียนรู้ให้แก่พวกเขา”
“และเพื่อให้ความลับอันทรงคุณค่านี้ถูกส่งต่อ บุคคลคนนั้นถึงขั้นวางเขตแดนอำนาจเอาไว้มากมาย ซึ่งข้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าพวกมันคือสิ่งใด”
“แต่ภารกิจของข้าก็คือ การส่งต่อคำพูดของเขา ไปยังตัวตนที่สามารถผสานรวมโลกหกวิถีเข้าด้วยกัน และสามารถเปิดสุสานแห่งโลกได้”
“เชิญท่านชี้แนะ” กู่ฉิงซานกล่าว
เงา “คำพูดนี้จะถูกส่งผ่านได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น และสิ่งที่พูดออกไป จะต้องมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่รับรู้ ห้ามบอกเล่ามันแก่ผู้ใด มิฉะนั้นแล้วเจ้าจะต้องเสียใจ”
น้ำเสียงของเขาแปรเปลี่ยนไปเป็นโทนหนักอึ้ง
“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ขอจงตั้งใจฟังให้ดี”
“เหล่าทวยเทพได้สร้างโลกขึ้นมามากมาย และหกวิถีแห่งสังสารวัฏก็เป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกที่สุด แต่สุดท้ายก็กลับถูกทำลายลงอย่างเงียบๆ”
นั่นมันเป็นเรื่องที่ฉันรู้อยู่แล้วนี่นา!
กู่ฉิงซานไม่ต้องการที่จะคิดเกี่ยวกับมัน เขาเร่งเอ่ยถามในข้อสงสัยอย่างรวดเร็ว “แล้วเป็นใครกันที่ทำลายโลกหกวิถี?”
เงากล่าว “ข้าไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่ข้าสามารถบอกเจ้าได้ว่าเทพวิญญาณหวาดกลัวในการดำรงอยู่ที่ว่านั่น”
“เทพวิญญาณ? จริงสิ ว่าแต่ทำไมผมถึงไม่เห็นเทพวิญญาณในโลกเก้าร้อยล้านชั้นเลยล่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“นั่นเพราะเหล่าทวยเทพได้หลบหนีไปแล้ว” เงากล่าว
เวลานี้ ร่างของมันค่อยๆ อ่อนจางลง คล้ายกับว่าเรื่องที่มันกำลังถ่ายทอดออกมานี้ เป็นการสิ้นเปลืองพลังงานเป็นอย่างมาก
“มีสิ่งสุดท้ายที่เจ้าจะต้องตั้งใจฟังให้ดี”
“ในครั้งอดีต แต่เดิมแล้วโลกเคยมีอยู่ถึงเก้าพันเก้าร้อยล้านชั้น แต่มันก็ค่อยๆ ถูกทำลายลง ล่มสลายกลายเป็นป่าช้าแห่งวันสิ้นโลก”
‘เก้าพันเก้าร้อยล้านชั้น!’
‘ถ้านี่เป็นเรื่องจริง’
กู่ฉิงซานสูดลมหายใจเย็นเยียบ เขาทนไม่ไหวต้องเอ่ยถาม “ผมไม่เชื่อหรอกว่าโลกเคยมีอยู่ถึงเก้าพันเก้าร้อยล้านชั้น เพราะถ้ามันมีจริง ทำไมถึงไม่เคยมีใครในโลกเก้าร้อยล้านชั้นพูดถึงมันเลยล่ะ?”
เงากล่าว “หากทุกสิ่งมีชีวิตไม่เคยได้ยินถึงป่าช้าแห่งวันสิ้นโลก นั่นแสดงว่าพวกเขาย่อมไม่เคยได้ยินถึงจำนวนดั้งเดิมของโลกลำดับชั้น และคงไม่ทราบว่ามันมาถึงจุดจบได้อย่างไรเช่นกัน”
“โลกเก้าพันเก้าร้อยล้านชั้น…มันจะถูกทำลายลงได้อย่างไร…”
กู่ฉิงซานงึมงำ เขายังไม่อยากจะเชื่อ
เงาอธิบาย “นั่นเพราะเหล่าทวยเทพสร้างโลกนับล้านล้านขึ้น โดยเริ่มต้นมาจากจุดประสงค์เดียวเท่านั้น”
“สร้างโลกขึ้นเพราะอะไร? จุดประสงค์ของเทพวิญญาณคืออะไรกันแน่?” กู่ฉิงซานเค้นถาม
“ถ่วงเวลา” เงากล่าว
กู่ฉิงซานครุ่นคิดอย่างช้าๆ และกล่าว “ถ่วงเวลา เพราะเทพวิญญาณต้องการซื้อเวลาให้มากพอที่จะทำอะไรบางอย่างใช่หรือไม่? อย่างเช่นการฟื้นฟูพลัง หรือเพื่อทำการโต้กลับศัตรู?”
“ไม่ใช่แบบนั้น”
เงายังคงกล่าวต่อ “เหล่าทวยเทพเพียงต้องการที่จะหนีไปให้ไกลมากพอ ไกลพอที่จะให้ตนเองอยู่ห่างจากการดำรงอยู่ที่ว่านั่น”
“แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่ลองที่จะต่อสู้กับศัตรูกัน?”
“เพราะไม่มีทางสู้ได้”
เมื่อเขากล่าวมาถึงจุดนี้ มันก็จางลง และจางลง
“เหล่าทวยเทพหนีไปเพราะความสิ้นหวัง หวาดกลัวอย่างบ้าคลั่ง ไม่ยินดีที่จะตกตายในการต่อสู้ หลบซ่อนตัวด้วยความหวาดกลัว”
“นี่คือวันสิ้นโลกของอาณาจักรทั้งมวล มันคือจุดจบของทวยเทพ คือจุดจบของทุกสิ่งมีชีวิต”
เมื่อได้ยินเสียงที่แสนจะคุ้นเคยอธิบายมาเนิ่นนาน กู่ฉิงซานก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของเขาได้อีกต่อไป เจ้าตัวตะโกนก้อง “แล้วท่านจะมาบอกผมในเรื่องนี้ทำไม! ในเมื่อผมเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ที่แสนเล็กจ้อยคนหนึ่งก็เท่านั้นเอง!”
เงาค่อยๆ บางเบาลง และในที่สุดมันก็หายไปโดยสมบูรณ์
เหลือทิ้งไว้เพียงประโยคเดียวสะท้อนอยู่ในความว่างเปล่า
“เพราะเหล่าทวยเทพได้สร้างสิ่งมีชีวิตต่างๆ ขึ้นมากมาย และบางอย่างหากวิวัฒนาการแล้วก็อาจถึงขั้นเหนือล้ำยิ่งกว่าตนเอง ดังนั้นจึงไม่มีใครพูดได้เต็มปากว่า จะไม่มีปาฏิหาริย์ใดๆ เกิดขึ้นเลย จนกว่าตลอดทั้งหมื่นโลกาจะถูกทำลายลงจนพินาศสิ้น”
เสียงจางหายไป
ทุกสิ่งอย่างเงียบงัน สภาพแวดล้อมโดยรอบเหลือเพียงความว่างเปล่าที่ทอดยาวออกไปไร้ที่สิ้นสุด
ขาของกู่ฉิงซานอ่อนยวบ เขาคุกเข่าลงกับพื้น
ปากอ้าค้าง มือที่กำลังสั่นสะท้านยกขึ้นมาปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก
จำต้องใช้เวลาอยู่สักพัก เขาจึงค่อยสงบลง
กู่ฉิงซานนั่งอยู่บนพื้นที่เย็นเยียบ และไตร่ตรองอย่างเงียบๆ เป็นเวลานาน
เมื่อเทียบกับความลับของหกวิถีที่ระบบเทพสงครามบอกมา เห็นได้ชัดว่าความลับของเงาน่าตกตะลึงยิ่งกว่าโดยสิ้นเชิง
แต่กู่ฉิงซานก็ไม่ใช่คนที่ได้เจอหรือได้ฟังอะไร แล้วมักจะตีตนตื่นตระหนกหรือหวาดกลัวใดๆ
ไม่ว่าความลับเหล่านี้จะน่าอัศจรรย์ใจถึงขนาดไหน หรือว่าโลกเก้าร้อยล้านชั้นกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตอันน่าสะพรึงเพียงใด แต่มันก็ไม่สามารถที่จะรบกวนจิตใจของเขาได้
แม้ว่าเหล่าทวยเทพจะตกตายต่อหน้าเขา กู่ฉิงซานก็จะไม่ตกใจ
แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเย็นเยียบไปทั้งสันหลัง แท้จริงแล้วนั่นคือเสียงของเงา
มันคือเสียงที่แสนจะคุ้นเคย
เสียงที่แม้ว่ากู่ฉิงซานจะต้องกลายเป็นเพียงคนโง่งม แต่เขาก็ยังสามารถที่จะแยกแยะ และจดจำได้เป็นอย่างดี ว่าเจ้าของเสียงนั้นคือใคร
ใช่แล้วล่ะ
นั่นคือเสียงของตัวเขาเอง
กู่ฉิงซานยกศีรษะขึ้น ในแววตาของเขาสะท้อนไปด้วยความสับสนและว่างเปล่า
เห็นได้ชัดว่าตนเองเป็นเด็กกำพร้าจากรัฐบาลกลาง พ่อแม่ได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ตั้งแต่ช่วงที่เขายังเป็นเด็ก
และเมื่อจบการศึกษาในโรงเรียนมัธยม เป็นเพราะเขาใกล้ชิดกับซูเซี่ยเอ๋อมากเกินไป เขาจึงถูกคนของเก้าตระกูลปองร้าย
หลังจากเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกาออนไลน์มาถึง กว่าตนเองจะดาวน์โหลดระบบ และเริ่มเดินทางไปมาระหว่างสองโลก มันก็ช้ากว่าคนอื่นไปตั้งครึ่งปีแล้ว
จากนั้น เขาก็ต่อสู้ดิ้นรนตลอดมา จนในที่สุดก็ได้กลายเป็นนักดาบนิรันดร์
ในท้ายที่สุด บนธารเมฆามาร ยามเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ชวนให้สิ้นหวัง และความทุกข์ทรมานจากการพ่ายแพ้ของมนุษยชาติ เจ้าตัวและสหายก็ระเบิดกำลังเฮือกสุดท้าย สังหารอสุรกายลง
แล้วเมื่อตื่นขึ้นมาอีกที กู่ฉิงซานก็ได้ค้นพบว่าเจ้าตัวล้มตัวลงนอนอยู่ท่ามกลางศพของคนตาย
เขาได้ย้อนกลับมาในช่วงที่โลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ยังไม่ล่มสลายลง กลับมายังช่วงเวลาต้นๆ ที่เผ่ามารพึ่งเริ่มทำการรุกราน
เมื่อได้กลับมายังโลกเดิม เขาก็ค้นพบว่าตนเองได้ย้อนเวลากลับมาในวันงานฉลองสำเร็จการศึกษาอีกครั้ง
ตลอดเส้นทาง ทุกขั้น ทุกตอน ล้วนเชื่อมต่อกันอย่างชัดเจน
แต่ทำไมจู่ๆ เขาถึงพบเงาจากยุคโบราณในสุสานแห่งโลกที่นี่กัน?
ที่สำคัญก็คือ ทำไมเสียงของเงาถึงได้เหมือนกันกับเสียงของตนเองทุกประการ?
เมื่อครู่มันบอกว่าเคยเป็นเงาของใครคนหนึ่ง แล้วผู้ชายคนนั้นเป็นใครกันแน่?
แต่คงจะสายเกินไปแล้วที่จะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้
เพราะในมิติที่ว่างเปล่า แสงและเงานับไม่ถ้วนกำลังหลอมรวมกันด้วยความเร็วอันไม่อาจจินตนาการได้
โลกแห่งความจริงทั้งหมดปรากฏขึ้นเบื้องหน้ากู่ฉิงซานอีกครั้ง
เขากลับมาแล้ว
“โอเค พวกเราลองแยกกันตรวจสอบดูว่ามีอะไรบนรูปปั้นนี้บ้าง”
เสี่ยวเหมียวฮัมเพลงอย่างกระตือรือร้น
แบรี่เดินไปที่ปากของใบหน้าทองแดง
เขาตะโกนเสียงดัง “ฉันพนันได้เลยว่าจะต้องเป็นตรงปากของรูปปั้นเทพแน่ๆ ที่จะนำทางไปสู่สุสานแห่งโลกของโลกหกวิถี!”
กู่ฉิงซานเฝ้ามองทุกอย่างที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าอย่างเงียบๆ
ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครรู้เลยว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับตัวเองเมื่อครู่นี้
กู่ฉิงซานจมลงสู่ความเงียบงันเป็นเวลายาวนาน
........................................