ตอนที่ 630 สมาชิกใหม่
ณ ขั้วโลกเหนือ
ภายใต้การนำทางของเทพธิดากงเจิ้ง ฝูงชนก็มาถึงกระท่อมบนยอดเขาในที่สุด
“ผู้พิทักษ์แห่งเก้าตระกูลถูกฆ่าตายลงในที่นี้ใช่ไหม” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ใช่ แล้วสถานที่แห่งนี้ยังเป็นที่พักของกลุ่มคนลึกลับอีกด้วย” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว
“แล้วยานอวกาศล่ะ อยู่ที่ไหน?”
“ยานอวกาศตั้งอยู่ทั่วทั้งขั้วโลกเหนือ”
“…จะใหญ่เกินไปแล้ว”
“ใต้เท้า ตอนนี้ฉันสามารถทดสอบเจาะระบบของยานอวกาศ เพื่อให้ฉันสามารถเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์ภายในได้แล้ว ทางคุณต้องการที่จะเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์หรือไม่?”
เมื่อแบรี่ได้ฟัง เขาก็หันไปมองเสี่ยวเหมียว
“พี่ชาย ไม่ต้องมองมาที่ฉันเลย ฉันสามารถพาทุกคนเข้าไปภายในนั้นได้ก็จริง” เสี่ยวเหมียวยกสองแขนขึ้นกอดอก “แต่ตัวยานอวกาศน่ะสร้างขึ้นจากเทคโนโลยี ดังนั้นเราคงไม่มีทางคว้าความลับใดๆ มาได้ จากการแค่เข้าไปภายในมัน”
“ไอ้พวกเรื่องอะไรเกี่ยวกับเทคโนโลยีก็ไม่ใช่สิ่งที่ฉันสันทัดได้เสียด้วยสิ” แบรี่เอ่ยพึมพำ
กู่ฉิงซานกล่าว “เทพธิดากงเจิ้ง คุณเกิดที่นี่ใช่ไหม?”
“ใช่แล้วใต้เท้า”
“ดูเหมือนว่าเทคโนโลยีที่นี่จะทันสมัยมากจริงๆ” ซางหยิงฮ่าวพูดบ้าง
เทพธิดากงเจิ้ง “ไม่เพียงแต่ทันสมัย แต่สถานที่แห่งนี้ยังมีเทคโนโลยีที่เหนือยิ่งกว่านั้นอยู่เป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ท่านผู้พิทักษ์กลับเลือกที่จะปกปิดมันและเฝ้ารอจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม เพราะเกรงว่านี่จะนำไปสู่การดึงดูดความสนใจจากโลกภายนอก ท่านจึงได้ปิดผนึกเทคโนโลยีเหล่านี้เอาไว้ทั้งหมด ไม่เคยนำมันออกมาใช้เลย”
แบรี่พอได้ฟัง ก็ทอดถอนหายใจด้วยอารมณ์ “ในยุคนี้ ที่วันสิ้นโลกอาจมาถึงได้ตลอดเวลา ผู้คนมากมายต่างมุ่งที่จะเป็นจ้าวโลก แต่ละกองกำลังและอารยธรรมล้วนพยายามที่จะเพิ่มพูนความแข็งแกร่งให้แก่ตนเอง จึงเกิดการแก่งแย่งทรัพยากร สมบัติ และอารยธรรมของผู้ที่ด้อยกว่า ส่งผลให้อารยธรรมส่วนใหญ่ค่อยๆ ถูกทำลายลง”
เสี่ยวเหมียวเห็นด้วย “ใช่ๆ บางทีคนที่เรียกกันว่าผู้พิทักษ์อาจจะต้องการเหลือเชื้อสายอารยธรรมตัวเองให้สืบต่อไป แต่กลยุทธ์ที่เธอใช้มันอนุรักษนิยมจนเกินไป ในความเป็นจริงแล้วที่เธอทำมันคือการปล่อยให้ความก้าวหน้าของอารยธรรมหยุดลง เริ่มล้าหลังและไม่ทันต่อคนอื่นๆ ในที่สุด”
กู่ฉิงซาน “เทพธิดากงเจิ้ง ฉันหวังว่าโลกในปัจจุบันจะได้รับเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากกว่านี้ เพราะปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นมันเริ่มยากเกินไป และไม่มีใครล่วงรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกในอนาคต”
“รับทราบแล้วใต้เท้า คุณต้องการเทคโนโลยีทั้งหมดเลยหรือไม่?” เทพธิดากงเจิ้งถาม
กู่ฉิงซาน “ทั้งหมดเลย ยานอวกาศลำนี้ก็มอบให้เป็นหน้าที่คุณก็แล้วกัน จงนำเอาความลับทั้งหมดมาไว้ในกำมือ”
“ใต้เท้าโปรดวางใจ ฉันจะพยายามทำอย่างเต็มที่ เพื่อให้ภารกิจนี้ลุล่วง”
เบื้องบนท้องฟ้าบังเกิดเสียงคำรามอันแข็งกร้าวค่อยๆ ลอดลงมา
ป้อมปราการดวงดาวเฉินเตี้ยนเฮ่า ได้มายังขั้วโลกเหนือ ค่อยๆ ลดระดับลงมาจากท้องฟ้าอย่างช้าๆ
ป้อมปราการดวงดาวนี้มีแกนกลางหลักของเทพธิดากงเจิ้งอยู่
ดูเหมือนว่าเธอต้องการที่จะทำมันให้ดีที่สุดจริงๆ
“ฉันต้องการเวลาสักเล็กน้อย เพื่อทำการค้นหาห้องควบคุม และตำแหน่งประตูของยานอวกาศ เชิญพักผ่อนตามอัธยาศัยสักครู่” เทพธิดากล่าวประโยคหนึ่ง
พร้อมกันกับคำพูดบอกเธอ เห็นแค่เพียงเกราะรบขับเคลื่อนมากมายบินออกมาจากป้อมปราการดวงดาว
เกราะรบขับเคลื่อนบินแยกไปตามเส้นทางที่แตกต่างกันออกไป และเริ่มทำการสำรวจโครงสร้างของยานอวกาศทั่วทั้งขั้วโลกเหนือ
ในเวลานี้เอง เสี่ยวเหมียวก็ดูเหมือนว่าจะสังเกตเห็นได้ถึงบางอย่าง
เธอหันไปถามในความว่างเปล่า “มีอะไรงั้นเหรอ?”
เสียงดังตอบกลับมา “หนังสือพิมพ์ของวันนี้ได้รับการเผยแพร่แล้ว และข่าวของมิสเตอร์แบรี่ก็ครอบคลุมทั้งพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งเลย ทางเราจึงมารายงานให้แก่มิสเตอร์แบรี่ และมอบหนังสือพิมพ์ฟรีให้แก่เขาสิบฉบับ”
“เข้าใจแล้ว ฝากหนังสือพิมพ์ไว้ที่ฉันก็ได้ ว่าแต่เรื่องค่าตอบแทน...” เสี่ยวเหมียวกำลังพูด
“นั่นคือสิ่งที่ทางเรากำลังจะถามอยู่พอดี ว่าคุณต้องการให้ทางเราชำระด้วยเงินสกุลใด”
“เอาเป็นสกุลเงินที่ออกโดยทางหอสูงก็แล้วกัน เพราะอย่างไรเสีย สกุลเงินของทางหอสูงก็เป็นเงินที่สามารถใช้หมุนเวียนได้ในโลกต่างๆ เป็นจำนวนมากอยู่แล้ว”
“รับทราบ ทางเราจะจัดการให้ในทันที”
ว่าจบ เสียงนั้นก็หายไป
ขณะเดียวกัน กองหนังสือพิมพ์ก็ร่วงตกลงมาจากในความว่างเปล่า และถูกรับเอาไว้โดยเสี่ยวเหมียว
“ไหนมาดูกัน ว่าพวกเขาพูดว่าอะไรบ้าง” เสี่ยวเหมียวยิ้ม
เธอสะบัดมือไปมาแบบสุ่มๆ แล้วหนังสือพิมพ์แต่ละฉบับก็ลอยไปอยู่เบื้องหน้าของทุกคน
ทุกคนก้มลงมองและอ่านมัน
“ดีล่ะ ทางหอสูงได้ทำการติดต่อกับบุคคลสำคัญๆ จำนวนมากสำหรับเรื่องนี้ และกำลังเริ่มจัดตั้งทีมออกไปสำรวจสถาบันเทพแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเตรียมการที่จะเขียนรายงานข่าวสารชุดต่อไปอยู่” แบรี่อ่านหนังสือพิมพ์ ขณะเดียวกันก็เอ่ยปากออกมา
“สามารถจัดตั้งทีมขนาดใหญ่เพื่อรับมือกับสถาบันเทพได้ในทันที ทางสมาคมหอสูงช่างน่ากลัวจริงๆ” กู่ฉิงซานกล่าว
เสี่ยวเหมียวยิ้มเล็กน้อย “ในความเป็นจริงแล้ว เนื่องจากสงครามของวิหคหนามเพิ่งจะสิ้นสุดลงพอดี และหลายคนที่ยากจะปรากฏตัวก็กำลังรวมตัวฉลองกันอยู่ในขณะนี้ ดังนั้นพอได้ยินข่าวของสถาบันเทพ ทุกคนก็เลยกระตือรือร้นที่จะเข้าร่วม”
“และต้องไม่ลืมนะว่า ทางหอสูงมักจะจ่ายรางวัลอย่างงามเสมอๆ ดังนั้นการจัดตั้งทีมเพื่อภารกิจนี้จึงสามารถดำเนินการไปได้อย่างรวดเร็ว”
“เดิมทีผมก็กังวลว่าสถาบันเทพจะตรงมาหาแบรี่เลยเสียอีก แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาคงไม่มีแม้กระทั่งเวลาที่จะจัดการตัวเองได้เสียแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว
ระหว่างสนทนา ก็ได้ยินถึงเสียงที่ดังขึ้นจากภายนอก
กู่ฉิงซานเดินออกไปดูนอกกระท่อม
ไม่ใกล้ไม่ไกลจากพื้นหิมะ ประตูขนาดใหญ่ได้ปรากฏขึ้น
และยังมีหุ่นยนต์หลายประเภทที่กำลังวุ่นอยู่ใกล้กับประตูเหล็ก
บางครั้งบางครั้ง หุ่นยนต์บางตัวก็เผลอสัมผัสโดนโครงสร้างทางกลไกตรงประตูโดยไม่ตั้งใจ และถูกทำลายลงด้วยไฟฟ้าที่ทรงประสิทธิภาพทันที
เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังตามมา “ใต้เท้า ฉันกำลังดำเนินการทำลายมาตรการป้องกันของยานอวกาศ และทำการตรวจสอบข้อมูลของมันอยู่”
กู่ฉิงซานคิดเกี่ยวกับมันอยู่ครู่หนึ่งและกล่าว “ถ้าเป็นอย่างงั้น พวกเราคงไม่น่าจะได้เข้าไปสำรวจยานในเร็วๆ นี้ คุณทำงานต่อเถอะ”
“รับทราบใต้เท้า”
“แต่ถ้าเป็นกรณีที่มีเรื่องไม่คาดฝันอะไรเกิดขึ้น คุณสามารถเรียกพวกเราได้ตลอดเวลา”
“ไม่ขัดข้อง”
กู่ฉิงซานเดินกลับเข้ามาในกระท่อม
เขาปิดประตูเพื่อป้องกันพายุหิมะด้านนอกและเริ่มจุดไฟในเตาผิง
ห้องเริ่มอบอุ่นขึ้นมาทันที
เมื่อทุกคนได้ยินถึงสิ่งที่เขากล่าว ซางหยิงฮ่าวก็ถามขึ้นมา “แล้วตอนนี้พวกเราจะทำอะไรดี?”
“เพื่อไม่เป็นการปล่อยเวลาผ่านไปอย่างน่าเบื่อ พวกเราก็มาตั้งวงดื่ม พูดคุยกันสักพักก็แล้วกัน”
ว่าแล้วเขาก็ตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบเหล้าหลายขวดที่เก็บเอาไว้ ผลไม้และอาหารวิญญาณบางชนิดออกมา
ทุกคนต่างลากเก้าอี้ของตัวเองมานั่งรอบเตาผิง
ซางหยิงฮ่าวมองไปที่ขวดเหล้าบนโต๊ะและกล่าว “เหล้าของนาย มาจากโลกอื่นใช่ไหม?”
“อืม มันเป็นสุราของผู้ฝึกยุทธ์” กู่ฉิงซานตอบ
ซางหยิงฮ่าวผุดลุกขึ้นยืนและกล่าวทันที “ถ้าอย่างงั้นฉันคงต้องขอตัวกลับไปเอาไวน์ที่ดีที่สุดของโลกใบนี้มาบ้างแล้ว แขกทั้งสองจะได้ลองชิมรสชาติไวน์ท้องถิ่นของที่นี่บ้าง”
“เป็นความคิดที่ดีนี่นา ถ้านายกลับไปก็จัมป์กลับมาพร้อมเหลียวฮังเลยแล้วกัน”
“จะให้เขามาจริงๆ น่ะเหรอ?” ซางหยิงฮ่าวเริ่มลังเล
ดวงตาของเขาเหลือบไปมองเสี่ยวเหมียวเล็กน้อย ก่อนจะเบนกลับมากะพริบปริบๆ ให้กู่ฉิงซาน
เสี่ยวเหมียวเป็นคนสวย ครอบครองร่างกายอันทรงเสน่ห์ แถมยังมีหูแมวน่ารักๆ บนหัวของเธอ
หากเหลียวฮังผู้บ้ากามมาเห็น แล้วเกิดทำอะไรไม่เหมาะสมให้เสี่ยวเหมียวโกรธขึ้นมา เหตุการณ์มันอาจจะดูไม่ดีเลยก็ได้
กู่ฉิงซานเข้าใจได้ทันทีว่าซางหยิงฮ่าวหมายถึงอะไร
เขาตบหน้าผากตัวเองและกล่าว “ฉันว่าไม่ต้องให้เขามาหาพวกเราหรอก เอาเป็นรบกวนนายพาเขาไปช่วยเทพธิดากงเจิ้งทำลายระบบป้องกันของยานอวกาศก็แล้วกัน”
เย่เฟย์หยูกล่าว “นั่นเป็นความคิดที่ดีนะ เพราะถ้าเหลียวฮังได้เห็นยานอวกาศที่มาจากนอกโลก ฉันว่าเขาน่าจะกระโดดด้วยความตื่นเต้น และนอนไม่หลับไปสามวันสามคืนแน่ๆ”
ว่าจบเขาก็ลุกขึ้น และตามซางหยิงฮ่าวออกไปด้านนอก
“ทำไมนายต้องไปด้วยล่ะ?” กู่ฉิงซานถาม
“ก็ฉันไม่ได้กลับบ้านนานมากแล้ว แฟนฉันบางทีคงจะกำลังเป็นห่วง ฉะนั้นฉันขอกลับไปรายงานตัวกับเธอก่อน แล้วเดี๋ยวจะกลับมา” เย่เฟย์หยูตอบ
แล้วเขาก็ผลักประตู เดินออกไป
ภายในห้องจึงเหลืออยู่แค่เพียงแบรี่ เสี่ยวเหมียว และกู่ฉิงซาน
“นายมีความสัมพันธ์อย่างไรกับเด็กขี้อายที่ชื่อเย่เฟย์หยูนั่น” เสี่ยวเหมียวจู่ๆ ก็เอ่ยถามขึ้นมา
“เขาเป็นเพื่อนที่คอยติดตามผม” กู่ฉิงซานกล่าว
แบรี่กับเสี่ยวเหมียวชำเลืองมองกันและกัน
แบรี่ครุ่นคิด “เขาดูเหมือนกับ ‘พิฆาตโลก’ ในช่วงแรกเกิดเลย”
“พิฆาตโลก?” กู่ฉิงซานทวนซ้ำด้วยความสงสัย
เสี่ยวเหมียวกล่าว “ใช่ ‘พิฆาตโลก’ คือสิ่งมีชีวิตที่สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และในขั้นสุดท้ายเขาอาจจะสามารถเทียบเคียงกับเทพบรรพกาลเลยก็ได้ ถึงแม้ว่าพิฆาตโลกแบบนั้นจะเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวก็เถอะ”
“นายพอจะช่วยบอกรายละเอียดแบบเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับเขาให้ฟังหน่อยจะได้ไหม?” แบรี่ถามต่อ
หากเป็นคนอื่นถามคำถามนี้ กู่ฉิงซานคงจะต้องคิดทบทวนเกี่ยวกับมัน
แต่กับแบรี่หรือเสี่ยวเหมียว ทั้งสองเป็นคนดีมากจริงๆ กระทั่งน้ำเสียงของแบรี่ที่เปล่งออกมาก็ยังแฝงไปด้วยความห่วงใยและกังวลบางอย่าง
กู่ฉิงซานจึงไม่ลังเลเลยที่จะบอกรายละเอียดของเย่เฟย์หยูอย่างรอบคอบ
“แม้ว่าจะสูญเสียสถานะของการเป็นมนุษย์ แต่ก็ยังสามารถคิดถึงแม่ได้ ฉันถูกใจเขาจริงๆ” แบรี่ถอนหายใจชื่นชม
“แถมเขายังต้องย้อนกลับไปรายงานตัวกับแฟน นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันได้เจอกับพิฆาตโลกที่กลัวเมียแบบเขา” เสี่ยวเหมียวกล่าว
ว่าจบเธอก็หยิบสมุดออกมา และเริ่มต้นบันทึกเรื่องราวของเย่เฟย์หยู
“พิฆาตโลกคืออะไรงั้นเหรอ?” กู่ฉิงซานถาม
แบรี่ตอบ“คือสิ่งมีชีวิตที่สูญเสียตัวตนของมนุษย์ไป เป็นรูปแบบชีวิตระดับสูงในบรรดาระดับสูงที่สูญเสียเหตุและผล มีเพียงแรงผลักดันเดียวคือตนเองจะต้องวิวัฒนาการ เป็นสัตว์ประหลาดที่เรียนรู้ที่แค่การฆ่าสังหารเท่านั้น”
“แต่รูปแบบชีวิตแบบนั้นในโลกของผม ครั้งหนึ่งพวกมันเคยปรากฏขึ้นมากมาย” กู่ฉิงซานกล่าว
“ที่นายพูดถึงนั่นน่ะมันก็แค่มนุษย์ที่ติดเชื้อไวรัส เมื่อฆ่าสังหาร พวกเขาจะสามารถได้รับพลังงานชีวิตเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ใช่รูปแบบชีวิตระดับสูงแต่อย่างใด”
“แต่ในกรณีเพื่อนของนายน่ะมันแตกต่างกัน ฉันสัมผัสได้ว่าเขามาถึงระดับรากฐานที่สุดของพิฆาตโลกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสามารถใช้แต้มพลังวิญญาณได้อีกด้วย” เสี่ยวเหมียวเอ่ยเสริม โดยไม่เงยหน้าขึ้น สายตาของเธอยังคงจดจ้องอยู่แต่กับสมุดที่กำลังขีดเขียน “รูปแบบชีวิตระดับสูงของเขามีค่ามากต่อการวิจัย องค์กรใหญ่ๆ ทุกแห่งต่างก็เคยประกาศมอบรางวัลมากมายออกไป เพื่อหวังว่าจะได้รับตัวอย่างทางชีวภาพของพิฆาตโลก”
“แต่เย่เฟย์หยูมีสติอารมณ์และเหตุผล เขาไม่ใช่สัตว์ประหลาดที่รู้จักเพียงแต่การฆ่า” กู่ฉิงซานเริ่มเครียด
แบรี่พยักหน้า “ฉันสังเกตเขามาสักพักแล้ว และความจริงก็เป็นอย่างที่นายว่า นี่มันเป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากจริงๆ”
“แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป?”
เสี่ยวเหมียว “การดำรงอยู่ของเขามีค่ามากยิ่งกว่า หากเทียบกับพิฆาตโลกทั่วๆ ไป ลองจินตนาการดูสิว่าถ้าหากพิฆาตโลกไม่สูญเสียอารมณ์และเหตุผลไป ด้วยความสามารถที่จะได้รับพลังของอีกฝ่ายมาใช้ในการวิวัฒนาการร่างกายและจิตวิญญาณให้แก่ตนเอง นี่จะเป็นอะไรที่น่าหวาดกลัวขนาดไหน”
“ยิ่งไปกว่านั้น โดยไม่ต้องมีระบบของราชามาร ไม่จำเป็นต้องติดต่อกับใครๆ เขาก็สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งด้วยตัวคนเดียว นี่นับว่าเป็นวิธีการที่แม้จะหยาบ แต่ก็ง่ายดายที่สุดที่จะแข็งแกร่งขึ้น”
แบรี่กล่าวต่อ “จะมีองค์กรและอิทธิพลนับไม่ถ้วนไล่ล่าตัวเขา ทั้งหมดจะทุ่มจับตัวเย่เฟย์หยูอย่างบ้าคลั่ง เพื่อนำไปทำการศึกษาร่างกายและจิตวิญญาณของเขา”
กู่ฉิงซานมองไปยังแบรี่ จากนั้นก็มองไปที่เสี่ยวเหมียวอีกครั้ง
เห็นแค่เพียงทั้งสองที่ยังดูสงบ ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ นอกจากความกังวลเล็กน้อย
ต้องไม่ลืมนะว่าด้วยความแข็งแกร่งของสองพี่น้อง พวกเขาย่อมสามารถจับตัวเย่เฟย์หยู นำไปแลกเปลี่ยนเป็นรางวัลใหญ่ได้อย่างง่ายดาย
และสถานะยากจนของพวกเขาจะถูกทำลายไปจนหมดสิ้น
ทว่า แม้หลังจากที่สามารถยืนยันสถานะของเย่เฟย์หยูได้แล้ว ทั้งพี่ชายและน้องสาวกลับเพียงแค่กังวลเกี่ยวกับเขา ไม่มีความคิดอื่นใดแอบแฝงอยู่เลย
กู่ฉิงซานถอนหายใจเล็กน้อย
ในที่สุดเขาก็เริ่มเข้าใจขึ้นมานิดหน่อยแล้วว่าทำไมแบรี่กับเสี่ยวเหมียวถึงได้ยากจนนัก
“ถ้าอย่างนั้น สิ่งที่ผมต้องทำเพื่อช่วยแก้ปัญหาที่เย่เฟย์หยูจะต้องเผชิญคืออะไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
เสี่ยวเหมียวมองกู่ฉิงซาน ก่อนจะหันไปมองแบรี่
“พี่ชาย พี่คิดว่าอย่างไร?” เธอเอ่ยถามด้วยคำพูดที่แฝงความหมายบางอย่าง
แบรี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าว “เด็กคนนั้นดูเป็นคนขี้อายนิดหน่อย แต่ฉันคิดว่าเขาไม่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร”
เสี่ยวเหมียวเห็นด้วย “ใช่ นี่เป็นพิฆาตโลกที่แสนจะหายาก หากสถานที่ที่เขาอยู่คือในสมาคม พวกเราก็คงวางใจ ว่าเขาคงไม่ถูกคนอื่นๆ จับตัวไปอย่างง่ายดาย”
“และที่สำคัญที่สุดก็คือ เขา ‘เกือบ’ ที่จะวิวัฒนาการไปยังขั้นต่อไปแล้ว”
........................................