ตอนที่ 586 สถานการณ์ที่อันตรายยิ่งกว่า
บนท้องฟ้า สายลมเริ่มพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อสัมผัสได้ถึงการกระทำที่คิดตัดผ่านขอบเขตของผู้ฝึกยุทธ์ กฎเกณฑ์ของโลกก็เริ่มตอบสนองทันที
ซึ่งนี่มันแตกต่างจากในโลกอื่นๆ สถานที่แห่งนี้คือโลกที่ถูกทิ้งไว้โดยเหล่าทวยเทพ ดังนั้นอำนาจของสายฟ้าจึงเป็นสิ่งที่ทรงพลังมากที่สุด!
มันเป็นตัวแทนของเทพบรรพกาล ที่จักสามารถสำแดงอำนาจทำลายทุกสิ่งอย่างได้
เป็นการลงทัณฑ์จากเหล่าทวยเทพ!
ดังนั้น
ถึงแม้ว่ากู่ฉิงซานจะยังมิได้ริเริ่มเข้าสู่กระบวนการตัดผ่าน แต่เมฆทะมึนก็ได้ปรากฏขึ้นจนปกคลุมไปทั่วผืนฟ้าแล้ว
โลกที่ถูกทิ้งไว้โดยเหล่าทวยเทพ บัดนี้ถูกเมฆหนาปกคลุม ตกอยู่ในความมืดมิดโดยสมบูรณ์
ฉากตรงนี้ บอกตรงๆ ว่าแม้แต่กู่ฉิงซานเองก็ยังแปลกใจเล็กน้อยเช่นกัน
เพราะในระหว่างการตัดผ่านของผู้ฝึกยุทธ์ เมฆหมอกแห่งการลงทัณฑ์จะปกคลุมอยู่แค่เพียงในอาณาเขตที่แน่นอน เพื่อระเบิดสายฟ้า ฟาดผ่าลงแค่เฉพาะบริเวณที่ผู้ฝึกยุทธ์อยู่เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยเห็นฉากที่เมฆทะมึนปกคลุมไปทั่วผืนฟ้า ไกลไปสุดลูกหูลูกตาอย่างนี้มาก่อนเลย
ทันทีเมฆแห่งการลงทัณฑ์เริ่มปกคลุมหนาแน่น ตามตัวเมฆก็ปรากฏถึงแสงสายฟ้าปะทุขึ้น แลคล้ายกับสัตว์ประหลาดยักษ์กำลังว่ายวน ผุดออกมาและหายไปท่ามกลางเมฆทะมึนเป็นครั้งคราว
พลานุภาพแห่งสายฟ้าสวรรค์ กำลังค่อยๆสำแดงอำนาจต่อหน้าฝูงชนอย่างช้าๆ
“โอ้สวรรค์เถอะ ทัณฑ์สายฟ้าเช่นนี้ คงไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานมันได้” ทหารพิทักษ์พ่นลมหายใจออกมา
ลอร่าอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “อีเลีย ก่อนหน้านี้เจ้าเคยแลกเปลี่ยนวรยุทธ์กับเขามาก่อนใช่หรือไม่ ตอนนี้เราต้องการที่จะให้เจ้าประเมินสถานการณ์ดู ว่าด้วยความแข็งแกร่งของเขา จักสามารถรอดชีวิตการจากลงทัณฑ์ของทวยเทพนี้ไปได้หรือไม่?”
อีเลียพยายามสัมผัสถึงพลานุภาพของเหล่าทวยเทพบนท้องฟ้า เธอใคร่ครวญและกล่าว “หากเป็นสายฟ้าในปัจจุบัน ข้าคิดว่าเขายังสามารถอดทนได้ อย่างไรก็ตาม ข้าได้ยินมาว่าทัณฑ์สายฟ้าของผู้ฝึกยุทธ์ ยิ่งนานก็จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น...”
“ทำไมกันนะ ทำไมเขาถึงเลือกที่จะตัดผ่านขอบเขตในโลกของเหล่าทวยเทพแบบนี้? ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ” อีเลียกล่าวในสิ่งที่คิด
ลอร่ากัดริมฝีปากของเธอ และไม่สามารถเอ่ยคำใดออกมาได้สักพัก
กระแสลมเริ่มพัดรุนแรงขึ้น แรงขึ้นเรื่อยๆ
แต่มองไปยังเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน กลับได้ยินเพียงเสียงของกระดิ่งลมที่ยิ่งแรง เสียงกังวานของมันก็ยิ่งคมชัด
สายตาของอีเลียหยุดนิ่งลงบนกระดิ่ง ก่อนที่ทั้งคนทั้งร่างของเธอจะสั่นสะท้าน
“ข้าเข้าใจแล้ว!” เธอพึมพำ
“ว่าอย่างไร?” ลอร่าถามทันที
อีเลียกล่าว “วิธีที่ผู้ฝึกยุทธ์จะแข็งแกร่งขึ้นได้ คือการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรของสวรรค์และโลกมาเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ตนเอง ดังนั้นพวกเขาจึงจำต้องฝ่าด่านสายฟ้าสวรรค์ และมวลมารมากมายที่บุกเข้ามา ซึ่งไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์จากในโลกใด นี่ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องเผชิญ”
เธออ้าปากค้างสูดลมหายใจและกล่าวต่อ “ดังนั้น เขาจึงใช้ประโยชน์จากในช่วงเวลาตัดผ่าน ให้มันสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ของโลก สั่นกระดิ่งเพื่อเรียกขานมารสวรรค์ให้มาปรากฏกาย”
“ซึ่งในกรณีนี้ เขาไม่จำเป็นที่จะต้องจ่ายราคาใดๆ เลย เพราะกฎเกณฑ์ของโลกจะยินยอมปลดปล่อยมารสวรรค์ให้เข้ามาและสังหารเขาอยู่แล้ว!”
“แท้จริงแล้วยังมีวิธีแบบนี้อยู่…เขาสามารถคิดกลยุทธ์เช่นนี้ขึ้นมาได้อย่างไรกัน?” เธอถอนหายใจ
ลอร่ากล่าวยด้วยความวิตก “แต่สายฟ้าสวรรค์เป็นตัวแทนแห่งการลงทัณฑ์ของทวยเทพนะ และตอนนี้อำนาจของมันก็ทวียิ่งกว่าปกติถึงหลายเท่า แถมมารสวรรค์ยังเป็นตัวตนที่เกิดมาเพื่อกัดกินจิตวิญญาณเป็นอาหารอีก ถ้าปรากฏตัวขึ้น มันคงพร้อมที่จะโฉบเข้ากินเขาได้ทุกเมื่อ”
“ใช่ไหมล่ะ เขาไม่สมควรที่จะทำแบบนี้เลย มันอันตรายเกินไปสำหรับตนเอง” อีเลียกล่าว
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกนะ” ลอร่ากล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “เพราะตั้งแต่ที่เรารู้จักชายผู้นี้มา เขามักจะทำสิ่งที่อันตรายที่สุดอยู่เสมอๆ”
ระหว่างกล่าว จู่ๆ ก็เริ่มเกิดปรากฏการณ์ใหม่ขึ้น
ในอากาศที่ว่างเปล่าบริเวณจัตุรัส เริ่มมีเงาของปีศาจที่ทั้งร่างของมันท่วมไปด้วยแสงสีม่วงผุดออกมา
ทว่านี่มิใช่มารสวรรค์ มันเป็นเพียงวิญญาณชั่วร้ายที่สัมผัสได้ว่าผู้ฝึกยุทธ์กำลังจะยกระดับเท่านั้น
ภายในถ้ำของโลกเทวะ ครั้งหนึ่งกู่ฉิงซานเคยทะลวงขอบเขต และก็ได้พบมันมอนสเตอร์ชนิดเดียวกับแบบนี้เช่นกัน
ในบางแง่มุม มอนสเตอร์เหล่านี้ก็คล้ายคลึงกับมารสวรรค์ มันมีหน้าที่หยุดผู้ฝึกยุทธ์มิให้ตัดผ่านไปยังขอบเขตต่อไป
เป็นสิ่งชั่วร้ายที่เรียกกันว่า ‘ศัตรูโดยธรรมชาติของผู้ฝึกยุทธ์’
“โอ้ ผู้ฝึกยุทธ์อย่างอย่างนั้นหรือนี่ ฮี่ๆ อาหารที่ยอดเยี่ยมและเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณ…”
วิญญาณชั่วร้ายกำลังจะอ้าปากออก
แต่ดาบพิภพพลันกะพริบไหว และหายไปในความว่างเปล่า
พริบตาต่อมา ศีรษะของวิญญาณร้ายตนนี้ก็ถูกสะบั้นลงทันที
กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น เขาเอ่ยเตือน “จงอย่าทำร้ายพวกมันถึงชีวิต มิฉะนั้นแล้วพวกเราจะไม่สามารถพูดคุยธุระกับพวกมันได้”
“ต้องการเช่นนั้นหรือ? อย่างนั้นก็ตามใจเจ้า” ดาบพิภพรับคำขอ
มันลอยกลับมาอย่างช้าๆ และแขวนอยู่ในอากาศที่ว่างเปล่าข้างกายกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ
ในตอนนั้นเอง วิญญาณร้ายอีกตัวหนึ่งก็ผุดออกมาจากความว่างเปล่า
บนตัวมันงอกกระดูกเดือยแหลมนับไม่ถ้วน ขณะที่เดือยแหลมเหล่านั้นส่ายไปตามสายลม คล้ายกับว่าสามารถขยับไหวได้อย่างอิสรเสรี
เทียบเปรียบกับมอนสเตอร์ตัวก่อนหน้านี้แล้ว วิญญาณร้ายตนนี้มีพลังมากยิ่งกว่าหลายเท่านัก
“อ่า เจ้าหนูที่กำลังคิดตัดผ่านประทับเทพ จงกลายมาเป็นอาหารวันนี้ของ...”
วิญญาณร้ายเอ่ยพึมพำ และผุดแยกออกมาจากในความว่างเปล่า
คราวนี้ดาบพิภพก็ยังลอยออกไป แต่ลดความเร็วลง
มันลอยไปอย่างเงียบงันและเคาะแผ่วเบาลงบนวิญญาณร้ายอย่างอ่อนโยน
ในเสี้ยวลมหายใจ วิญญาณร้ายพลันแปรเปลี่ยนเป็นภาพติดตา ผลุบหายเข้าไปในความว่างเปล่า มิอาจหาร่องรอยได้อีกเลย
ถัดมา ก็ยังมีอีกหลายสิบวิญญาณร้ายปรากฏขึ้น แต่ทั้งหมดก็ถูก ‘ส่ง’ กลับไปโดยดาบพิภพ
แต่ก็น่าแปลก เพราะแม้เวลาจะล่วงเลยไปกว่าหนึ่งก้านธูปแล้ว แต่ก็ยังไม่มีมารสวรรค์ตนใดปรากฏขึ้นมาเลย
จักรพรรดินีมารสวรรค์ยังไม่ยอมออกมา
หลายต่อหลายครั้ง ที่กู่ฉิงซานสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายบางเบาของมารสวรรค์ที่มาเยือน แต่มารสวรรค์เหล่านั้นคล้ายกับหวาดกลัวในบางสิ่ง และเร่งจากไปก่อนที่จะปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
พวกมันหวาดกลัวอะไรกันแน่นะ?
กู่ฉิงซานรู้สึกประหลาดใจอย่างลับๆ
ตามปกติแล้วมันไม่สมควรเป็นเช่นนี้เลย เพราะท้ายที่สุดนี้ มารสวรรค์น่ะได้เคยปรากฏตัวขึ้นแล้วในโลกใบนี้ นอกจากนั้น วิญญาณร้ายมากมายก็รับรู้ได้ถึงการตัดผ่านของเขา ข่าวนี้น่าจะแพร่กระจายไปทั่วจนถึงหูของอีกฝ่ายแล้ว แถมกฎเกณฑ์แห่งโลกก็เตรียมพร้อมที่จะปลดปล่อยทัณฑ์สวรรค์ที่ทรงพลานุภาพแล้วเช่นกัน
ด้วยสิ่งนี้ ก็พอจะบ่งบอกได้ชัดเจน ว่าทัณฑ์สวรรค์ของกู่ฉิงซาน ได้รับการยอมรับจากโลกใบนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้วจริงๆ
แต่ทำไม…ทำไมมารสวรรค์ถึงไม่ปรากฏตัวขึ้นมาสักทีล่ะ?
กู่ฉิงซานคิดอยู่สักพัก แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ
อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงรักษาสภาวะเตรียมตัดผ่านต่อไป ขณะเดียวกันก็ใช้จิตสัมผัสเทวะรับรู้ถึงสร้อยกระดิ่งอย่างใกล้ชิด
ท่ามกลางสายลม เสียงกระดิ่งกริ๊งกรั๊งดังไพเราะ
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า
สักพักหนึ่ง
ในที่สุดบนความว่างเปล่าก็เริ่มผุดรอยแยกออก
ทันใดนั้นเอง แสงสีเหลืองอ่อนอันงดงามดั่งแสงตะวันก็ส่องสว่างขึ้น สาดประกายระยับปกคลุมไปตลอดทั้งจัตุรัส
ภายใต้แสงของดวงตะวัน เสียงของผู้หญิงแสนอ่อนหวานนับไม่ถ้วนกังวานขึ้น
พวกเธอร้องเพลงขับขานเป็นเสียงเดียวกัน “โอ บทกวีแห่งรั่วหมิง แอปเปิลในป่าใหญ่ แขกเหรื่อรื่นเริง ท่วงทำนองขลุ่ยเวียนวน ยิ่งฟังยิ่งกระจ่างชัดกว่าจันทรา ยามใดหนอจักลืมเลือน ความปวดร้าวอันมิอาจตัดให้ขาดนี้ลงได้”
ในหัวใจของกู่ฉิงซานสั่นสะท้าน
เขาเคยได้เห็นถึงการปรากฏตัวของมารสวรรค์ด้วยตาตนเองมาอยู่หลายครั้ง แต่ตนมิเคยพบเจอกับพลังอันยิ่งใหญ่เช่นนี้มาก่อนเลย
เป็นใครกันที่มาเยือน?
ขณะขบคิดเกี่ยวกับมัน รอยแยกในความว่างเปล่าเบื้องหน้าเขาก็เริ่มแยกออก
ตลอดทั้งท้องฟ้า บุปผาร่วงโรยลงมาดั่งห่าฝน กระทบกับพื้นส่งเสียงสะท้อนกังวานก้อง
แท้จริงแล้วกลับกลายเป็นหญิงงามวัยผู้ใหญ่ ที่บินออกมาจากรอยแยกในอากาศ
เธอสวมใส่ชุดคลุมสีดำ ดวงตาและซี่ฟันขาวสดใส เจ้าตัวครอบครองทรวดทรงที่สมส่วนและอ่อนหวาน ใบหน้าเลิศเลองดงามล่มเมือง
อย่างไรก็ตาม เธอไม่เหมือนดั่งเช่นมารสวรรค์ทั่วไป เธอไม่เผยท่าทียั่วยวน แต่ละการเคลื่อนไหวช่างดูทรงเกียรติ บรรยากาศรอบกายเธอช่างสง่างามและมากไปด้วยขนบพิธี
หญิงใหญ่ชุดคลุมดำเหยียบย่างลงตรงจุดใด ดอกไม้งามก็จะผุดขึ้นความว่างเปล่า รองรับฝ่าเท้าของเธอ เจ้าตัวค่อยๆก้าวเข้าหากู่ฉิงซานอย่างเชื่องช้า
สายตาของเธอกำลังจับจ้องเขาอย่างเงียบๆ
กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น และเฝ้ามองอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง
มีใครบางคนมาก็จริง แต่คนผู้นี้ไม่ใช่จักรพรรดินีมารสวรรค์
กู่ฉิงซานกล่าวอย่างนอบน้อม “ต้องขออภัยจริงๆ แต่ผู้น้อยมิได้เรียกขานท่านผู้ทรงเกียรติ อันที่จริงแล้ว ผู้น้อยกำลังรออีกคนหนึ่งอยู่”
“เจ้ากำลังรออีกคนหนึ่งอยู่อย่างนั้นหรือ?” หญิงชุดดำเอ่ยถาม
“ใช่ ข้ากำลังเฝ้ารอมารสวรรค์อีกตนหนึ่งอยู่” กู่ฉิงซานกล่าว
“โห? แล้วเจ้ามีความสัมพันธ์แบบใดกับมารสวรรค์ตนนั้น?” หญิงใหญ่ชุดดำกล่าว
กู่ฉิงซานนิ่งงันไป
มีความสัมพันธ์แบบใดอย่างอย่างนั้นหรือ...
ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่เขากลับรู้สึกว่าตนสมควรที่จะตอบคำถามนี้ให้ดี
นี่มันเป็นสัญชาตญาณ! เป็นสัญชาตญาณที่อยู่เหนือเหตุและผล
“อา... ข้ากับนางกำลังร่วมมือกัน” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างจริงจัง
“ร่วมมือกัน?…แต่จะมีสิ่งใดกันที่มนุษย์กับมารสวรรค์สามารถร่วมมือกันได้” หญิงใหญ่ชุดดำส่ายหัวและกล่าว
“เป็นการร่วมมือที่แต่ละฝ่ายจะได้สิ่งที่ตนปรารถนา ข้าจะจ่ายสิ่งตอบแทนให้แก่นาง ขณะที่นางจะต้องร่วมกันเอาชนะศัตรูของข้า” กู่ฉิงซานตอบ
หญิงใหญ่พอได้ฟัง ก็จ้องมองเขาเป็นเวลานาน
กู่ฉิงซานนิ่งค้างไปด้วยความสับสน
อย่างไรก็ตาม มารสวรรค์หญิงตนนี้ให้ความรู้สึกที่พิเศษ แตกต่างออกไป ดาบพิภพยังถึงขั้นลอบถามเขาอยู่หลายครั้งว่าจะโจมตีออกไปเลยดีไหม
กู่ฉิงซานกล่าว “เอาล่ะ หากท่านผู้ทรงเกียรติไม่มีธุระอะไรแล้ว โปรดจากไปเถิด ผู้น้อยจะได้เฝ้ารอหุ้นส่วนต่อ”
“หุ้นส่วน…” หญิงใหญ่ชุดดำพึมพำ
เธอขบคิดเกี่ยวกับประโยคทั้งหลายอย่างลึกซึ้ง แล้วจู่ๆ ก็ยื่นมือออกมา
เห็นแค่เพียงกระดิ่งมารสวรรค์ที่โดยปกติแล้วสาดกลิ่นอายหนาวเหน็บ ก่อนจะเปล่งท่วงทำนองแห่งความสุขออกมา มันลอยออกไป และตกลงในมือของหญิงใหญ่ชุดดำ
กู่ฉิงซานเลิกคิ้ว และผุดลุกขึ้นทันที
แม้ว่าสัญชาตญาณของตัวเองจะบอกว่าเขาไม่ควรทำเช่นนั้น แต่กระดิ่งนี้เป็นสัญญาณยืนยันตัวของจักรพรรดินีมารสวรรค์ เขาไม่สามารถมอบให้ใครโดยไม่มีเหตุผลได้
กู่ฉิงซานคว้าจับดาบพิภพ ปากเอ่ยน้ำเสียงเฉียบขาด “ท่านผู้ทรงเกียรติ ขออภัยด้วย กระดิ่งนั่นข้าให้ท่านไม่ได้”
“เพราะเหตุใด?” หญิงใหญ่ชุดดำเอ่ยถาม
เธอยังคงจับจ้องเขา คล้ายกับกำลังมองตัวประหลาดที่ไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน
“เพราะกระดิ่งนั่นมีเจ้าของ” กู่ฉิงซานกล่าว
หญิงใหญ่ชุดดำ “ใช่ข้ารู้ กระดิ่งนี่มีเจ้าของจริงๆ แต่ที่ข้ายังไม่รู้ก็คือ...”
ในที่สุดเธอก็ตรงเข้าประเด็นหลัก และเอ่ยถามออกไป “ผู้ฝึกยุทธ์เช่นเจ้า เหตุใดจึงใช้สัญญาณของบุตรสาวข้า แอบเรียกขานนางอย่างลับๆ พฤติกรรมเช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไร?”
“บุตรสาว…ข้า?”
กระดิ่งนั่นคือของลูกสาวนางอย่างนั้นหรือ
กู่ฉิงซานกลายเป็นโง่งม
เดิมที เขาได้ตระเตรียมวาจาคมคายไว้สำหรับการตอบโต้มากมาย แม้กระทั่งเทคนิคดาบก็เตรียมจะถูกใช้ออกแล้ว แต่ ณ เวลานี้ ทุกสิ่งพร่ามัว ขาดสติไปโดยสมบูรณ์
ฝูงชนที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ก็ได้ยินเสียงของหญิงใหญ่ในชุดดำนางนี้เช่นกัน
ลอร่าตกตะลึง
อีเลียตะลึงงัน
เหล่าทหารพิทักษ์อ้าปากค้าง
ทุกคนต่างมองมายังกู่ฉิงซานเป็นสายตาเดียว
นี่มันอะไรกัน หรือว่าไอ้เรื่องติดหนี้กันเล็กน้อยนั่น…ชัดเจนว่ามันอาจจะเป็น ‘หนี้’ อีกประเภทหนึ่งก็ได้กระมัง?
เดี๋ยวก่อนนะ
หรือว่าบุรุษผู้นี้…บุรุษผู้นี้กับมารสวรรค์จะ...
นี่เขาบ้าไปแล้วหรือเปล่า สมงสมองใช่ถูกลาเตะจนพิการไปแล้วหรือไม่?
ดูนั่นสิ แม่อีกฝ่ายถึงขั้นมาเยือนถึงหน้าประตูแล้วนะ!
ฝูงชนเบนสายตาไปมองหญิงใหญ่ชุดดำอีกครั้ง
หญิงใหญ่ชุดดำยังคงยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ แต่แรงกดดันปลดปล่อยออกมา มันกลับตรงกันข้าม
เธอทำแค่เพียงเก็บกระดิ่งไว้เบื้องหลัง ยกสองมือขึ้นกอดอก และเฝ้ามองมายังกู่ฉิงซานอย่างตั้งใจ
เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่ค่อยๆเก็บดาบกลับคืนอย่างเงียบๆ
เวลานี้ เขาไม่สามารถทำอะไรให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว
เพื่อที่จะยืนยันสถานการณ์ เขาจึงเอ่ยถามอีกครั้ง “ท่านกำลังจะบอกว่า สิ่งนั้นคือของของบุตรสาวท่านอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่” หญิงชุดดำกล่าวด้วยน้ำเสียงปราศจากซึ่งอารมณ์ความรู้สึก “นี่คือกระดิ่งมารสวรรค์ของบุตรสาวข้า และตั้งแต่ที่นางได้ถือกำเนิดขึ้นมา นางมิเคยทำมันหาย หรือมอบมันให้แก่ผู้ใดมาก่อนเลย ดังนั้นข้าจึงอยากจะรู้เรื่องราวเป็นอย่างมาก”
กู่ฉิงซานบอกตามตรงว่าเป็นคนที่ไม่เคยตื่นตระหนกมาก่อน
แต่บัดนี้ ความสงบทั้งกายใจของเขามลายหายไปโดยสมบูรณ์
“คือว่าเรื่องมันยาว...ขอให้ข้าได้อธิบายอย่างช้าๆ...”
เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ นิ่งคิดอยู่นานว่าจะเรียบเรียงคำพูดอย่างไรดี
สถานการณ์ในปัจจุบันนี้ ดูท่าว่าจะอันตรายยิ่งกว่าการเผชิญหน้ากับระบบของราชามารเสียอีก!!
..............................................