webnovel

0510 อัลเบอัสของจริง

ตอนที่ 510 อัลเบอัสของจริง

กู่ฉิงซานต้องการที่จะคืน ‘เทพแห่งกองทัพทะเลเลือด’ กลับคืนให้แก่ซูเซี่ยเอ๋อ

แต่ซูเซี่ยเอ๋อไม่ยอมฟังเขาพูดเลย และยัดไพ่ใบนั้นลงในกระเป๋าเสื้อเขาแทน

กู่ฉิงซานหมดหนทาง เขาไม่มีทางเลือกนอกจากเก็บ ‘เทพแห่งกองทัพทะเลเลือด’ เอาไว้ชั่วคราว

ในตอนนั้นเอง เสียงที่ฟังดูกระจ่างชัดของแสงแห่งรุ่งอรุณก็ดังขึ้นภายในห้อง พร้อมกับอากาศรอบตัวซูเซี่ยเอ๋อที่ถูกเติมเต็มไปด้วยอะไรบางอย่าง

ซูเซี่ยเอ๋อแสดงถึงสีหน้าของการรับฟังอย่างตั้งใจ

แต่ไม่นานปรากฏการณ์เหล่านี้ก็หายไปอย่างรวดเร็ว

“เมื่อกี้มันคืออะไรกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“เป็นการเรียกขานของวิหคหนามน่ะ แสงแห่งรุ่งอรุณคงสัมผัสได้ถึงความตั้งใจของฉัน และบังเอิญว่าฉันมาเร็วที่สุด ดังนั้นมันจึงตัดสินใจให้ฉันเข้าสู่โลกของมันในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อจากนี้” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว

“แต่ทำไมฉันถึงไม่รู้สึกอะไรเลย?” กู่ฉิงซานถาม

“นั่นเรื่องปกติอยู่แล้ว เพราะนายพึ่งจะมาถึง และคงจะใช้เวลาอีกนานกว่าจะถึงคิว”

“อีกหนึ่งชั่วโมงอย่างงั้นเหรอ…” กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำ

ตนไม่คาดคิดเลย ทั้งๆ ที่อุตส่าห์ได้เจอกับซูเซี่ยเอ๋อแล้ว แต่มันกลับเป็นเพียงชั่วเวลาสั้นๆ เธอก็จะจากไป

ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว “ไม่เป็นไรหรอก ฉันจะไปสำรวจเส้นทางก่อน แล้วรอนายข้างหน้าไง” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว

กู่ฉิงซานเปลี่ยนความคิดฟุ้งซ่านนี้ทันที ‘ก็จริงนะ ไม่ช้าก็เร็ว อย่างไรฉันก็จะต้องเข้าไปอยู่แล้ว’

เขาจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนว่าเธอจะตัดสินใจถูกต้องแล้วนะ เพราะถ้าพวกเราไปงานเลี้ยงกัน ฉันกลัวว่างานเลี้ยงจะยังไม่ทันจบ เธอก็คงจะต้องรีบออกมาซะก่อน”

“ใช่ เพราะฉะนั้นพวกเราก็ไปพักผ่อนกันในรีสอร์ตของอัลเบอัสเถอะ ภายในรีสอร์ต การไหลของกระแสเวลามันเชื่องช้ามาก พวกเราจะได้อยู่กันนานอีกสักเล็กน้อย” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว

“งั้นก็ไปกันเลยเถอะ มัวรออะไรอยู่เล่า” กู่ฉิงซานตบเบาๆ ลงบนโต๊ะ

ซูเซี่ยเอ๋อยื่นมาออกมาและกล่าว “ขอป้ายห้องของนายให้ฉันหน่อย”

“อ้าว แล้วของเธอล่ะ?” กู่ฉิงซานถาม

“ฉันแอบหนีออกมาเอง เลยไม่ได้พกเงินมามากพอที่จะอาศัยในห้องพักชั้นสูง และอีกอย่าง มีเพียงห้องพักระดับนายเท่านั้น ถึงจะสามารถเพลิดเพลินไปกับอัลเบอัสแบบฟรีๆ ได้”

กู่ฉิงซานเอาป้ายออกมา และวางมันลงในมือของซูเซี่ยเอ๋อ

หัวใจของซูเซี่ยเอ๋อคลายลง และเริ่มกระตุ้นตัวป้าย

ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาจากป้ายทันที

“แขกผู้มีเกียรติ ไม่ทราบว่าท่านมีสิ่งใดต้องการให้กระผมรับใช้?”

“เรากำลังจะไปที่รีสอร์ตอัลเบอัส”

“ท่านวางแผนที่จะอยู่ยาวสักแค่ไหน?”

ซูเซี่ยเอ๋อคิดอยู่ครู่จึงกล่าว “น่าจะซัก...ครึ่งเดือน”

“ด้วยระดับห้องพักของท่าน ได้รับการยืนยันว่าสามารถพักยาวนานถึงช่วงเวลาดังกล่าวได้โปรดรอสักครู่”

เสียงยังไม่ทันจะตกลง ป้ายสีทองก็ลอยขึ้นไปในอากาศที่ว่างเปล่า และเริ่มปลดปล่อยอักษรรูนทีละตัว ทีละตัวออกมา

อักษรรูนถูกควบรวมเข้าด้วยกันเป็นกลุ่มก้อน แปรสภาพเป็นประตูที่เปิดกว้าง

ทั้งสองมองลอดผ่านเข้าไปในประตูอักษรรูน และเห็นแค่เพียงภูเขาที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มันเป็นภูเขาที่ยืดยาวออกไป โดยตรงส่วนยอดเต็มไปด้วยหิมะขาว ขณะที่ปรากฏถึงเมืองเล็กๆ ตั้งอยู่เบื้องล่าง มันเต็มไปด้วยทัศนียภาพอันสวยงาม ให้กลิ่นอายความรู้สึกเงียบสงบและเหมาะกับการพักผ่อน

มีทะเลสาบใสตั้งอยู่ใกล้กับตัวเมืองเล็กๆ และมีผู้คนล่องแพอยู่บนทะเลสาบ

อีกด้านหนึ่งของทะเลสาบ เป็นถนนกว้างใหญ่ มันเป็นเส้นทางลากยาวออกไปสู่มหานครอันยิ่งใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปอีกที่หนึ่ง

กู่ฉิงซานกับซูเซี่ยเอ๋อถอนสายตากลับมา

เห็นแค่เพียงม้าสองตัวที่กำลังควบจากทุ่งหญ้า และมาหยุดอยู่หน้าปากทางเข้าประตูอักษรรูน

ร่างของพวกมันกำยำ แลดูน่าเกรงขาม ขณะที่ขาทั้งสี่ของพวกมันลอยอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย

กลิ่นอายของธาตุลมและน้ำตีเข้าใส่ร่างกายของเขาและเธอ แม้จะเพียงผ่านมาจากประตู แต่กู่ฉิงซานก็ยังสามารถรับรู้ได้ว่าเจ้าม้าสองตัวผู้ครอบครองกลิ่นอายนี้มีพลังเพียงใด

ม้ามองไปยังกู่ฉิงซานกับซูเซี่ยเอ๋อและร้องเสียงฮี่ๆ

“ดูนั่นสิ เหมือนว่าพวกมันกำลังเรียกเราอยู่นะ” ซูเซี่ยเอ๋อหัวเราะ

กู่ฉิงซานครุ่นคิดและกล่าว “ฉันได้ยินมาว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ จะไม่ได้รับอันตรายใดๆ”

“ใช่แล้วล่ะ นายคิดจริงๆ เหรอว่าจะมีอันตรายใดๆเกิดขึ้นในรีสอร์ตของอัลเบอัส?” ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยถามแปลกๆ

“แต่ฉันขี่ม้าไม่เป็นนะ…มันจะไม่อันตรายจริงๆ เหรอ?” กู่ฉิงซานจ้องมองไปที่ม้า เอ่ยปากอย่างไม่มั่นใจ

ซูเซี่ยเอ๋อพอได้ยินก็หัวเราะ

เธอดึงกู่ฉิงซานเข้าไปในประตูอักษรรูน

แล้วก็เริ่มสอนพื้นฐานการบังคับม้าด้วยมือให้แก่เขา

“วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือ นายจะต้องปรับจังหวะการสะบัดให้เข้ากับจังหวะของม้า นายจะต้องปฏิบัติตามมัน อย่างรวดเร็ว ถ้ามันช้า นายก็ต้องปรับจังหวะตาม แค่นี้อย่างน้อยเวลาขี่มัน อวัยวะภายในของนาย ก็จะได้ไม่กระเทือนจนมากเกินไป”

“หมดแค่นี้แล้วใช่ไหม?” กู่ฉิงซานกุมบังเหียนและเอ่ยถาม

“ที่เหลือก็คงต้องทดลองดูด้วยตัวเองล่ะนะ”

ซูเซี่ยเอ๋อตบตูดม้าและตะโกนออกมา “ไปได้!”

แล้วม้าก็พุ่งหายไปทันที ราวกับลูกศรที่ถูกดีดออกจากสาย

“นี่เธอแกล้ง” เสียงของกู่ฉิงซานดังออกมาจากระยะไกล

ในพริบตา เขาก็หายไปแล้ว

ซูเซี่ยเอ๋อยังคงยืนอยู่ในจุดเดิม เฝ้ารอจนกระทั่งไม่สามารถมองเห็นกู่ฉิงซานได้อีกต่อไป เธอจึงค่อยๆ ยื่นมือขึ้นมาและขยี้ดวงตาที่แดงก่ำของตัวเอง

เธอกระโดดขึ้นไปบนหลังม้า และเริ่มวิ่งตามกู่ฉิงซานไป

ณ เมืองเล็กๆ

นี่คือรีสอร์ตที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอัลเบอัส

ในเมืองดังกล่าว กระแสเวลาจะค่อยๆไหลผ่านไปอย่างช้าๆ

ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ที่นี่เป็นสถานที่ที่เหล่าเทพบรรพกาลรวบรวมภูมิปัญญาและ พลังอำนาจอันคงกระพันทั้งหมด ช่วยกันสร้างโลกใบเล็กๆ ขึ้นมา

โดยที่มันมีกฎอันเป็นเอกลักษณ์อยู่สองข้อ

หนึ่งคือ ผู้คนที่ใช้เวลาครึ่งเดือนที่นี่ จะเทียบเท่ากับเวลาเพียงหนึ่งวันเท่านั้นในภายนอก

สองคือกฎเกณฑ์ของที่นี่จะปกป้องทุกคนจากอันตราย

บางทีเทพบรรพกาลอาจจะตั้งใจใช้โลกเล็กๆ ใบนี้ ทำบางสิ่งบางอย่างก็เป็นได้

แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่มีเวลามากพอที่จะทำมัน หลบลี้จากไปด้วยความเร่งรีบซะก่อน

อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกัน ด้วยกฎเกณฑ์ทั้งสองข้อนี้ ส่งผลให้สถานที่แห่งนี้เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักผ่อน

กู่ฉิงซานกับซูเซี่ยเอ๋อยืนอยู่ใจกลางเมือง เอ้อระเหยจนลืมเนื้อลืมตัว

สถานที่ที่พวกเขายืนอยู่ มันลอยล่องไปด้วยหิ่งห้อยชนิดพิเศษ

และแต่ละหิ่งห้อยเป็นตัวแทนของสกิลอันอยู่ยงคงกระพัน

เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณคว้าจับมัน คุณจะสามารถเข้าสู่ห้วงจินตนาการ และเห็นว่าตัวเองกำลัง ใช้สกิลอันทรงพลานุภาพนี้ต่อกรกับศัตรู

แน่นอน ว่าคุณสามารถทำได้เพียงมองดูเท่านั้น แต่ไม่สามารถสำรวจความลับของสกิลพวกนี้ได้

เพราะนี่คือคอลเลกชันที่ถูกเก็บรวบรวมมาไว้ในเมืองเล็กๆโดยเฉพาะ สกิลเหล่านี้ล้วนเป็นของตัวตนทรงอำนาจระดับสูงที่มีชื่อเสียงขจรขจายไปตลอดทั้งสายธารแห่งประวัติศาสตร์ของโลกเก้าร้อยล้านชั้น

เมื่อคุณกำหิ่งห้อย คุณจะสามารถดูตัวเองปลดปล่อยสกิลที่มีชื่อเสียงโด่งดังกำจัดศัตรูให้คร่ำครวญได้!

นี่นับเป็นประสบการณ์อันน่ารื่นรมย์ที่เขาและเธอไม่เคยพบเจอมาก่อน

“ฉิงซาน เดาสิว่าฉันเห็นอะไร?” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าวอย่างมีความสุข

“อะไรเหรอ?”

“ฉันสามารถเปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นไข่ได้ด้วยล่ะ!”

“หืม? มันก็ฟังดูเป็นสกิลที่ดีไม่เลวนี่นา แล้วจากนั้นล่ะ?”

“ต่อมา ฉันก็โยนเขาลงไปต้มในน้ำเดือด รอจนสุก ปอกเปลือกออก แล้วก็กินมัน”

“…เอ่อ มันก็แปลกดีนะ แต่เธอต้องไม่เชื่อแน่ว่าฉันได้เห็นสกิลอะไร”

“ไหนเอามาให้ฉันดูสิ”

ซูเซี่ยเอ๋อเอื้อมไปคว้าหิ่งห้อยมาจากกู่ฉิงซาน และหลับตาลง

หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ เธอก็มองมายังกู่ฉิงซานด้วยสีหน้าเจ็บปวด “นายไม่ควรจะให้ฉันได้ดูมันเลย”

“อ้าวทำไมล่ะ?” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความประหลาดใจ “นี่มันก็แค่เป็นสกิลผนึกเท่านั้นเอง มันจะทำให้คนที่โดนไม่อาจควบคุมไขมันตรงหน้าท้องได้ ไขมันจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดก็ย้อยตกลงบนพื้นดิน จนกระทั่งคนที่โดนทำได้เพียงล้มตัวลงกับพื้น ไม่สามารถขยับแขนขาได้”

“ก็นั่นแหละฝันร้ายของผู้หญิงล่ะ คนโง่เอ๊ย!”

หลังจากที่ใช้เวลาเล่นกับหิ่งห้อยอยู่นาน ในที่สุดพวกเขาก็จำต้องลาจากจากสถานที่แห่งนี้ไปอย่างไม่เต็มใจ

ในร้านค้าเล็กของเมือง ล้วนถูกจัดวางไว้ด้วยทุกชนิดของสิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่อาจจินตนาการถึงได้

ไม่มีเจ้าของร้าน ไม่มีกระทั่งพนักงานขาย ทุกอย่างสามารถสั่งได้ด้วยการนึกคิดของลูกค้า

กู่ฉิงซานกับซูเซี่ยเอ๋อเดินเล่นไปรอบๆ

จนกระทั่งมาเจอร้านอาวุธ กู่ฉิงซานเร่งก้าวเข้าไปทันที แล้วก็เห็นว่าอาวุธแต่ละชนิด ถูกเก็บแยกประเภทเอาไว้ในโลกเล็กๆ แต่ละใบ

กู่ฉิงซานเลื่อนสายตาผ่านดาบที่อยู่ในโลกใบเล็ก แต่แล้วเขาก็ชะงักไป และเลื่อนสายตาตกตะลึงกลับมา

มันคือโลกที่ประกอบไปด้วยดาบอย่างสิ้นเชิง

ถ้าไม่ใช่เพราะเขาไม่มีเงินในกระเป๋า ตัวเขาคงจะซื้อโลกนี้ไปแล้วเป็นแน่

อย่างไรก็ตาม ซูเซี่ยเอ๋อดูจะไม่สนใจอาวุธมากนัก

เธอลากกู่ฉิงซานเข้าไปยังร้านขายเสื้อผ้าผู้หญิง

ผ่านไปนาน

ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว กู่ฉิงซานกล่าวคำว่า ‘ดูดีจัง’ ออกไปกว่าเก้าสิบสี่ครั้ง กล่าวว่า ‘ก็ดี’ ไปกว่าสามสิบเอ็ดครั้ง และอีกห้าครั้งที่บอกว่า ‘ฉันว่าเปลี่ยนไปดูตัวอื่นดีกว่านะ’

พวกเขาทั้งสองคนใช้เวลาตลอดทั้งช่วงบ่ายในร้านดังกล่าว

และในระหว่างที่กำลังรอซูเซี่ยเอ๋อลองเสื้อนั้นเอง

จู่ๆ บิกินี่สีชมพูของเสี่ยวถายก็ค่อยๆแอบออกมาจากถุงเก็บสัมภาระของกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ ก่อนจะดีดตัวขึ้นมาเบื้องหน้า จนเขาสะดุ้งโหยง

“นี่เจ้าออกมาได้อย่างไรกัน?” เขาคว้ามัน และอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

โชคยังดีที่ซูเซี่ยเอ๋อลองเสื้ออยู่ในเวลานี้

มิฉะนั้น หากเธอเห็นกู่ฉิงซานอยู่กับชุดบิกินี่สีชมพู คงไม่ทราบว่าจะเธอจะคิดอย่างไร

บิกินี่ชมพูบ่น “ไหนเจ้าบอกว่ามองหาสาวทั้งสวย และสมบูรณ์แบบให้ข้าไง แต่นี่มันก็นานแล้วนะ ทำไมถึงยังไม่ได้ยินข่าวคราวอะไรสักที อย่าบอกนะว่าลืมไปแล้ว?”

กู่ฉิงซานตบหัวตัวเอง ปากเอ่ยกล่าวสูงเสียง “จะไปลืมได้อย่างไรกัน เรื่องนี้ข้ายังจำมันได้อยู่ตลอดนั่นแหละ”

เอ่อ อันที่จริงเขาลืมไปซะสนิทเลย

บิกินี่ชมพูพอได้ฟังก็กล่าวออกมาอย่างพอใจ “จำได้ก็ดีแล้ว ข้าจะรอฟังข่าวดีนะ”

แล้วมันก็ลอยกลับเข้าไปในถุงสัมภาระของกู่ฉิงซาน

“ช้าก่อน!” กู่ฉิงซานหยิบมันออกมาอีกครั้งแล้วถามว่า “เจ้าออกมาจากถุงสัมภาระของข้าได้อย่างไร?”

“ข้าสามารถนำพาเจ้าข้ามผ่านชั้นโลกนับไม่ถ้วนได้ ดังนั้น ไอ้ถุงเล็กๆนี่ไม่นับว่าเป็นอุปสรรคหรอก” บิกินี่กล่าว

“งั้นช่วงนี้ก็อย่าพึ่งออกมาโดยพลการก็แล้วกัน เรื่องของเจ้า ข้ากำลังคิดหาทางอยู่” กู่ฉิงซานกระตุ้นเตือนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

“เข้าใจแล้ว เข้าใจ! ข้าจะตั้งตารอฟังข่าวดีจากเจ้าก็แล้วกัน”

กู่ฉิงซานยัดมันกลับลงไปในถุงสัมภาระ

ขณะนั้นเอง ซูเซี่ยเอ๋อก็รีบวิ่งมาด้วยความตื่นเต้น

“แล้วชุดนี้ล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง” เธอที่สวมชุดกระโปรงยาวมาหยุดอยู่เบื้องหน้ากู่ฉิงซาน และหมุนตัวช้าๆ จนชายกระโปรงลอยพลิ้วไหวเป็นวงกลม

“ไม่มีที่ติ! สวยมากๆเลย” กู่ฉิงซานยกนิ้วโป้งให้อีกฝ่าย

“แต่ยังมีกระโปรงอีกตัวที่ดูดีเหมือนกัน เดี๋ยวฉันขอลองอีกรอบดีกว่า” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าวและเดินแยกตัวออกไปอีกครั้ง

กู่ฉิงซานปาดเหงื่อบนหน้าผากเขา

อันตรายจริงๆ เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ

เกือบจะให้ซูเซี่ยเอ๋อได้เห็นว่าตัวเองกำลังกุมบิกินี่สีชมพูอยู่ในมือซะแล้ว

มั่นใจได้เลย ว่าถ้าเห็น เธอจะต้องคิดว่าเขาเป็นพวกโรคจิตแน่ๆ

หลังจากผ่านไปอีกสักพัก ในที่สุดซูเซี่ยเอ๋อก็ลองเสื้อจนเสร็จ

และเวลานี้ มันก็มืดแล้ว

“เธอหิวไหม?”

“อ่า...หิวแล้ว”

แล้วทั้งสองก็ไปกินอาหารค่ำด้วยกัน

ตลอดทั้งเมืองเล็กๆ แห่งนี้ มีร้านอาหารอยู่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

และเป็นที่เล่าลือกันว่า ไม่ว่าจะมีลูกค้ามากมายเพียงใดก็ตาม แต่ในร้านก็ไม่เคยแออัด เบียดเสียดกันเลย

ชนิดที่ว่าครั้งหนึ่ง มันเคยรองรับลูกค้าได้มากกว่าสี่ร้อยล้านคนมาแล้วในเวลาเดียวกัน!

ทั้งสองนั่งลงในร้านอาหารที่ว่างเปล่า

“แปลกจัง ที่นี่มันเป็นรีสอร์ตแท้ๆ แต่ทำไมถึงมีคนนิดเดียวเอง” กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ

ตลอดทั้งเมือง แทบจะไม่เห็นผู้คนเลย

มีเพียงเขาและซูเซี่ยเอ๋อเท่านั้น ที่เดินเอ้อระเหยอย่างไร้จุดหมายอยู่ในเมือง

แน่นอน ว่าภายในร้านค้าและร้านอาหารก่อนหน้านี้ก็เช่นกัน

“ฉันคิดว่าอาจเป็นเพราะคนเกือบทั้งหมดเลือกที่จะไปงานเลี้ยงอาหารค่ำ เพื่อเฝ้ารอการปรากฏตัวของ เจ้าหญิงวิหคหนามนะ” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว

“วิหคหนาม…” กู่ฉิงซานบ่นงึมงำ

“มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยอดเยี่ยม พวกมันเชื่อว่าในโลกน่ะมีภูติอยู่ทั้งสิ้น สิบสอง ชนิด ดังนั้น เลยถือซะว่าเลข สิบสอง เป็นเลขมงคลที่เหมาะสมต่อพิธีฉลองตนเป็นผู้ใหญ่” ซูเซี่ยเอ๋อแทบจะไม่ต้องคิด เธอเพียงพูดในสิ่งที่ตนจำได้ออกมา

“หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือ เจ้าหญิงมีอายุแค่ สิบสอง ปีเท่านั้นใช่ไหม?”

“ใช่แล้วล่ะ”

“หืม...ผู้คนจำนวนมากเลือกที่จะไปดูเด็กน้อยอายุสิบสองปี แทนที่จะมาเพลิดเพลินไปกับวันหยุดเนี่ยนะ”

“อย่างน้อยก็ไม่ใช่พวกเราแล้วกัน”

ทั้งสองสบตา ส่งยิ้มให้แก่อีกฝ่าย

สายลมยามค่ำคืนพัดโชย สภาพภูมิอากาศที่นี่ช่างสดชื่น น่ารื่นรมย์เป็นที่สุด

พวกเขานั่งอยู่ในร้านอาหาร สัมผัสได้ถึงแรงลมจากนอกหน้าต่าง ก่อนจะเริ่มสั่งเมนูอาหาร

กู่ฉิงซานสั่งขวดที่บรรจุสุราสีน้ำตาลเหลืองอำพันก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนจะสั่งขนมปัง ปลา และชีส ตามคำแนะนำของซูเซี่ยเอ๋อ

ในเมืองเล็กๆ นี่นับเป็นอาหารสามชนิดที่ว่ากันว่าปลอดภัยที่สุดจากในบรรดาทั้งหมด

ปลาก็เป็นปลาที่จับมาจากทะเลสาบในบริเวณใกล้เคียง และยังเป็นซิกเนเจอร์ของที่นี่อีกด้วย

กู่ฉิงซานเดิมคิดหนักอยู่เหมือนกันว่ารสชาติมันจะแย่เหมือนกับคราวก่อนรึเปล่าว แต่พอลองได้ชิมดู กระทั่งตัวเขาเองก็ต้องเอ่ยปากชมว่ารสชาติของปลานี่มันดีจริงๆ

เขาไม่คุ้นเคยกับการกินขนมปังกับชีส เลยกัดมันแค่ไม่กี่คำแล้ววางลง

เมื่อเห็นแบบนั้น ซูเซี่ยเอ๋อก็ฉกมันไป และหยิบมันขึ้นมากินต่ออย่างไม่รังเกียจใดๆ

เธอสั่งสลัดผักและผลไม้ที่แพงที่สุดของร้านอาหาร

กู่ฉิงซานก็ได้ลองชิมมันบ้างเหมือนกัน และพบว่ามันอร่อยไม่เลวเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้มันเบาเกินไป

แน่นอน ว่าในสมองของกู่ฉิงซานตอนนี้กำลังนึกถึงอาหารจำพวกเผ็ดๆ หรือแกงต้มอื่นๆอยู่

โชคยังดีที่สุราสีน้ำตาลเหลืองอำพันนี้มีรสชาติที่ดี เขาเลยใช้มันดื่มกลบความอยากอื่นๆลงไปได้

แต่เมื่อซูเซี่ยเอ๋อเห็นเขาเป็นอย่างนั้น เธอเลยหยิบเมนูขึ้นมา แล้วก็เลือกสั่งอาหารอีกอย่างเพื่อเอาใจกู่ฉิงซาน

ไม่นานนัก เบื้องหน้าทั้งสอง จานบะหมี่ที่ปรุงด้วยรสเผ็ดและเค็มเล็กน้อยก็วางลง

มันกระตุ้นความอยากของกู่ฉิงซานไม่น้อยเลย

แต่กู่ฉิงซานก็ไม่ได้ใช้ตะเกียบจ้วงมันในทันที เพราะนี่มันเป็นมารยาทขั้นพื้นฐาน

พอซูเซี่ยเอ๋อเห็น เธอก็อดไม่ได้ที่จะยื่นตะเกียบออกไป แล้วตักในส่วนของตัวเองออกมา

แล้วจากนั้น บะหมี่ในจานก็ถูกแบ่งออกเป็นสอง

พวกเขาเริ่มกินและดื่มโดยไม่มีอะไรฟุ้งซ่านอยู่ในจิตใจ บางครั้งก็หันไปมองโคมไฟระย้าที่ดูหรูหรา หรือศิลปะการตกแต่งภายในร้านอาหาร ไม่ก็เบนสายตามองออกไปทางหน้าต่าง ชื่นชมทัศนียภาพทะเลสาบที่อยู่ภายนอก

วันนี้ มันเป็นวันที่น่ารื่นรมย์อย่างที่ไม่เคยได้พบได้สัมผัสมาก่อนสำหรับพวกเขาอย่างแท้จริง

แต่ในตอนนั้นเอง

เสียงของไก่ก็ดังขึ้น

“โอ้ ดูนั่นสิ ฉันบอกแล้วใช่ไหม ว่ายังมีคนอยู่ที่นี่โดยที่ไม่ไปงานเลี้ยงอาหารค่ำอยู่อีกจริงๆ!”

กู่ฉิงซานกับซูเซี่ยเอ๋อมองตามเสียงไป

เห็นแค่เพียงไก่ตัวใหญ่กับขอนไม้ท่อนหนึ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศ กำลังเข้ามาในร้านอาหาร

ไก่ตัวใหญ่กับกู่ฉิงซานมองหน้ากัน

“อ่าว? นั่นมันเจ้าหนูก่อนหน้านี้นี่ นายมาทำอะไรที่นี่กัน?” ไก่อดไม่ได้ที่จะร้องถามออกมา

…………………………………..........