webnovel

0435 โลกอันแห้งแล้ง

ตอนที่ 435 โลกอันแห้งแล้ง 

“ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ความสนใจของทุกคนถูกเบี่ยงเบนมายังลูกศิษย์เจ้าจริงๆ กลยุทธ์นี้นับว่ายอดเยี่ยมยิ่งนัก” ฉินรั่วกล่าว 

“ก็แค่โชคช่วยน่ะ แต่จากนี้ไปต่างหากที่จะเป็นของจริงแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว 

เขาหันไปมองรอบๆ เพื่อดูโครงสร้างของทั่วทั้งห้อง 

ฉีหยานเป็นผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า เป็นถึงบุตรชายของผู้นำนิกาย แต่ช่างน่าฉงนนัก ที่ห้องของเขากลับแลดูสามัญยิ่ง 

กู่ฉิงซานมิได้เห็นสิ่งใดที่มันมหัศจรรย์ เหนือล้ำยิ่งกว่าจินตนาการเลย 

สิ่งเดียวที่ดูน่าสนใจก็คือหยกวิญญาณที่เป็นรูปสลัก 

กู่ฉิงซานเดินไปที่โต๊ะและหยิบเอาหยกที่สลักเป็นรูปคางคกขึ้นมา 

หยกคางคกนี้นับว่าเป็นหยกวิญญาณที่มีคุณภาพดีทีเดียว ภายในได้แกะสลักไว้ด้วยค่ายกลพลังกักวิญญาณขนาดเล็ก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ตัวมันเองสามารถสะสมพลังวิญญาณได้ตลอดเวลาเพื่อให้ผู้ฝึกยุทธสามารถดูดซับมันได้ทุกครั้งที่ต้องการ 

กู่ฉิงซานเพียงถือมันไว้ในมือ ตนก็สัมผัสได้ในทันทีถึงพลังงานวิญญาณนับไม่ถ้วนที่เจาะเข้ามาในรูขุมขน 

“ช่างเป็นสิ่งที่ดี!” เขาเอ่ยยกย่องคำหนึ่ง 

ตลอดทั้งห้อง หยกชิ้นนี้เป็นสิ่งเดียวที่กู่ฉิงซานรู้สึกว่าเข้าตา 

“ยังมีเจ้าสิ่งนี้อยู่นี่นา มิใช่ว่าโลกใบนี้ไม่สามารถเก็บเกี่ยวศิลาวิญญาณได้แล้วหรอกหรือ?” เขาเอ่ยถามด้วยความสงสัย 

“นั่นนับว่าถูกต้องแล้ว แต่มันก็มิใช่ว่าจะไม่มีของดีๆ หลงเหลืออยู่เลย ดั่งเช่นสิ่งที่เจ้าถืออยู่ นั่นน่ะเป็นของสะสมที่ฉีหยานโปรดปรานมากที่สุด และเขาก็ไม่ยินดีที่จะใช้มัน” ฉินรั่วตอบ 

กู่ฉิงซานวางหยกคางคกลง และหยิบพัดใบหนึ่งขึ้นมา 

พัดถูกคลี่ออก เผยให้เห็นถึงภาพวิหารเงินที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ประดับประดาด้วยหยกสลักอันงดงาม 

ฉินรั่วกับว่านเอ๋อจ้องมองมาที่เขา เพื่อสังเกตท่าทีและสีหน้าการแสดงออกของเขา 

เมื่อเพ่งพินิจลวดลายภาพจบ กู่ฉิงซานก็หุบพัดลง ก่อนจะกางออกอีกครั้งแล้วยกมันขึ้นมาพัดอย่างแผ่วเบา 

“ใช่ นั่นแหละเขาล่ะ” ฉินรั่วกล่าว 

“แต่นี่มิใช่ตัวข้าเลย” กู่ฉิงซานถอนหายใจอย่างสลด 

แต่ในขณะนั้นเอง ก็บังเกิดเสียงเสียงหนึ่งขึ้นจากด้านนอกประตู 

เสียงนั้นทั้งเล็กและเบามาก ราวกับว่ากำลังหวาดกลัวว่าจะเป็นการรบกวนฉีหยาน

กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะผ่านทางหน้าต่างออกไป และเห็นแค่เพียงผู้ฝึกยุทธหลายคนกำลังถือกล่องใบหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าลานประตู 

พวกเขาโค้งกายคารวะแล้วค่อยๆ ถอยฉากไป 

กู่ฉิงซานย้อนระลึกไปถึงข้อมูลที่ได้รับมา ปากเอ่ยถาม “นี่ถึงเวลารับผลประโยชน์รายเดือนของนิกายแล้วหรือ?” 

“ข้าก็ไม่มั่นใจ แต่มันก็อยู่ในช่วงระหว่างวันสองวันนี้นี่แหละ อ๊ะจริงสิ รู้สึกว่าคราวนี้จะมีเม็ดยารักษารวมอยู่ด้วยล่ะ!” ว่านเอ๋อหันไปมองฉินรั่วที่กำลังเผยสีหน้าคาดหวังอยู่ 

“ข้าไม่คาดคิดเลย ว่าเพียงแค่มาถึงไม่นาน ก็จะได้รับผลประโยชน์ราวกับส้มหล่นเช่นนี้” กู่ฉิงซานหัวเราะออกมา 

ว่านเอ๋อกล่าว “ข้าจะเป็นคนไปรับมันเอง” 

เธอผลักประตูห้องออกไป ย่างผ่านลานกว้างอย่างช้าๆ ก่อนจะหยิบกล่องที่วางอยู่หน้าลานประตูเข้ามา 

ไม่นานนัก กล่องใบหนึ่งก็ถูกเปิดออกต่อหน้าทั้งสี่คน 

ภายในมีขวดยารักษาอยู่หลายใบ 

ถุงเก็บศิลาวิญญาณขนาดเล็ก 

ใบหยก 

นั่นคือทั้งหมดที่มี 

ว่านเอ๋อหยิบถุงเก็บศิลาวิญญาณออกมาวางบนมือ แล้วลองขยับขึ้นๆ ลงๆ กะน้ำหนักมันดู 

“คราวนี้ไม่เลวเลย ดูเหมือนว่าภายในจะบรรจุศิลาวิญญาณคุณภาพต่ำไว้ตั้ง หกสิบก้อนแน่ะ” เธอเอ่ยออกมาด้วยความประหลาดใจ 

หือ? เมื่อกี้กระไรนะ ได้ยินแว่วๆ ว่า หกสิบก้อนศิลาวิญญาณ… 

กู่ฉิงซานก้มลองมองดูสิ่งที่บรรจุมาภายในกล่อง ทั้งคนทั้งร่างตะลึงงันเป็นเวลานาน 

ห้ามลืมนะว่าฉีหยานคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า เป็นถึงหนึ่งในสามปรมาจารย์ตำหนักของนิกายกวงหยาง แล้วเหตุใดศิลาวิญญาณที่ได้รับในทุกๆ เดือนถึงได้เล็กจ้อยเช่นนี้? 

ทั้งๆ ที่หากเป็นในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ นางเซียนไป่ฮั่วมอบศิลาวิญญาณให้เหล่าบรรดาลูกศิษย์แต่ละครั้ง พวกมันจะถูกยัดลงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเต็มถุง

และจำนวนศิลาวิญญาณที่เต็มถุงนั่นก็คือหนึ่งแสนก้อน! 

ส่วนเม็ดยารักษา ดิสก์ค่ายกลทั่วไป ยันต์ อาหารวิญญาณ และแม้กระทั่งอาวุธเครื่องแต่งกาย นางเซียนไป่ฮั่วก็ยังตระเตรียมการไว้โดยพร้อมสำหรับเหล่าลูกศิษย์ 

มันมากมายจนทุกครั้ง ฉินเซี่ยวโหลวต้องบ่นออกมาว่าท่านอาจารย์คงคิดเสแสร้งเอาใจเขาเพื่อที่จะได้ยกเรื่องนี้ขึ้นมาอ้างขู่บังคับเขาเป็นแน่ 

และไอ้ที่ว่าขู่บังคับน่ะ ก็คงจะไม่พ้นการให้ฉินเซี่ยวโหลวจะต้องออกมาฝึกยุทธกับเจ้าห่านขาว ไม่ก็นางเซียนด้วยตนเอง 

อย่างไรก็ตาม การกระทำเช่นนี้ยังพอจะอธิบายได้อีกด้วยว่าผลประโยชน์รายเดือนของนิกายร้อยบุปผา หรือแม้กระทั่งโลกแห่งผู้ฝึกยุทธนั้นมีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์มากมายขนาดไหน 

ช่างตรงกันข้ามกับโลกของฉีหยาน ที่ดูเหมือนว่าทรัพยากรจะเหือดแห้งจนสิ้นแล้ว 

กู่ฉิงซานถอนหายใจ “ทรัพยากรในโลกล่องเวหาขาดแคลนถึงระดับนี้เชียวหรือ” 

“ถูกต้อง ในเมื่อผืนดินไม่มีอยู่อีกต่อไป ฉะนั้นเรื่องทรัพยากรฝึกยุทธยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง” ฉินรั่วกล่าว 

“ช่วงเวลานี้ นิกายทั้งหมดล้วนประทังชีวิตรอดด้วยทรัพยากรที่ตนปล้นและเก็บสำรองมาจากในครั้งอดีต” 

กู่ฉิงซานถึงกับพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง 

เดิมที เขาคิดว่าโลกใบนี้จะเป็นโลกที่เหมาะกับการฝึกยุทธระดับสูง เห็นได้จากอารยธรรมต่างๆ ของพวกเขาที่แสนจะร้ายกาจและดูหวือหวา แต่ใครจะไปคิดว่าจริงๆ แล้วมันมิใช่เช่นนั้น 

นี่มันเป็นโลกที่แห้งแล้ง และใกล้จะถึงจุดจบแล้วต่างหาก 

เหตุผลแท้จริงแล้วก็คงจะไม่พ้นเรื่องของอสุรกาย 

ก่อนที่มารโลกายังมาไม่ถึงโลกใบนี้ โลกล่องเวหาจะต้องเป็นอะไรที่ทรงพลังและเจริญรุ่งเรืองมากอย่างแน่นอน มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่สามารถพิชิตโลกต่างๆ หรือให้กำเนิดผู้ฝึกยุทธที่น่าสะพรึงขึ้นมากมายขนาดนี้หรอก 

ทว่าเมื่อมารโลกาได้มาเยือนโลกใบนี้ ทุกสิ่งอย่างก็ถูกทำลายล้างจนสิ้นทันที 

แล้วถ้าหากมารโลกาปรากฏตัวขึ้นในโลกของพวกกู่ฉิงซานล่ะ ผลลัพธ์มันจะแตกต่างกันรึเปล่า? 

กู่ฉิงซานถอนหายใจและส่ายหัว 

แต่แล้วในตอนนั้นเอง เขาก็สัมผัสได้ว่าฉินรั่วเอาแต่จ้องมองมายังขวดเม็ดยารักษาขวดหนึ่ง พร้อมด้วยท่าทีการแสดงออกที่ดูกระสับกระส่ายเล็กน้อย 

กู่ฉิงซานจึงหยิบขวดยาที่ว่านั่นขึ้นมาดู 

เขาเปิดจุกออก และเทเม็ดยาไม่กี่เม็ดลงมา แล้วยื่นจมูกไปสูดดม แต่ก็พบว่ามันเป็นแค่เม็ดยารักษาธรรมดาๆ เท่านั้น 

“เจ้าต้องการสิ่งนี้กระนั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม 

ฉินรั่วกำลังจะกล่าว แต่ว่านเอ๋อก็ชิงตอบแทนเสียก่อน “พี่สาวน่ะมีจิตใจที่อ่อนโยน ครั้งหนึ่งพี่สาวเคยพยายามที่จะช่วยเหลือพวกทาส แต่ก็ถูกฉีหยานจับได้ เขาจึงลงโทษเธอโดยการให้คุกเข่าอยู่บนเปลวไฟหยินเป็นเวลานาน” 

“และเนื่องด้วยพลังวิญญาณที่ถูกพันธนาการ แถมยังไม่ได้รับการรักษา ดังนั้นอาการบาดเจ็บของพี่สาวจึงยังไม่หายดีนับตั้งแต่นั้นมา” 

กู่ฉิงซานพยักหน้า แสดงท่าทีว่าเข้าใจ 

“เปลวไฟหยิน? นั่นมันเป็นสิ่งที่สร้างความเจ็บปวดเหลือคณา แต่ว่ายารักษาขวดนี้…มันไม่เหมาะสมกับเจ้า” กู่ฉิงซานกล่าวพลางครุ่นคิด 

ว่านเอ๋อนิ่งงันไป 

ขณะที่สายตาคาดหวังของฉินรั่วหม่นหมองลงอย่างชัดเจน เธอพยักหน้ารับ “เจ้ากล่าวถูกแล้ว นี่คือช่วงเวลาสำคัญ ดังนั้นเม็ดยารักษาเหล่านี้ เจ้าจึงสมควรที่จะเก็บสำรองเอาไว้ใช้งานเอง”

“ข้ามิได้หมายความแบบนั้น” กู่ฉิงซานกล่าว 

เขาโยนขวดยารักษากลับลงไปในกล่องและตบลงบนถุงสัมภาระของตนเอง 

ควานหาอยู่สักพักจึงหยิบขวดยาเล็กๆ สีเขียวขึ้นมา แล้ววางมันลงบนมือของฉินรั่ว 

“ใช้สิ่งนี้สิ” กู่ฉิงซานกล่าว 

ฉินรั่วพอสัมผัสได้ถึงมันก็สั่นสะท้าน 

ว่านเอ๋อเห็นเช่นนั้นจึงเร่งวิ่งไปคว้ามันแล้วเปิดจุกออก 

ทันใดนั้นกลิ่นยาอันทรงประสิทธิภาพก็ฟุ้งออกมาจากขวด 

ไม่นานนัก กลิ่นหอมของมันแพร่กระจายไปทั่วทั้งห้อง 

“ข้ามิได้สัมผัสกับเม็ดยาระดับสูงเช่นนี้มาเป็นเวลานานมากแล้ว...ว่าแต่นี่คือยาอะไรกัน?” 

ว่านเอ๋อเอ่ยถามออกมา จมูกของเธอขยับฟุดฟิดๆ พยายามดูดซับประสิทธิภาพของยาที่ลอยฟุ้งออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 

อย่างไรก็ตาม การกระทำของเธอมิได้แลดูเหมือนกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตพันวิบัติเลย ตรงกันข้าม มันกลับดูค่อนข้างจะน่ารักทีเดียว 

แต่ด้วยฐานะที่เป็นสาวใช้ พวกเธอจึงแทบไม่ได้รับทรัพยากรไว้ใช้ฝึกยุทธเลย 

กู่ฉิงซานตอบไปว่า “มันคือ ‘เม็ดยาเจ็ดปฏิวัติ’ มีคุณสมบัติสามารถรักษาพิษไฟทั้งหมด ฟื้นฟูความเสียหายจากธาตุทั้งห้าและเพิ่มพูนพลังธาตุ” 

สีหน้าของฉินรั่วเผยแววถวิลหา แต่สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะผลักมันกลับคืนสู่มือของกู่ฉิงซาน 

“เม็ดยานี้ย่อมต้องมีค่ามากอย่างแน่นอน เจ้าเก็บไว้ใช้เองเถิด ข้ายังพอสามารถฝืนทนได้” เธอกล่าว 

“เจ้านั่นแหละรับมันไปเถอะ ข้ามีเม็ดยาชนิดนี้มากพอที่ข้าต้องการเลยล่ะ” กู่ฉิงซานไม่รู้ว่าตนสมควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี 

ในครั้งแรกที่เขาได้เผชิญหน้ากับพระสันตะปาปา ตนได้ใช้เจ็ดดารา มังกรแหวกธาราออกมาอย่างไม่เต็มใจ จนตัวเองต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส 

และหลังจากบุกเข้าสู่โลกเทวะ อาการบาดเจ็บของเขาก็ยังไม่หายดี จนจำต้องไปรักษาตัวเองในถังยา 

และหลังจากนั้นมา นางเซียนไป่ฮั่วก็จับยัดเม็ดยารักษาลงในถุงสัมภาระของเขาจนกองพะเนิน 

ต่อมา นางเซียนไป่ฮั่วมีลางสังหรณ์ว่าตนกำลังจะตกตาย จึงใส่ทุกสิ่งอย่างลงในถุงหอมหลากสี แล้วมอบมันให้แก่เขา

ต้องรู้นะว่านางเซียนไป่ฮั่วน่ะคือตัวตนระดับสูงสุดในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ทรัพยากรที่เธอครอบครองย่อมไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถจินตนาการได้

ดังนั้นขวดเม็ดยาเจ็ดปฏิวัตินี้ สำหรับกู่ฉิงซานแล้วจึงไม่นับว่าเป็นสิ่งใดเลย 

ฉินรั่วเฝ้ามองเขาด้วยความลังเล และพยายามที่จะจับผิดถึงความคิดที่แท้จริงของเขา 

กู่ฉิงซานที่รู้สึกราวกับกำลังจะถูกสอบสวนก็ได้วางขวดยาลงในมือเธออีกรอบ แล้วใช้อีกมือของตนค่อยๆ หุบนิ้วมือของอีกฝ่ายลงมากุมขวดยา ปากเอ่ยกล่าว “ข้าเพียงหวังว่าพวกเราจะสามารถร่วมมือกันได้อย่างจริงใจ และฟันฝ่าสถานการณ์ยากลำบากนี้ไปด้วยกันก็เท่านั้นเอง” 

“ตกลง ถ้าเจ้ามีความตั้งใจจริงเช่นนี้ ข้าก็จะขอเก็บขวดยารักษานี้เอาไว้เอง” ฉินรั่วกล่าว 

ว่านเอ๋อพูดออกมาอย่างมีความสุข “พี่สาว วางใจเถอะ ท่านควรจะทราบนะว่าเขาน่ะเป็นคนดี เขาถึงขั้นยอมแลกชีวิตตนเองเพื่อช่วยอาจารย์ตนเชียวนะ” 

ฉินรั่วพยักหน้า 

ส่วนกู่ฉิงซานก็หันไปหยิบใบหยกออกมาจากกล่อง 

เขาส่งจิตสัมผัสเทวะลงไปในใบหยก แล้วทันใดนั้นก็ได้รับรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ล่าสุดที่พึ่งเกิดขึ้นกับนิกายเมื่อเร็วๆ นี้ 

ลั่วชาเฟิง นิกายใหญ่เพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ในโลกใบนี้ กำลังจะมาเยี่ยมเยือน 

ส่วนอาวุโสสูงสุดยังคงปิดด่านรักษาตนอยู่ และเขาจะไม่ปรากฏตัวออกมา จนกว่านิกายลั่วชาเฟิงจะมาถึง 

ขณะที่ผู้นำนิกายกวงหยางเอง ก็กำลังอยู่ในช่วงก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ 

ขณะที่ไม่มีใครกล้าข้ามผ่านโทษทัณฑ์ในโลกใบนี้ เพราะมันจะถูกตรวจพบโดยมารโลกาทันที 

เหตุการณ์เหล่านี้ก็ยังคงเหมือนเดิม และไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากมายนัก 

แต่กลับเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ภายในนั้นที่ได้ดึงดูดความสนใจของกู่ฉิงซานแทน 

มันคือเรื่องที่ตำหนักเจียงซีผู้รับผิดชอบในการจัดเก็บทรัพยากรของนิกาย และตำหนักหนิงเยว่ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในการฝึกยุทธของเหล่าสาวกในนิกาย ร่วมกันประกาศสิ่งหนึ่งออกมา 

นั่นคือผลประโยชน์รายเดือนของเหล่าสาวก ซึ่งก็คือศิลาวิญญาณที่โดยปกติก็ได้รับเพียงเล็กน้อยอยู่แล้ว จะถูกมอบให้ในภายหลัง 

ส่วนเหตุผลก็เป็นเพราะนิกายลั่วชาเฟิงกำลังจะมาเยี่ยมเยือน ทางนิกายจึงตัดสินใจที่จะจัดงานต้อนรับ 

ในช่วงเวลาที่เหตุการณ์สำคัญกำลังจะเกิดขึ้นเช่นนี้ ตำหนักเจียงซีจึงต้องทุ่มความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำการรับรองพวกเขา และไม่มีเวลาว่างพอที่จะมาจัดการแจกจ่ายศิลาวิญญาณ 

ขณะที่เมื่อแขกผู้มีเกียรติมาถึง ตำหนักหนิงเยว่ก็จะเป็นผู้รับหน้าและจัดการแข่งขันประจำนิกายขึ้นอีกด้วย 

การแข่งขันในครั้งนี้ ได้จัดเตรียมรางวัลที่ดีมากพอที่จะดึงดูดสาวกทั้งหมดให้เข้าต่อร่วมเพื่อชิงตำแหน่ง! 

แล้วหลังจากที่เรื่องราวที่ว่ามานี้จบลง ทางนิกายก็จะกลับคืนสู่สภาวะปกติ และตำหนักเจียงซีก็จะเริ่มจัดการแจกจ่ายศิลาวิญญาณของเดือนนี้ทันที 

กู่ฉิงซานอ่านเนื้อหาข้อมูลนี้อย่างจริงจัง แต่สุดท้ายแล้วกลับพบว่ามันแตกต่างจากที่เขาคิด 

การแข่งขันที่จัดขึ้นนี้ แท้จริงแล้วมันมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นการทดสอบหกศิลป์ของผู้ฝึกยูทธในนิกายต่างหาก 

ทำนายชะตา วางค่ายกล หลอมอาวุธ กลั่นเม็ดยา สร้างยันต์ และปรุงอาหารวิญญาณ นี่คือหกศิลป์ 

ในบรรดาหกศิลป์ ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในนิกายก็คงจะไม่พ้น ‘ค่ายกล’ 

แต่สำหรับขอบเขตวรยุทธ์และการต่อสู้เพื่อคว้าชัยชนะนั้น มันมิได้มีรวมอยู่ในการทดสอบเลย

กู่ฉิงซานครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อยู่สักพัก ก่อนจะได้ข้อสรุปอย่างรวดเร็ว 

นิกายของโลกใบนี้...ดูเหมือนว่าจะมิได้ใส่ใจกับพื้นฐานวรยุทธ์ของเหล่าสาวกอีกต่อไปแล้ว 

มีพื้นฐานวรยุทธ์สูงแล้วมันจะดีอย่างไร? 

สำหรับนิกายแล้ว วรยุทธ์คุณยิ่งสูงก็ยิ่งต้องจ่ายศิลาวิญญาณเพิ่มมากขึ้นเพื่อเลี้ยงดูคุณ แถมยังต้องคอยป้องกันคุณไม่ให้คอยแข่งขันแย่งชิงอำนาจอีก 

แต่ในทางตรงกันข้าม หกศิลป์กลับเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก มันเป็นสิ่งที่จะช่วยสนับสนุนให้นิกายเจริญยิ่งขึ้น! 

และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คงไม่พ้น ‘ค่ายกล’ 

เพราะหากโลกนี้ไม่มีค่ายกล สิ่งมีชีวิตในโลกใบนี้ก็คงจะล้มหายตายจากไปกันจนหมดสิ้นแล้ว

.........................................