ตอนที่ 357 ปรากฏกาย (สอง)
พระสันตะปาปารวมทั้งเจ็ดสาวกเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน
เห็นแค่เพียงกลุ่มแสงเหล่านั้นกระจายแตกตัวออกไป เผยให้เห็นถึงรูปลักษณ์ที่แท้จริงของพวกมันออกมา
“มนุษย์? ไม่สิ ไม่ใช่!”
ดวงตาของพระสันตะปาปาหรี่แคบลง จับจ้องสังเกตสิ่งเบื้องหน้าอย่างระมัดระวัง
ภายในกลุ่มแสง มีมอนสเตอร์รูปร่างคล้ายมนุษย์อยู่
ส่วนเหตุผลที่ทำให้มั่นใจว่าพวกมันมิใช่มนุษย์ นั่นก็เพราะแม้สรีระร่างกายส่วนใหญ่จะเหมือนกับมนุษย์ ทว่าพวกมันกลับไร้ซึ่งใบหน้า
รวมไปถึงพลังธาตุที่หมุนเวียนว่ายรายล้อมอยู่รอบตัวพวกมันควบรวมตัวกันได้อย่างง่ายดาย
ธาตุทั้งสิบที่ทรงพลานุภาพแตกตัวจากทั่วผืนฟ้า ร่วงหล่นไปทั่วผืนดินจนตลอดทั้งเมืองลุกเป็นไฟ
การแสดงออกของหัวหน้าสาวกศักดิ์สิทธิ์ฮัทท์แปรเปลี่ยนไป
ด้วยตัวเขาที่เป็นถึงนักสู้ที่ทรงพลังและมีประสบการณ์การต่อสู้มากมาย ทำให้ไม่นานก็สามารถเห็นถึงกุญแจสำคัญของเรื่องราวตรงหน้าได้ในที่สุด
“พวกมันเป็นผู้ควบคุมธาตุ! แถมถ้าเทียบกับมืออาชีพที่ใช้ธาตุทั้งห้าแล้วแกร่งยิ่งกว่าหลายเท่าอีกด้วย!” เขาตะโกนออกมา
“ดูเหมือนพวกมันจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการใช้ธาตุจริงๆ” คาร์ดินัลคิดด์เอ่ยเสริม
บนท้องฟ้า มอนสเตอร์ที่ไร้ซึ่งใบหน้า กำลังเปล่งแสงหลากสีของธาตุต่างๆ ออกมาจากร่างกาย
และมอนสเตอร์ทุกตัวที่ปรากฏ ทั้งหมดล้วนสามารถควบคุมธาตุได้อย่างสมบูรณ์แบบ
มนุษย์ปีศาจ
ปีศาจแห่งนรกเยือกแข็งได้มารวมตัวกัน และกำลังริเริ่มทำการโจมตีเมืองแล้ว!
และเวลานี้ ทั่วทั้งเมืองหลวงของจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ คือเป้าหมายของพวกมัน
โบสถ์ใหญ่ได้ถูกโจมตีก่อนเป็นแห่งแรก ด้วยเหตุผลอันเนื่องมาจากมันเป็นอาคารที่ดูโดดเด่น งดงามสะดุดตา เต็มไปด้วยความซับซ้อนทางสถาปัตยกรรม ดังนั้นอาคารแห่งนี้จึงดึงดูดกลุ่มแสงจำนวนมากเข้ามาหา
“สั่งระดมมืออาชีพทุกคน! ส่วนพวกเจ้า ออกไปสู้กับมันซะ เร็วเข้า!” พระสันตะปาปาตะโกนสั่งเสียงดัง
สาวกศักดิ์สิทธิ์ทั้งเจ็ดได้ถ่ายทอดคำสั่งของพวกเขาลงไปยังผู้ใต้บังคับบัญชา จากนั้นก็ทะยานออกไปต้อนรับมอนสเตอร์ที่โบยบินบนผืนฟ้า
เกือบจะในทันที การต่อสู้ก็เข้าสู่ช่วงเวลาที่ร้ายแรงที่สุด
มนุษย์ปีศาจสามารถใช้งานธาตุได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นพลังโจมตีของมันจึงรุนแรงยิ่งกว่ามืออาชีพธรรมดาๆ อยู่หลายเท่า
นอกจากนี้พวกมันยังสามารถบินได้
มนุษย์ปีศาจทั้งหมดลอยอยู่ในอากาศ ทำให้มืออาชีพธรรมดาๆ ไม่สามารถโจมตีพวกมันได้เลย
คริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ได้ทำการส่งเกราะรบทั้งหมดออกมา
อย่างไรก็ตาม เกราะรบของทางคริสตจักร ทั้งหมดล้วนเป็นอาวุธที่ล้าสมัย
จำนวนของมนุษย์ปีศาจมีมากเกินไป มันเยอะกว่าเกราะรบขับเคลื่อน
พวกมันบินฉวัดเฉวียนไปมาอย่างอิสระ และโจมตีได้ดั่งใจต้องการ
ส่งผลให้กองกำลังติดอาวุธของคริสตจักร ทั้งหมดกำลังตกอยู่ภายใต้การต่อสู้อันยากลำบาก
ในเวลาเพียงไม่กี่สิบนาทีของการต่อสู้ มนุษย์ปีศาจก็ดูจะค่อยๆ เหนือกว่าจนเห็นได้ชัด
พวกมันกำลังกรีธาทัพมุ่งหน้าไปยังทิศทางโบสถ์ใหญ่ของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์
พระสันตะปาปาบินขึ้นไปบนท้องฟ้า เข้าร่วมต่อสู้ด้วยตนเอง ถลาเข้าโจมตีสังหารมนุษย์ปีศาจไปกว่าเจ็ดถึงแปดตน
เหตุการณ์นี้ ส่งผลให้มนุษย์ปีศาจทั้งหมดต่างโกรธแค้น
หลายร้อยมนุษย์ปีศาจจับกลุ่มรวมตัวเข้าด้วยกัน ตนแล้วตนเล่าระเบิดพลังธาตุของตัวเองออกมา
พริบตานั้น ตลอดทั้งมหาวิหาร ทั้งหมดพลันพังทลายลง ล้มครืนตกลงสู่พื้นดิน
แม้กระทั่งพระสันตะปาปาที่กล่าวกันว่าเป็นตัวตนที่ทรงพลัง ก็ยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับการจู่โจมอันน่าสะพรึงเช่นนี้
อย่างไรก็ตามเธอก็ยังรอดชีวิตมาได้
ด้วยการเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในไพ่ ทำให้พระสันตะปาปาสามารถหลบเลี่ยงการโจมตีได้ชั่วคราว
การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป
เมื่อมนุษย์ปีศาจไม่อาจหาเป้าหมายของพวกมันพบ พวกมันจึงไประบายความโกรธใส่กลุ่มคนอื่นๆ ที่กำลังต่อต้าน
เวลาไหลผ่านไปเรื่อยๆ
หลังจากการเสียชีวิตนับร้อยนับพันของกองกำลังติดอาวุธแห่งคริสตจักร รวมไปถึงสองในเจ็ดสาวกศักดิ์สิทธิ์ พระสันตะปาปาก็ยังคงหลบซ่อนตัวอยู่
เธอมิได้ออกไปลงมืออีกครั้ง
เธอหลบซ่อนตัวอย่างเงียบเชียบ สองตาเฝ้าสังเกตบนท้องฟ้าอย่างระมัดระวัง
“นี่มันตระกูลจำพวกปีศาจ? ดูเหมือนว่าจะเป็นการดำรงอยู่ของตัวตนจากในยุคอดีต แต่ตามตัวของพวกมันยังคงมีกลิ่นไอของวิญญาณ ดูเหมือนว่าพวกมันจะคืบคลานออกมาจากนรกจริงๆ” เธอพึมพำ
ตอนนี้ มิอาจสามารถกลับไปยังเกาะหมอกได้ ดังนั้น หากเธอไม่สามารถรักษาที่นี่ไว้ได้จริงๆ ก็คงจำเป็นต้องท่องไปตามโลกอื่น จักรวาลอื่นๆ
หัวหน้าสาวกศักดิ์สิทธิ์ฮัทท์กระอักเลือดคำหนึ่ง วิ่งตรงเข้ามา ปากเอ่ยรายงาน “พวกเราได้ใช้ทุกวิถีทางแล้ว แต่จำนวนของพวกมันมีเยอะเกินไป แถมยังทวีมากขึ้นเรื่อยๆ การที่จะสังหารพวกมันเลยเป็นไปอย่างยากลำบาก…”
พระสันตะปาปามองขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง
การโจมตีด้วยธาตุของมนุษย์ปีศาจ ค่อยๆ เพิ่มขึ้นและซ้อนทับกันเรื่อยๆ
เมื่อจำนวนของพวกมันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่รู้จบ หลายร้อยกลุ่มก้อนพลังงานก็ผสานรวมเข้าด้วยกัน ก่อบังเกิดรูปแบบการโจมตีทางเทคนิคมนตราอันน่าพรั่นพรึงขึ้น
การโจมตีดังกล่าวนี้ แม้กระทั่งพลังมนตราของเธอก็มิอาจเอาชนะศัตรูได้
ตัวโบสถ์ล้มครืนลงโดยสมบูรณ์
แสงจากเบื้องบนท้องฟ้า สาดทอลงมากระทบเข้ากับชั้นผ้าโปร่งที่ปกคลุมใบหน้าของพระสันตะปาปา
และเธอก็ยิ้มออกมาทันใด
หลายวันที่ผ่านมานี้ เธอได้แต่เตร็ดเตร่อยู่ในมหาสมุทรแห่งซากศพ และทำได้เพียงถอนหายใจบรรเทาทุกข์
โดยไม่คาดคิดเลยว่า หลังจากที่ตนกลับมา จะถูกบังคับให้ตกอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าวนี้
ไม่มีทางให้ถอยกลับแล้ว
นี่มันมากเกินกว่าที่คนๆ หนึ่งจะทนไหว!
“ฮัทท์ เจ้ากลัวความตายหรือไม่?” พระสันตะปาปากล่าว
“เพื่อคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ กระผมเต็มใจที่จะเสียสละทุกสิ่ง” ฮัทท์กล่าว
“เพื่อคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์สินะ เหตุใดจึงมิใช่เพื่อข้าเล่า?” พระสันตะปาปาดูจะผิดหวังเล็กน้อย
ฮัทท์ชะงักงัน ก่อนจะกล่าว “เพื่อท่าน เพื่อคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ มันก็ไม่แตกต่างกัน”
พระสันตะปาปาเงียบไป ก่อนจะเอ่ยสั่ง “ไปซะ จงไปตามผู้ทรมานตนอีวานมา”
ฮัทท์ราวกับตระหนักได้ถึงบางสิ่ง เขาเร่งกล่าวทันที “อีวานเป็นคนประเภทสมองกล้ามเนื้อ หากมีเรื่องใดขอท่านโปรดบอกกระผมโดยตรง ตัวกระผมยินดีสละทุกสิ่งเพื่อคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์”
“ไม่ ภารกิจนี้มันไม่เหมาะกับเจ้า จงไปตามตัวอีวานมา เดี๋ยวนี้!”
“…น้อมรับคำสั่ง” ฮัทท์ตอบรับ
แล้วไม่นานนัก อีวานก็มาหยุดยืนอยู่ต่อหน้าพระสันตะปาปา
“ฮัทท์ เจ้าไปรับหน้าที่หัวหอกควบคุมการต่อสู้” พระสันตะปาปาสั่ง
“รับทราบ” ฮัทท์ปลีกตัวแยกออกไป
ทว่าก่อนจะลับสายตา เขาก็อดไม่ได้ที่จะเหลียวหลังหันกลับมามองน้องชายของตนด้วยความกังวล
“โปรดสั่งมาได้เลยท่าน” อีวานคุกเข่าลงข้างหนึ่งและกล่าว
พระสันตะปาปาก้าวเข้าไปหาเขาทีละก้าว ทีละก้าว ปากเอ่ยเสียงกระซิบ “อีวาน เจ้าเป็นนักสู้ ครอบครองจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ยิ่งกว่าใครหากเทียบเปรียบกับสาวกศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ ดังนั้นข้าจะมอบอาวุธที่เหมาะสมกันให้แก่เจ้า”
เธอเอ่ยถาม “เอาล่ะ ตอนนี้ข้าจะถามอีกครั้ง เจ้ายินดีจะสู้เพื่อข้าหรือไม่?”
“ข้าจะทำ!”
อีวานร้องตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น
เขาจำได้ว่า ครั้งหนึ่งพระสันตะปาปาเคยมอบแส้วิเศษให้แก่คาร์ดินัลคิดด์
แส้ที่สามารถหายไปในความว่างเปล่าได้ดั่งใจนึก ช่างเป็นอะไรที่แปลกประหลาดทว่าขณะเดียวกันก็สุดยอดโดยแท้!
ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญเช่นนี้ พระสันตะปาปากลับเลือกที่จะมอบอาวุธของตนเองให้แก่เขา!
ขณะที่อีวานกำลังขบคิด ทันใดนั้นก็ปรากฏไพ่ใบหนึ่งขึ้นต่อหน้าเขา
ภาพในไพ่ เป็นกระแสน้ำวนที่มืดมิด
ใจกลางของกระแสน้ำวน มีมือข้างหนึ่งยื่นออกมา ราวกับกำลังต้องการที่จะขอเชคแฮนด์ทักทายกับเขา
แต่หากเพ่งพินิจมองด้วยสองตาดีๆ เขากลับรู้สึกว่ามือที่ยื่นมานี้ส่งกลิ่นไอของความบ้าคลั่ง
มันราวกับคนที่กำลังจมน้ำ และพยายามจะคว้าทุกสิ่ง อะไรก็ได้ที่จับได้
“เอาไปสิ” พระสันตะปาปากล่าว
อีวานยังคงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
ทันใดนั้น ความรู้สึกไม่ดีก็เกิดขึ้นในจิตใจของเขา
“เอามันไป นี่คือคำสั่ง” พระสันตะปาปากระตุ้นเตือน
“ทราบแล้ว” อีวานก้มหัวลง สุดท้ายก็รับไพ่มา
เมื่อพระสันตะปาปาเห็นว่าเขารับไพ่ไปแล้ว ตนก็ก้าวถอยหลังปลีกตัวออกมา
เธอจ้องมองอีวานอย่างเงียบๆ ในโทนเสียงปรากฏถึงร่องรอยของความหวาดกลัวและโศกเศร้า “จงอย่าตำหนิข้า อย่าตำหนิข้าเลย ที่ทำเช่นนี้ เพราะข้าไม่มีทางให้ถอยกลับอีกต่อไปแล้ว”
สีหน้าของอีวานเผยถึงความสงสัย เขาเอ่ยปากกล่าว “พระสันตะปาปา นี่ท่าน…”
บางที อาจจะเป็นเพราะอีกฝ่ายกำลังจะต้องตายในเร็วๆ นี้ พระสันตะปาปาจึงเอ่ยอธิบายออกไปหลายคำ
“แท้จริงแล้ว เมื่อใช้ออกด้วยไพ่ใบนี้ ข้าเองก็ไม่ทราบถึงผลลัพธ์ที่ตามมาเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม ข้าไม่ต้องการเป็นคนจรที่จะต้องท่องไปทั่วอย่างไร้ที่สิ้นสุด ขอเจ้าจงยกโทษให้ข้าด้วยนะ”
หลังจากได้ยินคำอธิบายที่ฟังดูสับสนนี้ อีวานก็งงงวยยิ่งกว่าเดิม
เขากำลังจะถามอะไรบางอย่างออกไป แต่ก็ดันพบว่าไพ่ในมือของเขาเริ่มที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเสียก่อน
ฝ่ามือขนาดใหญ่ยื่นออกมาจากไพ่ มันคว้าหมับ! จับเข้ากลางลำตัวเขาและดึงเข้าไปข้างใน
“อา อ๊า!”
บังเกิดเสียงร่ำร้องอันขมขื่นดังขึ้นชั่วขณะหนึ่ง
ผสมปนเปไปกับเสียงเคี้ยวที่เพียงได้ฟังก็ต้องขนลุกซู่
การซ้อนทับ ผสมผสานกันระหว่างสองเสียงนี้ ไม่ว่าใครได้ยินก็พอที่จะตั้งสมมติฐานได้ว่า มันคือเสียงของคนๆหนึ่งที่กำลังถูกกัดกินอย่างช้าๆ
ผ่านพ้นไปสักพัก ภายในไพ่ก็บังเกิดเสียงถอนหายใจด้วยความพึงพอใจออกมา
“อืม…ช่างเป็นจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์โดยแท้ แม้จะยังมีความโหดร้ายกระหายเลือดอยู่บ้าง แต่สำหรับใน ‘นรกเก้าชั้น’ แล้วมันนับว่าเป็นอาหารอันโอชะที่หาได้ยากยิ่งทีเดียว”
“ยี่ชา ในที่สุดเจ้าก็ตกลงเต็มใจที่จะลงนามทำสัญญากับข้า แถมยังเสนออาหารอันโอชะมาเป็นของขวัญในสัญญาอีก บอกตามตรงว่าข้ารู้สึกพึงพอใจมากทีเดียว”
พระสันตะปาปา หรือคนที่ถูกเรียกว่ายี่ชา ก้มหัวลงด้วยความเคารพและกล่าวว่า “ถ้าเจ้าพอใจ งั้นก็ดีแล้ว”
“ตั้งแต่นี้ไป สัญญาได้ถูกก่อร่างขึ้นแล้ว จงพูดในสิ่งที่เจ้าต้องการมา” เสียงนั่นเอ่ยถาม
“ข้าต้องการจะถือครองธงของเจ้า และหยุดสงครามโดยสมญานามของเจ้า” ยี่ชากล่าว
“อ๊ะ นั่นมันเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง ข้าอนุญาต” เสียงนั่นเอ่ยตอบกลับด้วยความเกียจคร้าน
…………………………………………….