ตอนที่ 354 อีฟ (ปลาย)
โดยไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ ซูเซี่ยเอ๋อได้หายตัวไปต่อหน้าต่อตาทุกคน
“นี่มันเรื่องบ้าอะไร!?” เหลียวฮังกระโดดโหยงแล้วรีบวิ่งไปข้างๆ กู่ฉิงซาน
เขาจับสังเกตถึงการเปลี่ยนแปลงของมิติอย่างรอบคอบ ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “นี่มันไม่ใช่การจั๊มป์! แล้วเธอหายตัวไปดื้อๆ ได้อย่างไรกัน!”
กู่ฉิงซานก้มหน้าลง มองไปยังม้วนคัมภีร์สีเลือดในมือๆ
ปรากฏเส้นแสงหิ่งห้อยสามบรรทัดขึ้นในหน้าต่างระบบเทพสงคราม
“ช่วงเวลาว่างเปล่าของทวยเทพ”
“คำอธิบาย นี่คือม้วนคัมภีร์ขั้นสูง เมื่อศัตรูเตรียมที่จะทำการโจมตีขั้นร้ายแรง สติอารมณ์และสภาวะจิตใจของศัตรูจะตกอยู่ในสถานะว่างเปล่าเป็นเวลาสามวินาที”
ซึ่งนี่มันแตกต่างจากคนอื่นๆ กู่ฉิงซานสามารถตัดสินคุณภาพของไอเท็มชิ้นนี้ได้ในทันที
ม้วนคัมภีร์ระดับนี้ เกรงว่าจักต้องมาจากผู้ถูกเลือกโดยสวรรค์[footnoteRef:1]ที่ทรงพลังมากอย่างแน่นอน [1: ผู้ถูกเลือกโดยสวรรค์ คือ เทียนซวน]
กล่าวโดยทั่วไปแล้ว ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นไพ่ ม้วนคัมภีร์ หรือแม้กระทั่งสิ่งอื่นๆ ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นโดยผู้ถูกเลือกโดยสวรรค์ สิ่งเหล่านั้นจะสามารถถูกใช้ได้โดยพวกเขาเท่านั้น
ยกเว้นไว้เพียงแต่ผู้ถูกเลือกโดยสวรรค์ที่ทรงพลานุภาพสุดๆ เท่านั้น จึงจะสามารถมอบความสามารถของตัวเองให้กับผู้อื่นเพื่อให้พวกเขาใช้งานมันได้
แต่ซูเซี่ยเอ๋อกลับสามารถได้รับม้วนคัมภีร์จากคนประเภทหลังที่พึ่งอธิบายไปมาได้อย่างกะทันหัน?
แล้วเธอก็พึ่งหายวับไป…แต่การหายตัวไปอย่างฉับพลันแบบนี้ นี่มันเหมือนกันกับเขาเลยมิใช่หรือ
อย่าบอกนะว่าเธอได้เข้าสู่เกมแล้ว?
ในหัวใจของกู่ฉิงซานเต้นครึกโครม
…ว่าแต่เธอถูกส่งไปยังโลกไหนกัน?
ถ้าเป็นเมื่อก่อน กู่ฉิงซานย่อมคิดว่าเธอจะต้องถูกส่งไปยังโลกแห่งผู้ฝึกยุทธแน่ๆ
แต่ด้วยมุมมองความคิดของเขาและประสบการณ์ที่ได้พบเจอ ทำให้ตอนนี้เขารู้แล้วว่ายังมีโลกอื่นอีกอยู่เป็นจำนวนมาก
ดังนั้น เรื่องที่ว่าซูเซี่ยเอ๋อถูกส่งไปที่ไหนมันจึงยังเป็นปริศนา
ฉะนั้น เอาไว้พอเธอกลับมาคราวหน้า ก็ค่อยมาเปิดอกคุยกันถึงที่มาของเรื่องราวทั้งหมดก็แล้วกัน
ดูจากลักษณะท่าทีที่เร่งรีบของซูเซี่ยเอ๋อ บ่งบอกว่าเธอจะต้องอยู่ในสภาวะจำต้องเข้าสู่โลกอื่นอย่างแน่นอน
นี่เธอยอมเสียเวลาอันมีค่า เดินทางมาถึงที่นี่เพื่อมอบม้วนคัมภีร์ให้แก่ตนเองโดยเฉพาะเลยอย่างงั้นหรือ?
ในหัวของกู่ฉิงซานบังเกิดความอบอุ่นขึ้น
เขาเก็บม้วนคัมภีร์ไปอย่างเงียบๆ ก่อนจะหันไปทางอีกหลายคนที่ยืนอยู่ “ฉันคิดว่าฉันพอจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นนะ เพราะงั้นไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับมันไปหรอก เอาไว้รอเธอกลับมาในครั้งต่อไป ฉันจะทำให้ทุกอย่างมันกระจ่างและบอกพวกนายทุกอย่างเอง”
“นี่มันเกี่ยวข้องกับการฝึกยุทธรึเปล่า?” เย่เฟย์หยูเอ่ยถาม
“ก็แทบจะเกี่ยวข้องกันล่ะนะ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างลวกๆ
ตอนนี้ แค่การดำรงอยู่ของพลังวิญญาณก็เป็นเรื่องที่น่าตกใจจนแทบจะไม่มีใครอยากจะเชื่อแล้ว
ดังนั้นไม่ต้องกล่าวถึงการมีอยู่ของต่างโลก นี่มันเป็นเรื่องร้ายแรงเกินไป มันคงน่าตกใจจนเกินกว่าจะยอมรับได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหลียวฮัง ที่ตอนนี้กำลังพ่นคำออกมาเป็นฟืนเป็นไฟว่า “วิทยาศาสตร์จบสิ้นแล้ว! วิทยาศาสตร์จบสิ้นแล้ว!”
กู่ฉิงซานจึงต้องเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะประกาศเจ้าสิ่งนี้ออกไป และอธิบายมันอย่างละเอียดอีกครั้ง
ไม่นานมานี้พวกเขาก็พึ่งจะได้รับการอธิบายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพลังวิญญาณ ทั้งหมดต่างก็มึนงงไม่ก็ตกใจไม่น้อย
แต่หลังจากฝึกยุทธ ความตระหนักรู้ ความเข้าใจด้วยตัวเองของพวกเขาก็ค่อยๆ ทวีมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นเย่เฟย์หยู ซางหยิงฮ่าว หรือแม้กระทั่งเหลียวฮังซึ่งเป็นเหล่าคนกลุ่มแรกในปัจจุบัน พวกเขาก็ได้ยอมรับการดำรงอยู่ของพลังอำนาจนี้ไปโดยธรรมชาติ
“ปรากฏว่าจริงๆ แล้วพลังวิญญาณไม่เพียงแต่จะสามารถสร้างค่ายกลได้ แต่มันทำได้แม้กระทั่งการส่งผ่านไปมาระหว่างสองสถานที่สินะ…ฉันจำได้ว่าครั้งหนึ่งแกก็เคยพูดอะไรประมาณนี้อยู่เหมือนกัน” เหลียวฮังกล่าว
“ใช่ เมื่อคุณมีพื้นฐานวรยุทธแล้ว ฉันจะแสดงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งค่ายกลให้ดูเอง” กู่ฉิงซานกล่าว
“ยอด! นั่นมันฟังดูยอดไปเลย!” เหลียวฮังค่อยๆ กลับมาสงบสติอารมณ์ลง
กู่ฉิงซานเมื่อเห็นท่าทีนี้ เขาก็ผ่อนคลายลง
การจะทำให้เหลียวฮังผู้คลั่งไคล้และยึดถือในวิทยาศาสตร์สงบลงนี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“ฟู่…ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรแล้วนะ มา พวกเรามาดื่มกันต่อเถอะ” ซางหยิงฮ่าวกล่าว
ว่าจบ เขาก็เริ่มเทเหล้า
คนทั้งหลายทยอยกันนั่งลงอย่างเงียบๆ
กู่ฉิงซานพูดออกมา “ขอโทษด้วยนะ เรื่องประตูของนาย ดูท่าว่ามันจะพังแล้ว”
“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก” ซางหยิงฮ่าวกล่าว
แต่แล้วจู่ๆ เย่เฟย์หยูก็เอ่ยถามออกมา “แล้วเรื่องแอนนาล่ะ?”
“ปล่อยเธอไว้ก่อนจะดีกว่า เธอกำลังอารมณ์แปรปรวนอยู่น่ะ” กู่ฉิงซานพยายามสงบใจลง “ในตอนที่เธอโกรธ ถ้านายยังอยากมีชีวิตอยู่ล่ะก็ ฉันขอเตือนว่าอย่าไปพูดอะไรที่มันมีโอกาสกระตุ้นเธอจะดีกว่านะ”
หลายคนลองจินตนาการตาม และเมื่อได้ข้อสรุปว่ามันสมควรจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็ไม่มีใครยอมที่จะเอ่ยถึงหัวข้อนี้อีก
ทว่าก่อนจะทันได้ยกเหล้าขึ้นดื่ม สมองควอนตัมในแขนของกู่ฉิงซานก็สว่างขึ้นอีกครั้ง
“สวัสดีในยามค่ำคืนใต้เท้า แม้นี่จะเป็นการรบกวน แต่ฉันมีบางสิ่งที่น่ากลัวจริงๆ จำเป็นต้องรายงาน” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว
“คืนนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากพอแล้ว คงไม่มีอะไรน่ากลัวยิ่งกว่านี้อีกแล้วล่ะ” กู่ฉิงซานตอบกลับไป
“มีกลุ่มมืออาชีพสามสิบคนถูกกวาดล้างจนสิ้น โปรดดูบันทึกการต่อสู้ด้วย” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว
และจอม่านแสงก็สว่างขึ้น
สามสิบมืออาชีพที่เป็นทหาร ได้รับภารกิจค้นหาคนตายในแม่น้ำของรัฐบาลกลางที่ถูกแช่แข็ง
ทันใดนั้นกลุ่มแสงสีน้ำเงินเข้มก็ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน
มันปล่อยพลังดึงดูดอันแข็งกร้าว และเหล่ามืออาชีพก็มิอาจช่วยเหลือตัวเองได้ ทั้งหมดถูกดูดจนลอยขึ้นในอากาศอย่างไร้การต้านทาน และขณะเดียวกันก็ถูกคร่าชีวิตไป
ร่างของพวกเขาซูบผอมลงอย่างกะทันหัน เมื่อร่วงตกลงกระแทกกับพื้นน้ำแข็ง ร่างทั้งหมดก็แตกกระจายเป็นชิ้นๆ
“นั่นใช่ ‘นทีเหือดแห้ง’ รึเปล่า?” เย่เฟย์หยูเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ
“ใช่ นั่นมันเป็นความสามารถของธาตุน้ำในขั้นสี่ นทีเหือดแห้ง” กู่ฉิงซานกล่าว
“ดูเหมือนมันจะจัดการกับฝ่ายเราได้ง่ายๆ เลยแฮะ” ซางหยิงฮ่าวกล่าว
กู่ฉิงซาน “เรื่องนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เทพธิดากงเจิ้ง “มันเกิดขึ้นในช่วงที่พวกเรากำลังทำการกวาดล้างแม่น้ำที่ถูกแช่แข็งในรัฐบาลกลาง จู่ๆ ก็มีมอนสเตอร์ที่เป็นแสงประหลาดๆ และไม่เคยมีประวัติการณ์พบเห็นมาก่อนปรากฏตัวขึ้น”
“เย่เฟย์หยู นายออกไปกับฉัน”
“เหลียวฮัง เริ่มจัดการเตรียมเครื่องจั๊มป์ให้พร้อม”
“เทพธิดา คุณรับผิดชอบในเรื่องการจัดเตรียมรถเหินเวหาในจุดที่พวกเราจะทำการจั๊มไป”
“ซางหยิงฮ่าว นายรับผิดชอบความปลอดภัยของท่านประธานาธิบดีกับองค์จักรพรรดินีเวโรน่าต่อไป หากมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็ขอให้ติดต่อฉันทันที”
“พวกเราแยกย้าย!”
และหลายคนก็เริ่มเคลื่อนไหวไปคนละทิศทางทันที
…
กู่ฉิงซานกับเย่เฟย์หยูลงมือพร้อมกัน ในโลกใบนี้คงน้อยคนนักที่จะสามารถต้านทานพวกเขาได้
การต่อสู้ดำเนินไปเพียงชั่วครู่เท่านั้น
หลังการโจมตีด้วยกระสุนระเบิดของเลือดสังหารและดาบยาวที่บินฉวัดเฉวียน
ดาบบินเวียนว่ายอย่างต่อเนื่อง ปราณดาบเติมเต็มในอากาศเป็นกลุ่มก้อน ตามด้วยระเบิดเสียงคำรามออกมา
กลุ่มก้อนแสงกรีดร้องโหยหวนอย่างน่าสมเพช
เมื่อแสงทั้งหมดหายไป ร่างคนตายที่อยู่ภายในมันก็เผยโฉมออกมา
กู่ฉิงซานกับเย่เฟย์หยูร่อนลงและยืนอยู่ข้างๆ คนตาย
เย่เฟย์หยูเอ่ยถาม “นี่ใช่มนุษย์ปีศาจที่นายพูดถึงรึเปล่า? ไอ้ที่ว่าเป็นมอนสเตอร์จากยุคอื่นน่ะ?”
กู่ฉิงซานลองเอาดาบเช่าหยินเขี่ยๆ พลิกร่างของมันดูและกล่าว “มันเป็นมนุษย์ปีศาจจริงๆ”
ทั้งสองคนยืนอยู่เบื้องหน้าร่างคนตายที่เป็นมนุษย์ประหลาด และทำการตรวจสอบมันอย่างระมัดระวัง
ปีศาจตนนี้มีร่างกายคล้ายคลึงกับมนุษย์ เพียงแต่มันไม่มีเค้าโครงหน้า
ทั้งร่างของมันถูกสร้างขึ้นจากผลึกน้ำแข็งเย็นเยียบ และร่างกายของมันก็ปล่อยกลิ่นเลือดเน่าเหม็นออกมา
ซากของมันค่อยๆ จมลงไปในน้ำแข็งเย็นเยียบอย่างช้าๆ
แม้กระทั่งมอนสเตอร์เช่นนี้ ก็ยังต่อต้านได้เพียงไม่กี่กระบวนท่า สุดท้ายก็ถูกสังหารลงโดยทั้งสองอย่างง่ายดาย
“ไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะพุ่งเข้าปะทะและสังหารมืออาชีพไปกว่าสามสิบคน แถมยังเป็นในพริบตา ถ้าต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งถึงขนาดนี้ หากฉันเป็นพวกทหารก็คงจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่เหมือนกัน ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเทพธิดากงเจิ้งถึงต้องรายงานและส่งต่อเรื่องนี้มาถึงมือของพวกเรา” เย่เฟย์หยูถอนหายใจออกมา
บนท้องฟ้า ปรากฏชุดเกราะรบขับเคลื่อนสองเครื่องกำลังร่อนลงจอด
พวกเขาตัดชิ้นส่วนทั้งหมดของน้ำแข็งพร้อมกับร่างคนตายของเจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้และจับมันขึ้นเรือขนส่ง
มอนสเตอร์จะถูกจับโยนออกสู่ห้วงจักรวาล
นี่เป็นวิธีเดียวที่จะสามารถจัดการกับคนตายที่ไม่อาจตายลงอีกได้
กู่ฉิงซานกล่าว “นี่เป็นเพียงแค่มนุษย์ปีศาจธรรมดาๆ มนุษย์ปีศาจที่น่ากลัวจริงๆ มันยังไม่ปรากฏตัวขึ้นเลย”
“มันก็คงจะมีรูปร่างอย่างงี้เหมือนกันใช่ไหม?”
“ไม่หรอก มนุษย์ปีศาจบางตัวจะถูกสร้างขึ้นจากธาตุ ที่แกร่งจริงๆ น่ะไม่ใช่มนุษย์ปีศาจธาตุน้ำหรอก แต่เป็นพวกธาตุลม สายฟ้า ไฟ และธาตุมืด ต่างหาก”
“‘งั้นก็หมายความว่ามนุษย์ปีศาจทั้งหมดมันถูกสร้างขึ้นจากธาตุโดยสมบูรณ์สินะ”
“ไม่หรอก พวกมันบางตัวกระทั่งฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร”
กู่ฉิงซานถอนหายใจและกล่าวต่อ “นอกจากนี้ มอนสเตอร์ในยุคยักษ์ยังไม่ปรากฏตัวออกมาเลย หลังจากนั้นก็ยังมียุคโกลาหลอีก ไอ้อย่างหลังน่ะมันเป็นปีศาจที่คลั่งในการฆ่าโดยสมบูรณ์เลยนะรู้ไหม”
“ปัญหาใหญ่จริงๆ ซะด้วยสิ…” เย่เฟย์หยูยกสองแขนขึ้นกอดอก สีหน้าของเขาเผยถึงความกังวล
กู่ฉิงซาน “พวกเราคงต้องรีบเปิดตัวกำไลข้อมือแล้วล่ะ กระตุ้นมนุษยชาติให้ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการฝึกยุทธ และจากนั้นก็รวมประเทศทั้งหมดเป็นหนึ่ง ในขณะที่นรกเยือกแข็งยังไม่แพร่กระจายเต็มที่ พวกเราก็จะทำการปิดล้อมพวกมอนสเตอร์ตามสถานที่ต่างๆ อย่างเต็มกำลัง”
“ทำแบบนั้นไปมันจะได้ผลเหรอ?”
“ฉันคิดว่าอย่างน้อยก็ยังมีโอกาสรอดชีวิต...อย่างน้อยล่ะนะ”
“งั้นพวกเรามัวรออะไรกันอยู่ล่ะ รีบไปหาซางหยิงฮ่าวเลยเถอะ แล้วก็ไปที่สาธารณรัฐฟูซี องค์จักรพรรดินีแห่งรัฐก็อยู่ที่นั่น เพื่อเฝ้ารอทำพิธีขึ้นครองราชย์”
“อ่า งั้นก็ไปกันเถอะ”
ทั้งสองบินขึ้นไปบนท้องฟ้า มุ่งหน้าสู่วิลล่าบนหุบเขา
ในท้องฟ้ายามค่ำคืน กู่ฉิงซานเบนสายตามองดูเมืองมนุษย์ที่อยู่ในระยะไกลออกไป
มันเป็นกลางดึกแล้ว ทั้งเมืองจึงเงียบสงบ
ถึงแม้ว่าจะไม่มีเสียง แต่ก็ยังคงมีแสงสว่างตลอดทั้งเมือง ส่งผลให้ฉากนี้ดูราวกับดอกไม้ไฟที่ปะทุอยู่บนพื้นเบื้องล่าง
บางที นี่อาจเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่เงียบสงบสำหรับมนุษยชาติก็ได้
เมื่อนรกเยือกแข็งปรากฏขึ้นโดยสมบูรณ์ มอนสเตอร์แปลกประหลาดนับไม่ถ้วนก็จะเข้าทำการยึดครองเมือง
หากเป็นเช่นนั้น กู่ฉิงซานก็ยังคงพอจะมีวิธีแก้ไขรับมือกับมันอยู่บ้าง
มันอาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะระดมมนุษยชาติทั้งหมดเข้าด้วยกัน และพยายามอย่างเต็มกำลังที่ต่อต้านนรกเยือกแข็ง
อย่างไรก็ตาม เงาที่ซุ่มแฝงตัวอยู่ในหัวใจของกู่ฉิงซานกลับยังคงไม่จางหายไปไหน
มันเป็นความรู้สึกอันลึกลับยากจะอธิบาย ที่กำลังค่อยๆ เติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ
มันเป็นเพียงความคิดที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ยืนยัน
ถ้าหากว่า…
นอกเหนือจากนรกเยือกแข็งแล้ว ยังมีนรกอื่นติดตามมาด้วยล่ะ จะทำอย่างไร?
…………………………………………….