ตอนที่ 351 ลมตะวันตก
“ท่านผู้พิทักษ์ ขออภัยจริงๆ ที่ทำให้ท่านต้องเดือดร้อน” แม่ของซูเซี่ยเอ๋อรีบโค้งกายคำนับอย่างรวดเร็ว
“ไม่เป็นไรหรอก เจ้าก็รีบไปขึ้นยานเถอะ พวกเรากำลังจะออกเดินทางกันแล้ว” ผู้พิทักษ์กล่าว
“เข้าใจแล้วค่ะ”
ซูเซี่ยเอ๋อที่ไร้สติ ถูกอุ้มตัวพาขึ้นไปบนยาน
หลังจากนั้นไม่นาน
ยานอวกาศขนาดใหญ่ก็ลอยลำขึ้นสู่ท้องฟ้า และระเบิดคลื่นอัดอากาศพุ่งสูงขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศหายลับไป
นี่มันอะไรกัน? เก้าตระกูลใหญ่หลบหนีออกจากโลก นี่คือโชคชะตาของฉันอย่างงั้นเเหรอ?
ซูเซี่ยเอ๋อเฝ้ามองนิมิต ในสมองขบคิดถึงฉากที่ปรากฏอย่างเงียบๆ
และภาพก็กะพริบไหว ฉากโดยรอบเปลี่ยนไปอีกครั้ง
ภายในยานอวกาศ
ทุกคนหลับใหลกันไปหมดแล้ว
เห็นแค่เพียงผู้พิทักษ์ที่ยืนอยู่หน้าแผงควบคุมยาน เธอแสดงท่าทีลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะ ‘กดปุ่มสีเขียว’
แล้วหมอกค่อยๆ เติมเต็มไปทั่วยานอวกาศ
“ข้าเสียใจจริงๆ” ผู้พิทักษ์บ่นพึมพำ “ในจักรวาลนี้มีอสุรกายอยู่มากเกินไป ข้าทำได้แค่เพียงรับประกันได้ว่าตนเองจะไม่ถูกค้นพบเท่านั้น”
“เพื่อการดำรงอยู่ต่อไปของเก้าตระกูลใหญ่ เจ้าจะต้องอยู่ภายในยานอวกาศในฐานะต้นกำเนิดยีนไว้สำหรับสานต่อทายาทรุ่นต่อไปของเก้าตระกูล”
“สิ่งเดียวที่น่าเสียดายก็คือ แม้พรสวรรค์โดยกำเนิดของซูเซี่ยเอ๋อจะดีเลิศ แต่ทว่ากว่าจะค้นพบมันก็สายเกินไปเสียแล้ว…”
…
ภาพเคลื่อนไหวกำลังจะสิ้นสุดลงในไม่ช้า
เฝ้ามองหน้าตาของตัวเองที่ไร้สติและกำลังหลับลึก ภายในจิตใจของซูเซี่ยเอ๋อก็เต็มไปด้วยอารมณ์อันหลากหลาย
“ช่างเป็นชีวิตที่อ่อนแอและน่าเวทนาจริงๆ”
นี่มันหมายความว่า แต่เดิม ความจริงแล้วฉันไม่เคยควบคุมโชคชะตาของตนเองได้เลยสินะ?
จู่ๆ เธอก็เริ่มใจเสียอย่างกะทันหัน
แล้วฉิงซานล่ะ?
เขาจะเป็นอย่างไร?
ราวกับรับรู้ถึงความนึกคิดของเธอ ภาพเคลื่อนไหวได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง
ยามเมื่อเปลี่ยนไปในตอนแรก ภาพเคลื่อนไหวนั้นพร่ามัวแลดูสับสน แต่ว่าสักพักมันก็ค่อยๆ ชัดเจนกระจ่างใสขึ้น
สายลมปั่นป่วน
เปลวไฟปะทุ
ควันลอยฟุ้งไปทั่ว
กลิ่นคาวของเลือดฟุ้งอยู่ในชั้นอากาศ
บรรยากาศร้อนอบอ้าว พวยพุ่งไปด้วยไอน้ำ
เสียงร่ำไห้คร่ำครวญอลหม่าน ร้องระงมไปทั่ว
มืออาชีพนับไม่ถ้วนที่สวมชุดเกราะและถืออาวุธของพวกเขากำลังข้ามแม่น้ำใหญ่
เหนือแม่น้ำใหญ่ ปรากฏเงาดำๆ ปกคลุมไปทั่วผืนฟ้า บดบังไปทั่วผืนดิน
ฮู้ม!
เงาดำที่ว่าเปล่งเสียงคำรนอึกทึก
เหล่ามนุษย์มืออาชีพที่รายล้อมมันราวกับเกี๊ยวน้ำที่แตกออก เสียงคำรนระเบิดอวัยวะภายในของพวกเขาจนทะลุออกมาภายนอก คนแล้วคนเล่าสิ้นชีพลง เศษซากร่วงหล่นลงสู่แม่น้ำใหญ่
“อสุรกายที่ปกป้องที่นี่มันทรงพลังเกินไป พวกเราไม่สามารถข้ามผ่านธารเมฆามารได้เลย!” บางคนร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว
“แล้วสถานการณ์ทางฝั่งแนวหลังเป็นอย่างไรบ้าง?” อีกเสียงหนึ่งเอ่ยทวงถามกลับมา
ในหัวใจของซูเซี่ยเอ๋อเต้นครึกโครม
เพราะนี่คือเสียงของกู่ฉิงซาน!
เธอรีบเบนหน้าหันไปรอบๆ เพื่อตามหาต้นตอของเสียงทันที
ดูเหมือนว่าสถานที่แห่งนี้จะเป็นค่ายทหารโบราณ
เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่สวมใส่ชุดเกราะและถือดาบยาว ยืนอยู่ใจกลางเหล่ามืออาชีพมากมายที่รายล้อมรอบตัวเขา
ลักษณะของเขาดูจะมีความเปลี่ยนแปลงไปบ้างเล็กน้อย ใบหน้าปรากฏริ้วรอยและบาดแผล แสดงให้เห็นถึงความเหนื่อยล้าอย่างชัดเจน
ด้วยวันเวลาที่ผ่านพ้นไป ส่งผลให้ใบหน้าของเขามีหนวดเคราขึ้นประปราย
ดูจากรูปลักษณ์ทั้งหมดของฉิงซาน บ่งบอกได้ว่าช่วงเวลานี้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ทว่าสิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยคือดวงตาของเขา
มันคือดวงตาที่สดใส มั่นคง วันเวลามิได้ทำให้มันเปลี่ยนแปลงไปเลย
ซูเซี่ยเอ๋ออดไม่ได้ที่จะบินลงไปยืนข้างๆ กู่ฉิงซาน
ทว่าเขากลับมองไม่เห็นเธอ
เธอเอื้อมมือออกไปและพยายามที่จะสัมผัสกับใบหน้าของเขา
“รายงาน!”
มีเสียงตะโกนดังลงมาจากบนท้องฟ้า
มือของซูเซี่ยเอ๋อหดกลับอย่างรวดเร็วราวกับปฏิกิริยาโดนไฟดูด
เห็นแค่เพียงคนๆ หนึ่งที่ทั้งคนทั้งร่างท่วมไปด้วยเลือดร่อนลงมา คนๆ นั้นแทบจะทรงตัวไม่ได้ด้วยซ้ำ เมื่อเท้าย่ำลงบนพื้น เขาก็เสียหลักกลิ้งหลุนๆ หลายตลบ ก่อนจะถูกช่วยพยุงโดยคนอื่นๆ
“มีอะไร? จงรีบรายงานมาเร็วเข้า” กู่ฉิงซานกล่าว
ชายคนนั้นอ้าปากค้างหอบหายใจ ก่อนตะโกนเสียงดัง “มืออาชีพของเก้าตระกูลใหญ่ที่รับผิดชอบปกป้องเมืองคิงซิตี้ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่โผล่หัวกันมาเลย!”
“เมืองคิงซิตี้กำลังจะล่มสลายลงแล้ว!”
น้ำเสียงของเขากำลังหวาดกลัวและอดไม่ได้ที่จะสิ้นหวัง
“แล้วเทพวิญญาณของพวกเราล่ะ?” กู่ฉิงซานถาม
“ท่านเทพวิญญาณยังคงพยายามต่อสู้อยู่!”
“แบบนี้ไม่ดีแน่ ท่านเทพของพวกเราคงไม่สามารถเอาชนะพวกมันได้ จำนวนของอีกฝ่ายมีมากเกินไป!” ผู้บัญชาการอีกคนหนึ่งโพล่งออกมา
“เป็นอย่างที่ว่า แต่อสุรกายในธารเมฆามารมันแกร่งมากเกินไป พวกเราเองก็ไม่สามารถแบ่งกำลังไปสนับสนุนทางฝั่งนั้นได้เหมือนกัน” กู่ฉิงซานเอ่ยเสียงหม่นทะมึน
ทั้งหมดจมลงสู่ความเงียบ
ซูเซี่ยเอ๋อยังคงยืนอยู่ข้างกายกู่ฉิงซาน เฝ้ามองดูฉากนี้อย่างเงียบๆ
แปลกจัง สถานที่นี้มันคือที่ไหนกันแน่?
เธอหันไปมองรอบๆ
ทันใดนั้นเธอก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย
คนๆ นั้นเป็นหนึ่งในนักสู้ผู้มีชื่อเสียงของรัฐบาลกลาง
เขาก็อยู่ในที่แห่งนี้ และสวมใส่ชุดเกราะที่ดูแปลกตา ในมือถืออาวุธแหลมคม สีหน้าการแสดงออกแลดูสิ้นหวัง
หรือว่า…นี่จะเป็นอีกโลกหนึ่ง?
โลกที่คนจากเก้าตระกูลเลือกที่จะทอดทิ้ง?
หรือว่านี่จะเป็นโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ที่ตัวเธอเองได้เอ่ยมันออกมาในก่อนหน้านี้?
เธอพยายามไตร่ตรองขบคิด
ช่วงเวลานั้นเอง ผู้หญิงในชุดเกราะทองคำก็บินมาจากพื้นที่ส่วนหลัง
หญิงนางนี้งดงามโดดเด่นชนิดหาตัวจับได้ยาก กระทั่งซูเซี่ยเอ๋อยังอดไม่ได้ต้องกวาดสายตามองเธอขึ้นๆ ลงอยู่ซ้ำอยู่หลายรอบ
“นายพลโหยวจีจากนิกายร้อยบุปผา หวังหลิงซิว มาที่นี่ขอรับ” ใครบางคนกระซิบเตือนกู่ฉิงซาน
“นายพลหวัง ท่านมาที่นี่ด้วยเหตุอันใด?” กู่ฉิงซานหันหลังกลับมาเอ่ยถาม
“หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเราจักพ่ายแพ้ใช่หรือไม่?” นายพลหญิงถาม
กู่ฉิงซานเงียบไปสักพัก สุดท้ายจึงเอ่ยตอบ “ใช่”
นายพลหญิงถอนหายใจและเอ่ยอย่างเศร้าสลด “น่าเสียดายยิ่งนักที่ท่านอาจารย์แห่งข้าได้ล่วงลับไปแล้ว ศิษย์พี่หนึ่งและสองก็ได้ล่วงลับไปแล้วเช่นกัน หลงเหลืออยู่เพียงแค่ข้าเท่านั้น”
กู่ฉิงซานไม่ได้เอ่ยตอบ
นายพลหญิงกล่าว “กู่ฉิงซาน เจ้าเป็นนักดาบนิรันดร์แห่งมนุษยชาติคนเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ ข้าจำได้ว่าเจ้ามีกระบวนท่าเทคนิคลับแห่งดาบของนักดาบนิรันดร์ ‘ทงกุ่ย[footnoteRef:1]’ ไว้อยู่ในครอบครองใช่หรือไม่?” [1: ทงกุ่ย คือ ร่วมหวนคืน]
“หุบปากซะ!” ผู้ฝึกยุทธแห่งมนุษยชาติตัดบทด้วยความขุ่นเคือง และกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ เทคนิคทงกุ่ยที่ว่านั่น หากใช้มันออกไป นายท่านกู่ก็จะต้องตาย!”
นายท่าน?
ซูเซี่ยเอ๋อพอได้ยินทั้งคำพูดและสำเนียงนี้ก็คาดเดาไปว่า
นี่คือคำที่ใช้พูดกันในโลกใบนี้ใช่หรือไม่?
กู่ฉิงซานปรามชายคนนั้นและเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ใช่ ข้ามีกระบวนท่าที่ว่านั่น”
นายพลหญิงกล่าว “ข้ายินดีจะเสียสละชีวิตข้า รวมทั้งพื้นฐานวรยุทธทั้งหมด เพื่อช่วยให้เจ้าเปิดใช้งานทงกุ่ย ”
เธอมองไปที่กู่ฉิงซาน ในแววตาเปล่งประกายสดใสระยับ
“เราไม่สามารถทำอะไรได้อีกต่อไปแล้ว มีเพียงแค่กระบวนท่าดาบนั่นที่จะสามารถทำลายเหตุและผล ตัดสะบั้นทุกสรรพสิ่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องได้รับการยินยอมจากนายท่านกู่อยู่ดี” เธอกล่าว
กู่ฉิงซานหันไปมองดูเงาขนาดใหญ่บนท้องฟ้า ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
“เจ้าอสุรกายตัวนี้ เป็นอาวุธชั้นยอดที่สุดของเผ่ามาร” เขาเอ่ยอย่างช้าๆ “เพียงเจ้าและข้าสองชีวิต มิอาจกระตุ้นกระบวนท่าดาบที่ว่านั่นได้ เราไม่สามารถเอาชนะอสุรกายที่ร้ายกาจที่สุดตัวนี้ได้”
อสุรกายที่ร้ายกาจที่สุด
ซูเซี่ยเอ๋อเงยหน้าขึ้นมอง
บนท้องฟ้ามืดมิด
มอนสเตอร์ขนาดยักษ์ลอยตัวข้ามผ่านผืนฟ้า เกือบที่จะบดบังแสงสว่างทั้งหมดโดยสมบูรณ์
มอนสเตอร์ตัวนี้ บนร่างกายของมันประกอบไปด้วยหัวกะโหลกนับไม่ถ้วน
ไม่ว่าจะเป็นกะโหลกมนุษย์ อสูรวิญญาณ มาร และอื่นๆ ที่ไม่ทราบชนิด
แต่ละหัวบ้างปิดปาก บ้างเปิดปากในเวลาเดียวกัน
และทุกๆ การจู่โจมนับไม่ถ้วน ล้วนถูกส่งผ่านออกมาจากปากของเหล่ากะโหลกที่ว่านี้
ผู้ฝึกยุทธมนุษย์ที่รับผิดชอบในการบุกโจมตีจากทั่วฟ้าถูกมันระเบิดอวัยวะภายในตกตายลงอย่างต่อเนื่อง ร่างไร้วิญญาณของพวกเขาร่วงตกลงไปไหลรวมกับแม่น้ำใหญ่
ในชีวิตของซูเซี่ยเอ๋อ เธอไม่เคยพบเห็นฉากที่น่าเศร้าสลดเช่นนี้มาก่อนเลย
เธอจ้องมองมันอย่างว่างเปล่า ร่างกายแข็งทื่อไปสักพักหนึ่ง
ขณะนั้นเอง เสียงของกู่ฉิงซานก็ก้องขึ้นในหูของเธอ
“อย่างน้อยก็จำเป็นต้องใช้สองผู้ฝึกยุทธขอบเขตประทับเทพ เราถึงจะสามารถรับมือกับมันได้” กู่ฉิงซานมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและกล่าว
“แต่นักปราชญ์ได้ตกตายลงไปหมดแล้ว” นายพลอีกคนหนึ่งถอนหายใจอย่างเศร้าสลด
“มันดูเหมือนว่าทั้งในโลกจริงกับที่นี่คงไม่แคล้วถูกทำลายไม่ต่างกัน” นายพลอีกคนถอนหายใจตาม
โลกจริง?
ที่นี่?
มนุษย์สามารถเดินทางไปมาระหว่างสองโลกได้อย่างงั้นเหรอ?
ซูเซี่ยเอ๋อขบคิดอย่างลับๆ
ในค่ายทหารที่กำลังเร่งร้อน เสียงดังรบกวนภายในค่อยๆสงบลง
สายลมเย็นพัดโชยไปมา
สรรพสิ่งเงียบงันราวกับทุกอย่างได้ตายจาก
ผู้ฝึกยุทธต่างหยุดมือในสิ่งที่ตนกำลังทำ
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอสุรกายที่ร้ายกาจที่สุด ทุกการกระทำทั้งหมดก็ดูเหมือนจะไร้สาระและไร้ความหมาย
ผู้ฝึกยุทธยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่นาน ราวกับตนเป็นประติมากรรม
บนใบหน้าของพวกเขาขณะนี้แลดูบิดเบี้ยว มันเผยถึงความโกรธแค้นไม่ยินยอมผสานไปกับความสิ้นหวัง
แต่ละคนทำแค่เพียงเบนสายตามามองกันและกัน แต่ในตอนนั้นเอง เสียงของผู้ฝึกยุทธหญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาทำลายความเงียบ
ช่วงเวลานั้น
เห็นแค่เพียงภายในค่ายทหาร ผู้ฝึกยุทธที่สวมใส่ชุดเกราะรบสีดำเดินมาเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน
“นายพลดู่กู้ มีเรื่องอะไรกระนั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างรอบคอบ
นายพลดู่กู้กล่าว “ข้าเพียงหวังว่าเราจะชนะสงครามที่นี่ด้วยตนเอง ไม่จำเป็นต้องมาพิจารณาว่าที่อื่นๆ หรือเมืองคิงซิตี้จะมาสนับสนุนเรา – แต่เป็นเราที่ต้องคว้าชัยที่นี่และกลับไปช่วยเหลือเมืองคิงซิตี้”
“ใช่แล้วล่ะ นั่นเป็นวิธีเดียว แต่ด้วยความแข็งแกร่งของข้า ต่อให้แม้นสละชีวิต มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะสามารถสังหารอสุรกายตนนี้ได้” กู่ฉิงซานตอบ
นายพลเกราะดำค่อยๆ ย่อเข่าลง หัวเข่าข้างหนึ่งสัมผัสกับพื้นดินอย่างช้าๆ สองกำปั้นประสานเข้าหากัน
“นายท่านกู่ ข้ายินดีเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนท่าดาบทงกุ่ยของท่าน” เธอกล่าวอย่างสงบ
นายพลหญิงเชิดหน้าขึ้น สายตาจับจ้องมายังกู่ฉิงซาน
บนใบหน้าอันงดงามหาตัวจับได้ยากของเธอแสดงออกถึงความเฉยเมยต่อชีวิตและความตาย
เธอยื่นกำปั้นข้างหนึ่งไปทางเขาและเอ่ยว่า “นายท่านกู่ ข้ายินดีที่จะร่วมกระบวนท่าทงกุ่ยกับท่าน”
ผู้ฝึกยุทธต่างมองไปที่ฉากนี้อย่างเงียบๆ
หลังจากนั้นผู้ฝึกยุทธอีกคนหนึ่งก็คุกเข่าลง สองกำปั้นประสานเข้าหากัน ตามด้วยอีกคน และอีกคน
กลิ่นอายของทั้งหมดปะทุพรั่งพรูออกมาราวกับกำลังเปล่งประกายท่วมท้นดั่งขุนเขาและทะเล แสดงให้เห็นถึงการตัดสินใจของพวกเขา
ตลอดทั้งค่ายทหาร นับพันหมื่นมืออาชีพและผู้ฝึกยุทธ ทั้งหมดต่างคุกเข่าลง จ้องมองไปยังกู่ฉิงซาน
เหล่าผู้คนต่างร้องตะโกน เปล่งวาจาแห่งความตั้งใจจากส่วนลึกในหัวใจของพวกเขาออกมา
“นายท่านกู่ ข้าก็ยินดีร่วมกระบวนท่ากับท่าน”
“มาร่วมกันทำให้มันเป็นกระบวนท่าที่สุดยอดกันเถิด”
“พวกเราขอยอมเป็นส่วนหนึ่งของทงกุ่ย!”
“ข้ายินดีแลกเลือดทุกหยดของข้าเพื่อเปิดใช้งานทงกุ่ยกับนายท่าน!”
…
ลมตะวันตกรุนแรงพัดกระหน่ำ
กู่ฉิงซานยืนอยู่ท่ามกลางสายลมและหันไปมองรอบๆ
ตลอดทั้งค่ายทหารไม่มีใครยืนอยู่อีกเลย ยกเว้นเขาแต่เพียงผู้เดียว
ทั้งหมดคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น สองกำปั้นประสานกัน ในแววตาของทุกคนฉายแววหนักแน่นเด็ดเดี่ยว
กู่ฉิงซานค่อยๆ คุกเข่าของเขาลงข้างหนึ่งอย่างช้าๆ ประสานกำปั้นไปยังทุกผู้คน “มันก็แค่ชีวิตและความตายเท่านั้น วันนี้ข้าและเหล่าวีรชนเบื้องหน้าจะใช้ออกด้วยกระบวนท่าทงกุ่ย!”
ว่าจบ ทั้งคนทั้งร่างของเขาก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
เบื้องหลังเขา ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดต่างยืนขึ้น
ผู้ฝึกยุทธนับพันหมื่นมองตามร่างที่ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างพร้อมเพรียง
บินไปได้ครึ่งทาง กู่ฉิงซานก็เอ่ยตะคอกคำหนึ่ง
“ดาบเอ๋ย!”
ทันใดนั้น ดาบบินมากมายก็ผุดออกมาจากความว่างเปล่า
ดาบบินเหล่านั้นลดระดับลงมาอย่างรวดเร็ว ร่อนตกลงมาข้างกายของเหล่าผู้ฝึกยุทธแต่ละคน
ผู้ฝึกยุทธยื่นมือออกไปจับด้ามดาบข้างกาย และเริ่มต้นเผาผลาญพลังชีวิต พื้นฐานวรยุทธ และจิตวิญญาณ เพื่ออัดฉีดพวกมันทั้งหมดเข้าไปในดาบบิน
ในขณะนี้ ทุกคนต่างร้องตะโกนโดยพร้อมเพรียง “แด่ทงกุ่ย!”
ร่างทั้งหมดเปล่งประกายวาวโรจน์ และผสานเข้ากับดาบยาวในมือของพวกเขา
ดาบยาวทั้งหมดเหินทะยานขึ้นโดยอัตโนมัติ พวกมันล้วนเปล่งประกายเจิดจรัสและเร่าร้อน ต่อแถวเรียงรายกันอย่างงดงามและสมบูรณ์
เทคนิคลับ นักดาบนิรันดร์
ค่ายกลดาบ ทงกุ่ย!
ฮู้ม!
ปัง! บังเกิดเสียงสนั่นของปราณดาบระเบิดออก
ภูเขาและแม่น้ำบังเกิดความอลหม่าน ลมและเมฆแยกออกราวกับกำลังตื่นกลัว
เส้นแสงพวยพุ่งขึ้นสู่เงาชั่วร้ายที่บดบังไปทั่วผืนฟ้า
ปราณดาบเหลือคณา ฉีกอากาศตรงขึ้นไปราวกับต้องการทะยานสู่สรวงสวรรค์
สองมือของกู่ฉิงซานคว้าจับดาบยาว สองเท้าย่ำลงบนค่ายกลดาบ ขี่ทงกุ่ยเหินขึ้นสู่ฟากฟ้า
เขาทะยานเข้าหาเจ้าอสุรกาย
ใกล้เข้าไป
ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ
นักดาบนิรันดร์คนสุดท้ายในโลก ได้ระเบิดการโจมตีที่เขาเชื่อมั่นว่ามันทรงพลานุภาพที่สุดในช่วงชีวิต และคาดว่าน่าจะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตออกมา
กระบวนท่าดาบได้ถูกปลดปล่อยออกไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
รัศมีดาบเปล่งปลั่งน่าหลงใหลขจรขจายไปทั่วผืนฟ้า ขจัดความมืดมิดทั้งมวลสลายไป
ท่ามกลางความมืดมิด เสียงคำรนด้วยความเจ็บปวดหวีดแหลมในความว่างเปล่า
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ จู่ๆ นิมิตหมายแห่งโชคชะตาก็ราวกับหยุดนิ่ง
ทันใดนั้นทุกอย่างก็เชื่องช้าลง สรรพเสียงทั้งหมดก็พลันหายไปอย่างสิ้นเชิง
ซูเซี่ยเอ๋อสามารถมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน ว่ากู่ฉิงซานทะยานตัวขึ้นไปเผชิญหน้ากับอสุรกายด้วยอัตราเร็วที่แสนเชื่องช้า
ซูเซี่ยเอ๋อกระทั่งสามารถเห็นถึงการแสดงออกอันละเอียดอ่อนบนใบหน้าของกู่ฉิงซานได้อย่างชัดเจน
กู่ฉิงซานค่อยๆอ้าปากของเขาอย่างช้าๆ เปล่งคำรนสุดเสียงออกมาคำหนึ่ง
ทว่าแม้ซูเซี่ยเอ๋อพยายามตั้งใจฟังอย่างหนัก เธอก็ไม่สามารถได้ยินมันได้เลย
ประกายแสงทวีความเจิดจรัสมากขึ้น เปล่งประกายยิ่งขึ้น
แสงสีขาวแผ่กระจายไปทั่วผืนฟ้า บดบังปกคลุมทั้งสวรรค์และโลก
และเมื่อแสงสีขาวค่อยๆ จางหายไปในความว่างเปล่า ทุกอย่างก็พลันมืดดับลง
ภาพเคลื่อนไหวหยุดลงเพียงแค่ฉากนี้
ซูเซี่ยเอ๋อนิ่งตะลึงงัน เพราะเธอค้นพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ในกรมบังคับกฎอีกครั้งดังเดิมแล้ว
เธอยกมือขึ้นลูบสัมผัสลงบนแก้มตัวเอง
แล้วก็พบกับคราบน้ำตา ที่ไม่รู้เลยว่ามันไหลรินลงมานานแค่ไหนแล้ว
…………………………………………….