webnovel

0280 โลกใบนั้น

ตอนที่ 280 โลกใบนั้น 

ชายที่ถูกทำการค้นวิญญาณเป็นหนึ่งในผู้ติดตามของนายน้อยชุดคลุมม่วง เขาเป็นคนเก่งในด้านการมองผู้คน และมักจะทำหน้าที่ประจบประแจงได้ดี ดังนั้นเขาจึงได้ติดตามนายน้อยชุดคลุมม่วงมายังโลกอื่นอยู่บ่อยครั้ง 

นอกจากสกิลการประจบประแจงอันโดดเด่นแล้ว ชายผู้นี้ก็มิได้มีความสามารถอื่นใดอีก พื้นฐานวรยุทธ์ของเขาก็มิได้สูงส่งนัก แต่กลับได้ติดสอยห้อยตามนายน้อยชุดคลุมม่วงด้วยการประจบสอพลอ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ถูกให้ความสำคัญใดๆ จากเหล่าผู้ฝึกยุทธที่ครอบครองพลังอย่างแท้จริง 

นั่นคือเหตุผลที่เขาถูกส่งตัวมาทำงานที่แลคล้ายกับการถูกลงโทษเช่นนี้ อย่างการออกมาตรวจตราหน่วยสอดแนมของศัตรู 

เมื่อมองย้อนกลับไปถึงข้อมูลที่ได้จากการค้นวิญญาณ กู่ฉิงซานก็ถอนหายใจเล็กน้อย และอดไม่ได้ที่จะจมลงสู่ห้วงความคิด 

สถานการณ์ในตอนนี้ รุนแรงอย่างคาดไม่ถึง 

ขอบเขตร่างเทวะและพันวิบัติ นับว่าเป็นความแข็งแกร่งที่ไม่เลวร้ายเลยในโลกใบนั้น 

สำหรับขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า หากได้ก้าวขึ้นไปถึง ก็นับว่าเพียงพอแล้วที่จะได้ขึ้นมาเป็นผู้นำสำนัก และเป็นวีรบุรุษที่โดดเด่นในฝูงชน 

เหนือขึ้นไปยิ่งกว่าขีดสุดความว่างเปล่า คือขอบเขตลมปราณจิต เป็นผู้ฝึกยุทธที่ทรงพลานุภาพมากที่สุดในโลก มีจำนวนแค่เพียงหยิบมือเท่านั้น นับว่าหาได้ยากยิ่ง 

เซียนอมตะลู่ในเวลานั้น เป็นผู้ฝึกยุทธที่เพิ่งก้าวขึ้นสู่ขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าขั้นต้น ยามเมื่อเขาฉีกมิติที่ว่างเปล่าเข้ามาถึง การเคลื่อนไหวของเขาดันสะดุดตาเกินไป มันจึงนำไปสู่การดึงดูดความสนใจเล็กๆ น้อยๆ จาก ‘เทพมาร’ 

เทพมารเป็นตัวแทนแห่งจุดจบของโลก มันเป็นตัวตนที่คอยเร่งกลืนกินโลกใบนี้ให้จมลงสู่ความล่มสลาย! 

เซียนอมตะลู่พ่ายแพ้ยามเมื่อเผชิญหน้ากับเทพมาร เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส และจำต้องใช้เทคนิคลับ หลบลี้ฟ้าดิน ออกมาอย่างไม่เต็มใจ 

แต่ใครมันจะไปทันคาดคิดซ้ำสอง ว่าบิดาของนายน้อยชุดคลุมม่วงจะรอคอยรวบตัวเขาอยู่แล้วจากในทุกทิศทาง ยามเมื่อเซียนอมตะลู่ปรากฏตัว เขาก็เป็นคนเริ่มเปิดฉากโจมตี และสังหารอมตะลู่ที่บาดเจ็บสาหัสจนตกตายในคราเดียว 

บิดาของนายน้อยชุดคลุมม่วง อยู่ในขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าขั้นสมบูรณ์ 

และนี่คือต้นกำเนิดของเรื่องราวทั้งหมด 

สำหรับนิกายกวงหยาง ในโลกใบนั้นได้ถูกพิจารณาว่าเป็นสำนักขนาดกลาง

ภายในนิกายกวงหยาง จะถูกแบ่งแยกออกเป็นสองฝ่าย 

ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนผู้อาวุโสสูงสุดที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต ทว่ากลับได้รับบาดเจ็บสาหัสจากฝีมือของเทพมาร จนไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ 

ส่วนอีกฝ่ายสนับสนุนบิดาของนายน้อยชุดคลุมม่วง และเขาก็เป็นผู้นำของนิกายกวงหยางในปัจจุบัน 

พร้อมกับด้วยจุดจบของโลกที่ใกล้เข้ามา กลุ่มต่างๆ จึงเริ่มออกเดินทาง และด้วยสองสำนักในนิกายกวงหยางที่มีความคิดเห็นแตกต่างกัน จึงบังเกิดความขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว สถานการณ์แลคล้ายกับพายุฝนกระหน่ำที่เกิดขึ้นบนเทือกเขาใหญ่ 

ดังนั้นผู้นำนิกายกวงหยาง จึงจำต้องก้าวข้ามโทษทัณฑ์ในช่วงเวลานี้ 

เขากำลังทำการทะลวงขอบเขตลมปราณจิต 

ครั้นเมื่อเขาประสบความสำเร็จ ก็จะไม่มีใครในนิกายสามารถต่อต้านเขาได้อีกต่อไป 

ส่วนนายน้อยชุดคลุมม่วงก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เขาจึงต้องรีบทะลวงเข้าสู่ขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าอย่างเร่งด่วน 

และสิ่งแรกที่เขาจะทำเมื่อเขาก้าวขึ้นสู่ผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า ก็คือการครอบครองโลกเทวะและโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ 

เวลานี้ เหล่าผู้ฝึกยุทธที่ถูกส่งมา ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นผู้สนับสนุนของนายน้อยชุดคลุมม่วง 

คนเหล่านี้ ล้วนถูกสั่งห้ามจากนายน้อยชุดคลุมม่วง ว่ามิได้รับอนุญาตให้แพร่งพรายข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับการดำรงอยู่ของโลกแห่งนี้ออกไปโดยเด็ดขาด 

นี่เป็นการลงมือโดยส่วนตัวของนายน้อยชุดคลุมม่วง เขาต้องการที่จะรวบรวมสองโลกนี้ด้วยมือของตนเอง 

ยามเมื่อบิดาของเขาประสบความสำเร็จในการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ นายน้อยในชุดคลุมม่วงก็จะนำสองโลกนี้มอบให้เป็นของกำนัลแด่เขา 

แต่ทว่าหากบิดาตนล้มเหลว เขาก็จะเก็บสองโลกนี้เอาไว้เอง และจากไปทันที 

นั่นคือความคิดของนายน้อยชุดคลุมม่วง 

เขาใช้ทรัพยากรทั้งหมดของตน เพื่อสร้างชุดค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดเล็ก ไว้รับส่งระหว่างสองโลก 

ค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดเล็กนี้ มีราคาค่างวดมหาศาล การรังสรรค์มันจำต้องใช้วัสดุเลอค่ามากมาย 

และในตอนนี้ ยังคงเหลือค่ายกลที่ว่านั่นอยู่อีกสองแห่ง 

หนึ่งในนั้นอยู่ในมือปรมาจารย์ค่ายกลของนิกายกวงหยาง อีกหนึ่งอยู่ในมือของนายน้อยชุดคลุมม่วง 

ทว่าเจ้าสิ่งนี้ ทุกครั้งที่ใช้มันเดินทางไปมาระหว่างสองโลก ตัวมันก็จะบังเกิดความเสียหายขึ้นส่วนหนึ่ง 

ทิศทางที่กำหนดสำหรับการเคลื่อนย้ายคือโลกเทวะ และโลกของพวกเขา 

หลังจากเสร็จสิ้นการเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลก เจ้าสิ่งนี้ก็จะพังลง 

ดังนั้นการเดินทางระหว่างสองโลกจึงมิใช่เรื่องง่ายดายเลย

นอกจากคนที่อยู่ในค่ายทหารแห่งนี้ มีเพียงนายน้อยชุดคลุมม่วงและหนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทเท่านั้น ที่รับรู้ถึงการดำรงอยู่ของโลกเทวะและโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ 

ผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทมีนามว่า วูซาน ซึ่งในเวลานี้ยังมาไม่ถึง 

น่าเสียดายจริงๆ ที่ไม่มีทางฆ่าชายคนนี้ได้! 

หากคุณสามารถสังหารเขาได้ และปล่อยเหล่าผู้คนในค่ายทหารบนภูเขาทิ้งไว้เบื้องหลัง ก็จะหลงเหลือเพียงนายน้อยชุดคลุมม่วงเท่านั้นที่รู้ถึงการดำรงอยู่ระหว่างสองโลก! 

กู่ฉิงซานพยักหน้าเล็กน้อย 

สิ่งที่ต้องการจะทราบก็ได้รับรู้มันอย่างชัดแจ้งแล้ว 

นอกจากนี้เขายังเก็บเกี่ยวข้อมูลสำคัญที่มีประโยชน์เป็นอย่างยิ่งมาได้อีกด้วย 

นั่นคือในโลกใบนั้น แท้จริงแล้วไม่เคยมีการปรากฏตัวของมารสวรรค์ขึ้นมาก่อน! 

ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีวิธีการแบบเฉพาะเจาะจงในการรับมือกับพวกมัน 

หลังจากที่พวกเขาได้ข้ามผ่านประสบการณ์ในการพิชิตต่างโลกมาแล้วหลายแห่ง แต่กลับมิเคยพบเห็นมารสวรรค์มาก่อนเลย 

กู่ฉิงซานละทิ้งความคิดนี้ไป และริเริ่มพิจารณาเกี่ยวกับการลงมือขั้นต่อไปของเขาอย่างจริงจัง 

หลังจากที่ขบคิดในจิตใจอย่างเงียบๆ มาสักพัก กู่ฉิงซานก็เริ่มมุ่งหน้าตรงไปยังภูเขา 

เป้าหมายของเขาคือ ค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดเล็กที่อยู่ในมือของปรมาจารย์ค่ายกลแห่งนิกายกวงหยาง 

ด้วยค่ายกลที่ว่านี้ มันจะสามารถเคลื่อนย้ายไปมาระหว่างสองโลกได้ 

กู่ฉิงซานใช้ประโยชน์จากความมืดมิดในช่วงเวลากลางคืน ลอบเข้าไปยังค่ายทหารของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว 

ควบคู่ไปกับการจีบออกด้วยวิชาลับยับยั้งลมหายใจ และพลังของขยายผลยับยั้งลมหายใจสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง 

สัมผัสเทวะของผู้ฝึกยุทธจากโลกอื่น มิอาจค้นพบตัวเขาได้ 

สิ่งเดียวที่ต้องกังวลก็คือค่ายกลแจ้งเตือนและค่ายกลป้องกัน 

กู่ฉิงซานมาถึงด้านนอกค่ายทหารของศัตรู และมองหาสถานที่หลบซ่อน เฝ้ารอคอยโอกาสอย่างเงียบๆ 

ท่ามกลางความมืดมิด มองไปยังผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งที่เดินออกมาจากเพิงพักเก็บอาวุธ ตรงไปยังเต็นท์ทหารอีกแห่งหนึ่ง

ตามความทรงจำที่ได้มากจากการค้นวิญญาณ ทั้งสองแห่งนี้มิใช่สถานที่อยู่อาศัยของปรมาจารย์ค่ายกล 

กู่ฉิงซานยังคงเฝ้ารออย่างเงียบๆ 

อีกครึ่งชั่วยามต่อมา ตลอดทั้งค่ายก็ไร้ซึ่งสรรพเสียงและการเคลื่อนไหวใดๆ 

ค่ำคืนได้มาถึงช่วงเวลาที่ทุกคนต่างก็พากันหลับใหล จมลงสู่ห้วงลึกแห่งนิทรา 

ในแต่ละค่ายทหาร ทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยค่ายกลป้องกันและค่ายกลแจ้งเตือนนับไม่ถ้วน ตราบใดที่พบสัญญาณของปัญหาแม้เพียงเล็กน้อย ผู้ฝึกยุทธก็จะได้รับข้อความทันที 

ผ่านพ้นไปอีกหนึ่งชั่วยาม 

ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น เขาเดินตรงไปยังเพิงพักของผ่อนปรมาจารย์ค่ายกล 

กู่ฉิงซานจ้องไปยังคนผู้นั้น หนึ่งมือจีบออกด้วยวิชาลับยับยั้งลมหายใจ ขณะที่อีกมือหนึ่งวางลงบนดาบพิภพ 

ผู้ฝึกยุทธคนนั้นก้าวขึ้นไปบนบันได ยกมือขึ้นเคาะประตูและเอ่ยปากพูด 

ประตูถูกเปิดออก และภายในก็เต็มไปด้วยวัสดุต่างๆ ที่ใช้ปรับแต่งค่ายกล 

ไม่มีใครคนอื่นอยู่ในเพิงพักผ่อน นอกจากปรมาจารย์ค่ายกลที่กำลังถือธงผืนหนึ่ง เขาวางมันลงเทียบเปรียบกับธงอีกผืนก่อนหน้าที่เพิ่งปรับแต่งเสร็จ ในสมองขบคิดถึงวิธีการต่างๆ นานา ในการจัดวางค่ายกลในครั้งต่อไป 

ปรมาจารย์กล่าวโดยมิคิดยกศีรษะขึ้นมามองหน้าอีกฝ่าย “มีเรื่องอะไรสำคัญๆ เกิดขึ้นรึไง ถึงจำเป็นต้องมาหาข้าในยามค่ำคืนเช่นนี้?” 

“ไม่มีเรื่องสำคัญอันใดเกิดขึ้น ข้าเพียงแค่ต้องการที่จะมาถามไถ่ท่านว่าสมควรจะจัดวางค่ายกลอย่างไร” 

ขณะที่ผู้ฝึกยุทธคนนั้นกำลังพูด เขาก็ก้าวเข้าไปในประตู 

นี่นับเป็นโอกาสเพียงหนึ่งเดียวในชีวิต! 

แทบจะในทันทีที่ช่วงเวลาประตูปิดลง กู่ฉิงซานก็หายวับไป 

ภายในเพิงพัก ก้อนหินขนาดเล็กที่ใช้ปรับแต่งค่ายกลก็หายไปอย่างฉับพลัน 

และกู่ฉิงซานก็ปรากฏตัวขึ้นแทนที่ตรงจุดนั้น 

สกิลเทวะ ร่างเงาแทนที่! 

เขาทำการแลกเปลี่ยนตำแหน่งกับก้อนหิน 

และค่ายกลที่ถูกจัดวางไว้ภายในค่ายทหารก็ไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ 

พริบตาที่ร่างของกู่ฉิงซานปรากฏขึ้น คมดาบก็เปล่งประกายวาบ 

ชายคนนั้นมิทันได้เปล่งเสียงร้อง ก็ถูกสังหารตกตายลงโดยตรง 

ปรมาจารย์ค่ายกลเดิมทีกำลังจดจ่ออยู่กับการจัดวางธงในมือของเขา แต่แล้วในเวลานั้นเอง คิ้วของเขาก็พลันขมวดเข้าหากันจนยับย่น ลางสังหรณ์ของเขารู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างอันเลือนราง 

แล้วกู่ฉิงซานก็หายตัวไปอีกครา 

สกิลเทวะ ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว! 

เขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งเบื้องหลังปรมาจารย์ค่ายกล และวาดสันดาบฟันออกไปอย่างแผ่วเบา 

และนั่นเป็นวินาทีเดียวกันกับที่ปรมาจารย์ค่ายกลเงยหน้าขึ้น แต่เขาก็ดันถูกทุบกระแทกเข้าอย่างแรงเสียก่อน 

แล้วเขาก็สิ้นสติลง ทั้งคนทั้งร่างล้มลงกับพื้น 

กู่ฉิงซานก้มลง ยื่นมือข้างหนึ่งไปคว้าจับหัวของอีกฝ่าย และเริ่มใช้งานวิชาค้นวิญญาณอีกครั้ง 

หลังจากที่ได้รับข้อมูลที่เขาต้องการ กู่ฉิงซานก็ยกดาบของตนขึ้น และสังหารปรมาจารย์โดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย 

ปรมาจารย์ค่ายกลถูกนับว่าเป็นตัวตนที่ทรงประสิทธิภาพยิ่ง ตำแหน่งของเขามีความสำคัญในช่วงเวลาสงครามเป็นอย่างมาก 

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้ว ปรมาจารย์ค่ายกลของฝ่ายตรงข้ามก็ถูกสังหารตกตายลงในการต่อสู้ระยะประชิดที่ตนไม่ถนัด กล่าวกันโดยภาพรวม – ผู้ฝึกยุทธจากต่างโลกนับว่าสูญเสียกำลังรบครั้งใหญ่เสียแล้ว 

กู่ฉิงซานหยิบจี้หยกของฝ่ายตรงข้ามขึ้นมา และเปิดมันตามวิธีการที่ได้รับมาจากการค้นความทรงจำอย่างระมัดระวัง 

เขาแทรกจิตเทวะลงไป และเริ่มทำการค้นหาสิ่งของภายในทีละชิ้น ทีละชิ้น 

ไม่นานนัก ดิสก์ค่ายกลอันประณีตที่มีขนาดเท่าฝ่ามือของเขาก็ปรากฏขึ้น 

บนดิสก์ค่ายกลนี้ ปรากฏให้เห็นถึงร่องรอยขีดข่วนที่ค่อนข้างลึก แต่ยังคงไว้ซึ่งความประณีต และกระจายพลังจนบังเกิดรอยแตกร้าวในอากาศที่ว่างเปล่ารอบตัวมันอย่างต่อเนื่อง 

นี่คือดิสก์ค่ายกลที่ใช้รับส่งระหว่างสองโลก 

แม้จะถูกใช้งานไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่มันก็ยังคงสามารถใช้งานได้อยู่ 

ตราบใดที่มันถูกเปิดใช้งาน มันจะนำพาเหล่าผู้ฝึกยุทธกลับสู่โลกของพวกเขา ออกไปจากโลกเทวะ 

กู่ฉิงซานยัดดิสก์ค่ายกลลงในถุงสัมภาระของตนอย่างระมัดระวัง 

นี่นับว่าเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่! 

ขั้นตอนต่อจากนี้ การที่จะหลบเร้นออกไปก็คงจะไม่ยากเย็นนัก 

นั่นเพราะถึงแม้ว่ากลยุทธ์การป้องกันทั้งหมดของค่ายทหารจะเข้มงวดและหนาแน่น 

แต่ทว่านั่นมันมีไว้สำหรับป้องกันบุคคลภายนอก หากคนภายในคิดจะออกไป มันก็จะไม่มีการตอบสนองใดๆ 

แต่ถ้าหากมีใครบางคนกลับมาจากด้านนอกแล้วละก็ ค่ายกลจะส่องสว่างขึ้นในทันที 

ซึ่งตามปกติแล้ว หากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น ผู้ฝึกยุทธจากนอกค่ายจะต้องไปรายงานตัว จากคนรักษาการ หลังจากเสร็จสิ้นการตรวจสอบและยืนยันตัวตน เขาจึงจะได้รับอนุญาตให้เข้ามาได้

กู่ฉิงซานทำการค้นหาชุดคลุมของผู้ฝึกยุทธจากต่างโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาไม่ลืมที่จะนำหมวกไม้ไผ่ที่มักจะใช้กันโดยทั่วไปของอีกฝ่ายออกมาสวมใส่อีกด้วย 

หลังจากสวมเสื้อผ้าของอีกฝ่ายเสร็จสิ้น เขาก็เดินออกจากเพิงพักไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

........................................