ตอนที่ 272 ข้ากำลังไป
ปรากฏว่าแท้จริงแล้วกระบวนการผสานรวมกันระหว่างสองโลกจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนานมาก
ซึ่งนั่นคงจะสายเกินไปจริงๆ เนื่องเพราะอีกหนึ่งปีกว่าๆ โลกใบนี้ก็จะถูกหลอมกลั่นลงอย่างสมบูรณ์แล้วโดยฝีมือของนายน้อยชุดคลุมม่วง
กู่ฉิงซานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยถาม “ในโลกใบนี้ของท่าน ขอบเขตพื้นฐานวรยุทธระดับสูงสุดที่ผู้ฝึกยุทธเผ่ามนุษย์เคยยกระดับขึ้นไปถึงคือขั้นใด?”
“ขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า”
เสียงผู้หญิงอธิบาย “ขอบเขตที่สูงสุดทางฝั่งเจ้าคือประทับเทพ เหนือประทับเทพขึ้นไปคือ ร่างเทวะ พันวิบัติ ขีดสุดความว่างเปล่า สามขอบเขต”
“ในขอบเขตพันวิบัติ นับว่าเป็นระดับที่ผิดแผก แปลกประหลาดมากที่สุด ผู้ฝึกยุทธจำเป็นที่จะต้องรับมือกับทัณฑ์ภัยพิบัตินานัปการในขอบเขตนี้ กระทั่งพวกเขาสามารถตัดผ่านมันได้สำเร็จ จึงจะได้ก้าวขึ้นเป็นตัวตนอันทรงเกียรติแห่งขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า”
“ผู้ฝึกยุทธที่เป็นคนจุดเปลวเพลิงให้ร่วงโรยบนท้องฟ้า ก็เป็นตัวตนทรงอำนาจที่อยู่ในขอบเขตพันวิบัติเช่นกัน”
“แล้วใครกันคือตัวตนทรงอำนาจที่อยู่ในขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า ทางฝั่งท่าน?”
“เขามีนามว่า เซียนอมตะลู่ ทว่าชายคนนั้นได้ทำลายมิติที่ว่างเปล่าและออกไปค้นหาโลกที่ยิ่งใหญ่กว่า เนิ่นนานมาแล้ว”
“เดิมทีเหล่าผู้ฝึกยุทธต้องการที่จะให้เขากลับมาเพื่อร้องขอให้ต้านทานเหล่ามารอสูร ทว่าใครจะรู้ ดันเกิดอุบัติเหตุขึ้น พวกเขาดันไปอัญเชิญนายน้อยในชุดคลุมม่วงมาแทน สุดท้ายจึงเกิดหายนะเฉกเช่นทุกวันนี้”
“ข้ามีความคิดเห็นบางอย่าง”
“จงกล่าวมา”
กู่ฉิงซานยิ้มบางแล้วกล่าวว่า “ขอยืมตัวดาบเช่าหยินมาช่วยเหลือข้า ชักนำพาใครอีกคนเข้ามายังที่นี่”
“ผู้ใดกัน?”
“ท่านอาจารย์ของข้าเอง”
“อาจารย์เจ้า ใช่หนึ่งในสามปราชญ์ที่เป็นหญิงเพียงหนึ่งเดียวคนนั้นหรือไม่?”
“เป็นนาง”
“แล้วจะพานางมาที่นี่ด้วยเหตุใด?”
“ในโลกใบนี้มีศัตรูที่แข็งแกร่งมากมายจ้องรอคอยลอบโจมตีนางจากรอบด้าน ดังนั้นนางจึงไม่รู้สึกปลอดภัยที่จะทำการตัดผ่านไปยังขอบเขตต่อไป ข้าจึงอยากจะนำพานางมาที่นี่ เพื่อที่นางจะได้ทำการตัดผ่านได้อย่างโล่งใจ ด้วยพลังอำนาจของผู้อาวุโส ข้าสันนิษฐานว่าท่านน่าจะสามารถช่วยปกปักนางได้”
เกราะรบเพลิงคำรณในยุคโบราณพอได้ฟัง มันก็เคลื่อนกายช้าๆ เปล่งเสียงหึ่งๆที่ดังฟังชัดไปทางดาบเช่าหยิน
อย่างรวดเร็ว ดาบเช่าหยินเปล่งเสียงฮึดฮัดดังกึกก้อง ก่อนจะเวียนว่ายฉวัดเฉวียนจนบังเกิดเสียงหอนของสายลมที่แทรกผ่านใบดาบของมัน
เกราะรบเพลิงคำรณ ร่อนกลับลงมาและกล่าวว่า “เจ้าโชคดีมากจริงๆ เพราะในวันนี้ ตัวตนของผู้ฝึกยุทธจากต่างโลกอันทรงพลังที่สุด ที่ปรากฏออกมาให้เห็น ดำรงอยู่เพียงแค่ขอบเขตประทับเทพขั้นสูงเท่านั้น”
“แล้วท่านอาวุโสสามารถรับมือกับตัวตนที่กล่าวมาได้หรือไม่” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ข้าสามารถรับมือกับศัตรูของนางที่อยู่ในขอบเขตประทับเทพได้ ทว่าหากศัตรูเหนือล้ำยิ่งกว่าขอบเขตประทับเทพ ข้าก็คงมิอาจช่วยนางได้เช่นกัน”
เธอเอ่ยเสริม “หลังจากทั้งหมดนี้ เจ้าควรจะตระหนักว่าข้านั้นเป็น ‘เกราะรบ’ มิใช่อุปกรณ์ที่ใช้ต่อสู้อย่างแท้จริง สิ่งที่ข้าสันทัดนั้นคือการป้องกัน”
กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความปีติ “ข้าตระหนักดี! ข้าจะรีบแจ้งให้ท่านอาจารย์ทราบเดี๋ยวนี้แหละ!”
“ช้าก่อน ข้ายังคงมีสิ่งสำคัญมากที่จำต้องบอกกล่าวแก่เจ้าให้มันชัดเจน”
“บอกกล่าวเรื่องใด?”
“ยามที่นางหมายมั่นจะก้าวข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ สถานที่แห่งนี้จะถูกเปิดเผย”
“ข้าได้เคยเฝ้าจับตาดูการต่อสู้ของนางมาก่อนแล้ว” เสียงผู้หญิงเอ่ยต่อ “หากนางสามารถทะลวงขอบเขตได้ กำลังรบของนางย่อมเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล และด้วยวิธีการต่อสู้อันหลากหลายของนาง นั่นจะสามารถช่วยเหลือพวกเราได้เป็นอย่างดี”
“สิ่งที่ข้ากังวลก็คือหากนางมิอาจตัดผ่านได้ มันจะกลายเป็นการเปิดเผยที่แห่งนี้แก่ฝ่ายตรงข้าม และความเสียหายที่จะตามมา มันไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย”
กู่ฉิงซานมองไปยังอีกฝ่าย ปากเอ่ยกล่าวอย่างเป็นเรื่องเป็นราว “พรสวรรค์โดยธรรมชาติของท่านอาจารย์ นับว่ามากล้นที่สุดในโลกของข้า เดิมทีแล้วท่านถูกจำกัดพลังไว้ด้วยกฎแห่งโลก หากไม่มีสิ่งนี้ ท่านอาจารย์คงทะลวงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งตั้งนานแล้ว”
“นี่เจ้ามั่นใจจริงๆ หรือ?”
“ข้าขอรับประกันด้วยชีวิต”
“เกราะเพลิงคำรณเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง สักพักจึงถอนหายใจและกล่าวว่า “เอาตามที่เจ้าว่าก็แล้วกัน เพราะตอนนี้นี่คงจะเป็นสิ่งเดียวที่ข้าจะทำได้”
“กล่าวเช่นนี้เพราะเหตุใด? เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?” กู่ฉิงซานสัมผัสได้ว่าคำกล่าวนี้เผยถึงคำใบ้บางอย่างที่มันฟังดูไม่เหมาะสม จึงเร่งเอ่ยถามอย่างร้อนรน
“ในอีกสองวันข้างหน้า นายน้อยชุดคลุมม่วงจะสามารถตัดผ่านไปยังขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าได้สำเร็จ”
“เมื่อถึงเวลานั้น พวกเราจะไม่หลงเหลือโอกาสใดๆ อีกต่อไป”
“เช่นนั้นคงมีเพียงเวลานี้เท่านี้...ข้าจะรีบไปนำตัวท่านอาจารย์มาเดี๋ยวนี้แหละ” กู่ฉิงซานกล่าว
“เจ้าจะไปตามตัวนางมาได้อย่างไร? ข้าเห็นกับตาว่านางหลบหนีเข้าไปยังกระแสมิติอันว่างเปล่าที่เชี่ยวกราก...” เสียงผู้หญิงเอ่ยด้วยความสงสัย
กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบเอาตราสัญลักษณ์สีม่วงระยิบระยับออกมา
“ด้วยสิ่งนี้อย่างไรเล่า” เขากล่าว
“ตราสัญลักษณ์นายพล? เจ้าสิ่งนี้นับว่าหายากทีเดียว”เสียงผู้หญิงเผยถึงร่องรอยของความโล่งใจ
“เช่าหยิน เจ้าจงไปนำตัวนางผู้นั้นมา” เธอกล่าว
ดาบเช่าหยินผงกหัว แล้วลอยไปตกลงในมือของกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานคว้าจับดาบเช่าหยินในมือ แล้วยัดมันลงไปในตราสัญลักษณ์นายพล ตามด้วยยันต์สื่อสารที่กล่าวถึงเนื้อหาใจความที่พึ่งพูดคุยกันลงไป
หลังจากนั้นอีกไม่กี่ลมหายใจ กู่ฉิงซานก็สัมผัสได้ว่าสิ่งที่เขายัดลงไปในตราสัญลักษณ์ค่อยๆ จางหายไป
ครู่ต่อมา ยันต์สื่อสารใบใหม่ก็ปรากฏขึ้นภายในตราสัญลักษณ์
กู่ฉิงซานไม่อาจอดใจรอได้ไหวอีกต่อไป เขาคว้าจับมันและเร่งถ่ายเทพลังวิญญาณลงไปทันที
เสียงของนางเซียนไป่ฮั่วดังกังวานขึ้น
“ข้ากำลังไป”
ภายในจิตใจของกู่ฉิงซานผ่อนคลายลงทันที
เกราะรบเพลิงคำรณเอ่ยถามซอกแซก “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเชื่อมั่นใจอาจารย์ของเจ้ามากเลยสินะ?”
“ย่อมแน่นอน หากนางมิอาจตัดผ่านขอบเขตใหม่ได้แล้วล่ะก็ โลกของข้าคงไม่มีผู้ใดสามารถบรรลุมันได้อีกแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว
เขามองหาพื้นที่ว่างๆ ก่อนจะนั่งลงขาขวาสลับทับขาซ้าย
“นั่นเจ้ากำลังคิดจะทำอะไร?” เสียงผู้หญิงเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ข้าก็กำลังจะทำการตัดผ่านขอบเขตย่อยน่ะสิ” กู่ฉิงซานตอบกลับ
หลังจากสงครามครั้งใหญ่ที่พึ่งผ่านพ้น แต้มพลังวิญญาณที่ได้รับมาของเขาก็มีมากล้นจนกล่าวได้ว่ามิอาจใช้จนหมดลงได้ง่ายๆ
สิ่งเดียวที่ขวางกั้นเขาไม่ให้ยกระดับจนเกินงามในเวลานี้คือระบบคูลดาวน์
เสียงของผู้หญิงเอ่ยอย่างไม่พอใจ “เรื่องเกี่ยวกับการตัดผ่านขอบเขต มิใช่สิ่งที่คิดกระทำก็สามารถทำได้เลย เจ้าจำต้องสั่งสม…”
แล้วเสียงของเธอก็ขาดห้วงไปอย่างกะทันหัน
คลื่นความผันผวนทางพลังวิญญาณของกู่ฉิงซานที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างกายของเขาพลันทะยานสูงขึ้น
เขากำลังพยายามที่จะตัดผ่านขอบเขตจริงๆ
ไม่สิ นี่มันไม่สมควรจะกล่าวว่า ‘พยายาม’ เพราะความผันผวนทางพลังวิญญาณของเขาทะยานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แถมในระหว่างกระบวนการทั้งหมด เขาไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนล้าหรือพลาดพลั้งเลย
ความรู้สึกทั้งหมดที่สัมผัสได้จากชายคนนี้ มันราวกับสายน้ำที่ไหลเอื่อยไปตามเส้นทาง ไม่ว่าอย่างไรย่อมประสบความสำเร็จและถึงจุดหมายอย่างแน่นอน
ผ่านไปครู่หนึ่ง กู่ฉิงซานก็ลืมตาขึ้น
ความผันผวนทางพลังวิญญาณที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างกายแกร่งขึ้นในฉับพลัน
เวลานี้ เขาได้ก้าวขึ้นเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตก่อกำเนิดขั้นกลางแล้ว!
เมื่อผู้ฝึกยุทธทั่วๆ ไปทำการตัดผ่าน ความผันผวนทางพลังวิญญาณจะกระจัดกระจาย ขึ้นๆ ลงๆ อย่าไร้ทิศทาง ทว่าเมื่อเป็นกู่ฉิงซาน ความผันผวนทางพลังวิญญาณของเขากลับมั่นคง มันเสถียรเป็นอย่างมาก
เกราะรบเปลวเพลิงไตร่ตรองเกี่ยวกับฉากเบื้องหน้าเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “ที่แท้เจ้าก็มีรากฐานที่พรั่งพร้อมอยู่ก่อนแล้วนี่เอง ดังนั้นทุกอย่างจึงผ่านไปอย่างราบรื่น ข้าผิดเองที่กล่าว…”
แล้วเธอก็ต้องหุบปากลงอีกครั้ง
เนื่องเพราะรุ่นเยาว์เบื้องหน้าเธอเริ่มที่จะทำการตัดผ่านขอบเขตย่อยขั้นต่อไปอีกแล้ว!
เสียงของผู้หญิงเริ่มร้อนรน เธอกล่าวว่า “การยกระดับติดต่อกันอย่างต่อเนื่องมันนับว่าเป็นเรื่องยากเย็นยิ่ง โดยทั่วไปแล้วมีเพียงผู้คนจำนวนน้อยนิดที่...”
น้ำเสียงของเธอยังไม่ทันได้ตกลง
ความผันผวนทางพลังวิญญาณของกู่ฉิงซานก็ค่อยๆ ขยายตัวขึ้นอย่างช้าๆ เฉกเช่นเดียวกันกับทหารกล้าที่ก้าวเดินไปยังเบื้องหน้าอย่างมั่นคงในทุกๆ ย่างก้าว ไร้ซึ่งความลังเลใดๆ
กระบวนการยกระดับความแข็งแกร่งนี้รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง มันรวดเร็วเกินไป จนร่างกายมิอาจฝืนทนรับต่อไปได้ไหว
กู่ฉิงซานกระอักเลือดออกมา
ทว่าความผันผวนทางพลังวิญญาณของเขาก็ได้ทะยานสูงขึ้นไปอีกระดับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ตัดผ่านไปอีกขอบเขตย่อย!
กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำ “นี่มันเป็นเรื่องลำบากเกินจะทนจริงๆ ข้าจำต้องใช้เม็ดยา และหยุดพักสักครู่”
เขาตบลงในถุงสัมภาระ แล้วหยิบขวดหยกออกมา จากนั้นกู่ฉิงซานก็เทเม็ดยาลงในมือ พร้อมกับโยนมันเข้าปากแล้วหลับตาลงอีกครั้ง
กู่ฉิงซานละลายประสิทธิภาพตัวยาโดยใช้พลังวิญญาณ แพร่กระจายมันออกไปทั้งแขนขา ซ่อมแซมความเสียหายของร่างกายอย่างรวดเร็ว
เขาในตอนนี้ได้ก้าวขึ้นสู่ผู้ฝึกยุทธก่อกำเนิดขั้นปลายแล้ว!
บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม บรรทัดเส้นแสงหิ่งห้อยตัวอักษรขนาดเล็กเด้งขึ้นมาในทันใด
“เนื่องจากผู้เล่นได้ทำการตัดผ่านขอบเขตพื้นฐานวรยุทธอย่างต่อเนื่อง การเรียนรู้เทคนิคฝึกยุทธจึงเข้าสู่สถานะคูลดาวน์”
“ขอจงเติมเต็มพลังวิญญาณอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยย่นระยะเวลาในการคูลดาวน์ลง”
กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านผ่านๆ นั่นเพราะเขาเข้าใจมันอย่างชัดเจน
ตัวเขาแม้มีพลังวิญญาณสั่งสมอยู่จำนวนมหาศาล แต่ทว่าก็ยังไม่อาจใช้พลังวิญญาณที่มีอยู่ย่นระยะเวลาคูลดาวน์ลงได้อยู่ดี
หากคิดหมายจะยกระดับไปยังขอบเขตต่อไป จำต้องฆ่าสังหารศัตรูที่ทรงพลังเท่านั้น
ยามนี้ เขาเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตก่อกำเนิดขั้นปลายแล้ว กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ศัตรูที่เขาต้องล่าสังหาร อย่างน้อยจะต้องอยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดขั้นปลาย จึงจะสามารถย่นระยะเวลาคูลดาวน์ลงได้
เกราะรบเปลวเพลิงคำรณล่องลอยอยู่อีกฝั่งอย่างเงียบๆ เธอนิ่งอึ้งและไม่ต้องการที่จะพูดอะไรออกมาอีก
เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เบื้องบนของซากปรักหักพัง ท่ามกลางเจี้ยนไห่ ดาบเล่มแล้วเล่มเล่าที่กระจุกตัวกันอย่างหนาแน่น แหวกทางแยกออกเป็นสองฟากฝั่ง
พร้อมกับปรากฏร่างของผู้ฝึกยุทธหญิงคนหนึ่งร่อนตามเส้นทางลงมา
เธอสวมใส่ชุดสีเขียวมรกต ตรงคอปกเสื้อร้อยเรียงไปด้วยขนนก บนใบหน้าถูกปกปิดไว้ด้วยชั้นผ้าโปร่งอันละเอียดอ่อน ส่งผลให้มองเห็นได้แค่เพียงคู่ดวงตาอันงดงามดั่งน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วงของเธอเท่านั้น
ในมือของเธอ กำลังเกาะกุมดาบยาวเล่มหนึ่งอยู่
นางเซียนไป่ฮั่ว เซี่ยเต๋าหลิงได้กลับมาพร้อมกับดาบเช่าหยิน
เธอเบนสายตาไปมองกู่ฉิงซานในทันที
คิ้วของนางเซียนขมวดเข้าหากันเบาๆ ก่อนจะวูบร่างไปปรากฏข้างกายกู่ฉิงซานและวางมือลงบนไหล่ของเขา
หลังจากส่งพลังวิญญาณลงไปสำรวจอยู่หลายครั้ง นางก็ถอนมันกลับคืน ท่าทีของนางเซียนไปฮั่วก็ค่อยผ่อนคลายลง
“ก่อกำเนิดขั้นปลาย? หืม...แม่ว่าจะยังด้อยกว่าหนิงเยว่ฉาน แต่เจ้าทำได้ดีมากทีเดียว” บนใบหน้าของเธอปรากฏรอยยิ้มแห่งความสุขขึ้นเล็กน้อย
...................................................