ตอนที่ 219 ปลดผนึกแห่งโชคชะตา
พระคาร์ดินัลจับจ้องไปยังผนังที่ว่างเปล่า หัวใจของเขาค่อยๆ หม่นทะมึนลงช้าๆ
นี่พอจะอธิบายได้ว่า สิ่งที่ทำให้ศัตรูถึงขั้นต้องลงมือโจมตีอีวานจนปลิวหายไปอีกด้านหนึ่ง จะต้องเป็นเพราะภาพใบนี้แน่ๆ
ให้ตายเถอะ ภาพนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นของกำนัลจากองค์ราชาที่มอบให้แด่มาดามดู่
และเพื่อแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับองค์ราชา มาดามจึงแขวนภาพนี้ไว้ในห้องจัดเลี้ยงมาโดยตลอด จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ภาพจึงได้ถูกนำมาไว้ในห้องจัดแสดง
องค์ราชาเป็นคนโรแมนติกและมักจะส่งของที่ระลึกบางอย่างที่น่าจดจำไปให้แก่หญิงสาวที่มีเกียรติและชื่อเสียงอยู่เสมอ และภาพใบนี้ก็เป็นเพียงหนึ่งในของที่ระลึกจำนวนนับไม่ถ้วน ดังนั้นผู้คนจึงต่างพากันคิดว่า การนำเจ้าภาพดังกล่าวมาไว้ในห้องจัดแสดง คงจะไม่มีปัญหาอะไร
แต่ตอนนี้ดันมีใครบางคนลอบเข้ามา เพื่อขโมยภาพนี้โดยเฉพาะ
ถ้าแบบนั้น ความลับของรูปภาพนี้คืออะไรกันแน่?
ทำไมข้าถึงไม่สังเกตเห็นปัญหานี้ตั้งแต่แรก?
ทันใดนั้น คาร์ดินัลคิดด์ก็ระเบิดเสียงคำรามด้วยความคลุ้มคลั่งออกมา เขาโบกสะบัดแส้ทุบทำลายไปทั่วห้องจัดแสดง
“ท่านคาร์ดินัล…” นักบวชแห่งคริสตจักรที่วิ่งตามขึ้นมา มิกล้าย่างกรายข้ามบานประตูไปแม้เพียงครึ่งก้าว ทำได้เพียงยืนมองจากระยะไกลอย่างเงียบๆ
“จงไปซะ! ไปบอกทุกคนว่าไอ้ระยำที่เรียกว่าจางเหรินเจี๋ยอาจมีความเกี่ยวข้องอะไรบางอย่างกับองค์ราชา และพวกเราจะไม่ปล่อยให้มันหลบหนีไปได้เด็ดขาด!” คาร์ดินัลหอบหายใจถี่รัว ปากอ้าตะโกนลั่น
เกี่ยวข้องกับองค์ราชา!
เมื่อนักบวชได้ยิน เขาก็เริ่มตื่นตระหนกทันที รีบขานตอบไป “ขอรับ!”
“จริงสิ ไอ้เจ้าจางเหรินเจี๋ยนั่นมันใส่เกราะรบสีทอง จงจำเอาไว้ให้ดี!” คาร์ดินัลคิดด์รีบเอ่ยเสริมคำหนึ่ง
“ทราบแล้ว!”
“ไปเร็วเข้า รีบไปบอกทุกคน!”
นักบวชตะโกนตอบรับครั้งแล้วครั้งเล่า และสับฝีเท้าจากไปอย่างเร่งร้อน
ในช่วงเวลาเดียวกัน
ณ วิหารศักดิ์สิทธิ์
พระสันตะปาปานั่งอยู่บนบัลลังก์ ในมือถือแปรงพู่กัน และกำลังมุ่งมั่นตวัดปลายของมัน ร่างบางสิ่งบางอย่างลงบนกระดานวาดภาพ
แต่แล้วจู่ๆ เธอก็วางพู่กันลง และถอนหายใจออกมา
“ความรู้สึกนี้ ตั้งแต่แรกเริ่มมันยังมิยอมจางหายไปเลย…”
เธอตัดสินใจว่าจะไม่ลังเลอีกต่อไป ปากเอ่ยตะโกน “ใครก็ได้เข้ามาที”
ไม่นานนัก แม่ชีคนหนึ่งก็เดินเข้ามา และคุกเข่าลงต่อหน้าเธอ
“หากข้าจำไม่ผิด เจ้าเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกรับมาเลี้ยงโดยพระผู้เป็นเจ้าสินะ” พระสันตะปาปามองไปยังอีกฝ่าย และเอ่ยถาม
“ใช่เจ้าค่ะ หากไม่ได้รับที่พักพิงโดยพระผู้เป็นเจ้า เกรงว่าตัวลูกคงตายลงท่ามกลางความหนาวเย็นและหิวโหยไปแล้วเจ้าค่ะ”
“ศรัทธาที่เจ้ามีนั้นหนักแน่นมั่นคงหรือไม่?”
“ศรัทธาที่ลูกมี ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงชีวิตหรือความตาย ลูกก็จะรับใช้ท่านและพระผู้เป็นเจ้า”
“เจ้ามีบุคคลอื่นใดในหัวใจหรือไม่?”
“ไม่มีเลยเจ้าค่ะ ในหัวใจของลูกบริสุทธิ์และสะอาดอยู่เสมอ”
“เช่นนั้น หากช่วงเวลาพิสูจน์มันได้มาถึงเจ้ายินดีจะเสียสละทุกสิ่งอย่างเพื่อคริสตจักรหรือไม่?”
แม่ชีเงยหน้าขึ้น ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและกระตือรือร้น รีบอ้าปากกล่าว “หากมันจะเป็นประโยชน์ต่อพระผู้เป็นเจ้า ลูกเต็มใจเสียสละทุกสิ่ง”
“อืม ไม่เลวเลย”
พระสันตะปาปาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ มือฉีกกระดาษออกมาจากกระดานวาดภาพแผ่นหนึ่ง
เธอเหวี่ยงมือโยนมันออกไป
แผ่นกระดาษลอยไปหยุดเหนือแม่ชีอย่างเงียบๆ ขยายขนาดออก และกลืนรวบเธอเข้าไป
พระสันตะปาปาขยับมือ และกระดาษแผ่นนั้นก็บินกลับมาหาเธออีกครั้ง
ตัวกระดาษเปลี่ยนรูปทรงเป็นไพ่
ภายในไพ่ คือแม่ชีที่พึ่งก้าวเข้ามาในวิหารศักดิ์สิทธิ์เมื่อครู่นี้
สีหน้าของเธอปรากฏสีแดงอ่อนๆ ด้วยความตื่นเต้น สองมือประกบเข้าหากัน และเริ่มอธิษฐานตามพิธีทางศาสนา
เส้นตัวอักษรสองบรรทัดขนาดเล็กปรากฏขึ้นในไพ่
“แม่ชีผู้ศรัทธาในศาสนา”
“เธอเป็นผู้ศรัทธาที่บริสุทธิ์และจริงใจ ยินดีมอบทุกสิ่งของตนเพื่อผลประโยชน์ของคริสตจักร มอบให้ได้แม้กระทั่งจิตวิญญาณของตัวเธอเอง”
พระสันตะปาปามองดูไพ่ใบนี้อย่างเงียบๆ
หลังจากนั้น เธอก็วางไพ่ลงบนร่างกายของเธอ ปากเอ่ยเสียงกระซิบ “ชดเชยสมดุล”
บนหน้าไพ่ บังเกิดเสียงกรีดร้องโหยหวนอันน่าสยดสยองดังขึ้นทันที
แม่ชีที่อยู่ในไพ่คร่ำครวญอย่างน่าสมเพช จากนั้นทั้งร่างของเธอก็กลับกลายเป็นกลุ่มก้อนเปลวเพลิงสีขาวศักดิ์สิทธิ์
โซ่ตรวนสีดำหมึกผุดออกมาจากพระสันตะปาปา และเข้าพัวพันรอบเปลวเพลิงสีขาว
วินาทีต่อมา ทั้งแม่ชีและโซ่ตรวนสีดำก็บังเกิดปฏิกิริยาต่อต้านกันและกัน ทั้งสองถูกแผดเผาหลงเหลือเพียงผงสีเทาระคนขาว ร่วงโรยลงบนพื้นอย่างเงียบๆ
พระสันตะปาปาจ้องมองดูฉากนี้อย่างเงียบๆ
แล้วจู่ๆ เธอก็หัวเราะคิกคักออกมา
“ช่างโง่เขลาเสียจริง” เธอเอ่ยปาก
“เท่านี้ ก็หลงเหลือผนึกแห่งโชคชะตาอีกเพียงแค่สอง…”
“ใครก็ได้เข้ามาที”
แม่ชีผู้ศรัทธาอีกหนึ่งคนเดินเข้ามา
“หากข้าจำไม่ผิด เจ้าเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกรับมาเลี้ยงโดยพระผู้เป็นเจ้าสินะ” พระสันตะปาปามองไปยังอีกฝ่าย และเอ่ยถามคำเดิมอีกครั้ง
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ทั้งหมดทั้งมวลของลูก เป็นของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์” แม่ชีตอบ
“เช่นนั้น หากช่วงเวลาพิสูจน์มันได้มาถึง เจ้ายินดีจะเสียสละทุกสิ่งอย่างเพื่อคริสตจักรหรือไม่?”
หลังจากที่เสียงกรีดร้องอันน่าสมเพชสงบลงอีกครั้ง พระสันตะปาปาก็สามารถปลดผนึกแห่งโชคชะตาลงไปได้อีกหนึ่ง
“อีกไม่นานแล้ว…”
หัวใจของพระสันตะปาปาดูจะรู้สึกผ่อนคลายลงหลังจากปลดผนึกโซ่ตรวนออกไปได้ ความกระวนกระวายในจิตใจของเธอค่อยๆ สลายไปอย่างช้าๆ
ทว่าทันใดนั้นเอง เธอก็ชะงักงันไปเล็กน้อย ราวกับว่าได้พบเจอกับเรื่องราวอันแปลกประหลาด
“เอ๋ อีวานกำลังจะไปไหนกัน?”
ระหว่างกล่าวด้วยความแปลกใจ พระสันตะปาปาก็เอื้อมมือออกไปในอากาศที่ว่างเปล่าเบื้องหน้า
ไม่มีอะไรถูกดึงกลับมา
“ระยะไกลเกินไป? นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน!”
น้ำเสียงของเธอค่อนข้างสับสน
แม้ว่าคฤหาสน์ของมาดามดู่จะตั้งอยู่ในแถบชานเมืองของเมืองหลวง แต่ก็ไม่น่าจะไกลจนเกินกว่าระยะพลังของเธอ
พระสันตะปาปาแม้จะดูเป็นคนที่มิให้ความสนใจถึงสิ่งใด ทว่าแท้จริงแล้วเธอห่วงใยและจริงจังต่อเหล่าสาวกศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก
เธอย้อนนึกไปและเอ่ยพึมพำความคิดในหัวของตัวเองออกมา “อีวานไปที่งานเลี้ยง…และข้าเป็นคนให้เขาไปรับหน้าแทน…”
“ในเวลานั้น…ข้ายังคงวุ่นอยู่กับการแง้มดูวิถีแห่งโชคชะตา เลยมิได้คำนึงหรือตริตรองถึงเรื่องที่ว่านี้...”
พระสันตะปาปานิ่งไป
“ฮัทท์!!” และจู่ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นมาตะโกนลั่น
“ขอรับ!”
ฮัทท์พุ่งเข้ามาในวิหาร และคุกเข่าลงอย่างว่องไว
อีกด้านหนึ่ง
กู่ฉิงซานบินออกไปอย่างรวดเร็ว ตามเส้นทางที่มุ่งสู่เมืองหลวง
แล้วทันใดนั้นจู่ๆ ทั้งร่างของเขาก็สว่างวาบ ชุดเกราะรบสีทองถูกปลดออกและเก็บกลับคืนลงไปในถุงสัมภาระ
หลังจากทำสิ่งนี้ กู่ฉิงซานก็จีบมือใช้ออกด้วยวิชาลับอีกครั้ง
สุดยอดวิชาลับยับยั้งลมหายใจเริ่มทำงานอย่างรวดเร็ว และกลิ่นอายของเขาก็หายไปอย่างสมบูรณ์
กู่ฉิงซานเคลื่อนไหวอย่างลับๆ และฉับไว ไม่นานนัก เขาก็มาถึงริมทะเลสาบ
ริมทะเลสาบ มีหินก้อนใหญ่ที่สูงขนาดคนสามคนยืนต่อๆ กัน
กู่ฉิงซานทะยานข้ามหินก้อนนั้น และจู่ๆ เขาก็หยุดกึกทันที
เขาตรงกลับมายังหินใหญ่ โบกดาบพิภพในมือออกไป หั่นหินใหญ่ราวกับหั่นเต้าหู้
มองไปยังปากทางเข้าหินผาที่ถูกเปิดออก กู่ฉิงซานก็ค่อนข้างพอใจ
หลังจากที่หั่นเปิดทางเข้าออก ช่องว่างที่ปรากฏออกมาก็เพียงพอที่จะรองรับตัวของคนหนึ่งคนได้พอดิบพอดี
นอกจากนี้ ในระหว่างหั่นกู่ฉิงซานยังระมัดระวังเป็นอย่างมาก เศษหินมิปรากฏร่องรอยแตกร้าว ขณะที่เศษฝุ่นมิมีร่วงโรยลงบนพื้นแม้แต่เม็ดเดียว ตราบใดที่เข้าไปอยู่ภายใน เขาก็สามารถยกมันมาปิดทับดังเดิมได้อย่างสมบูรณ์
ด้วยวิธีนี้ จุดซ่อนตัวอันแยบยลจึงถือกำเนิดขึ้น
หลังจากที่จัดการเสร็จ กู่ฉิงซานก็รีบแนบตัวเข้าไปยังภายใน และยกหินข้างนอกที่พึ่งหั่นปิดทับกลับคืนอย่างรวดเร็ว
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ
ไม่นานนัก เสียงที่ฟังดูทรงพลังก็ดังกึกก้องผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืน
มันคือเสียงของสาวกศักดิ์สิทธิ์
“ปิดเส้นทางถนนให้หมด บริเวณทะเลสาบก็ไม่มีข้อยกเว้น ไม่อนุญาตให้ทุกคนเข้าและออกไปไหนทั้งนั้น ใครฝ่าฝืน ฆ่าได้เลยโดยไม่ต้องแจ้งเตือน!”
สิ้นคำสั่ง ก็ปรากฏตามมาด้วยแสงสีขาวนวลอันกว้างใหญ่แพร่กระจายปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า
หนึ่งในกลุ่มแสงบินมาจากที่จุดห่างไกล ค่อยๆ ชะลอความเร็วร่อนลงบนทะเลสาบ และลอยนิ่งอยู่บนผิวน้ำอย่างเงียบๆ
แสงสีขาวนวลที่ปรากฏนี้ถูกเรียกเก็บกลับคืน ก่อนจะปรากฏร่างของคนคนหนึ่งในชุดคลุมยาวสีดำ
สาวกศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งคริสตจักร เป็นรองแค่เพียงพระสันตะปาปา ‘ฮัทท์’
ในที่สุดเขาก็มาถึง
ในบรรดาเจ็ดสาวกศักดิ์สิทธิ์ มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถลอยอยู่กลางอากาศได้โดยใช้พลังศักดิ์สิทธิ์อันแข็งแกร่ง
ในช่วงแรก หลังจากที่รู้ถึงสถานการณ์ของอีวาน ฮัทท์ก็มุ่งตรงมาที่นี่ทันที ทว่าระยะทางมันไกลเกินไปจนเขาพึ่งมาถึงได้เมื่อครู่นี้เอง
แสงศักดิ์สิทธิ์สีขาวล้อมรอบเขาเอาไว้ ขณะที่ลวดลายปีกแสงยังติดตรึงอยู่บนแผ่นหลังเขา
เขาล่องลอยอยู่กลางอากาศอย่างอ่อนโยน ทว่าสายตากลับดุดันมันกวาดมองไปรอบๆ เพื่อค้นหาคนคนหนึ่ง
เมื่อเขารู้ว่าอีวานถูกทุบตี เลือดในกายของเขาก็พลันเดือดพล่าน
มีคนกล้าที่จะรุกรานเข้ามาบนแผ่นดินนี้ นี่นับว่าเป็นการหมิ่นเกียรติสาวกศักดิ์สิทธิ์โดยแท้!
น้องชายถูกทุบตีจนปลิวหายไป ทว่ากระทั่งตอนนี้ตนเองกลับยังไม่อาจหาร่องรอยของศัตรูได้พบ
แถมเจ้าบ้าคิดด์ก็ช่างไม่ได้เรื่อง ไม่เพียงจับตัวคนร้ายไม่ได้ กระทั่งเรื่องที่ว่าอีกฝ่ายขโมยรูปภาพใบนั้นไปเพื่ออะไร มันก็ยังไม่ล่วงรู้!
นี่นับเป็นความอัปยศที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของสาวกศักดิ์สิทธิ์
จะปล่อยให้มันหนีไปไม่ได้ ต้องจับตัวให้ได้เท่านั้น และมอบความอัปยศอดสูกลับคืนให้แก่มันเป็นพันๆ เท่า!
คู่ปีกของสาวกศักดิ์สิทธิ์คนโตเริ่มขยับไหว มันพาตัวเขาลอยวนไปรอบๆ
ตามข้อมูลทางกองทัพที่กำลังปิดล้อมอยู่ในสถานที่อื่นๆ ใกล้เคียงกับที่นี่ ยังไม่ได้พบกับตัวปัญหาที่ว่านั่นเลย
นั่นจึงเป็นไปได้ว่า เจ้าบ้านั่นกำลังซ่อนตัวอยู่บริเวณนี้
ช่างเป็นชายที่เจ้าเล่ห์กลับกลอก ฮัทท์ต้องเสียเวลาค้นหาอยู่นาน ก่อนที่จะมาพบกับสถานที่แห่งนี้
ทักษะพิเศษของฮัทท์มิใช่การค้นหา แต่เป็นการต่อสู้ต่างหาก
ดังนั้นความอดทนในยามที่ทำการค้นหาร่องรอยของอีกฝ่ายจึงมีน้อยนิดยิ่ง เวลานี้ ในหัวใจของเขาเริ่มโกรธมากขึ้น มากขึ้นจนเริ่มไม่อาจควบคุมมันได้แล้ว
“สารเลวเอ๊ย อย่าให้ข้าพบเจ้านะ ข้าจะต้องให้เจ้าได้ลิ้มรสชาติของบทลงโทษที่ทรมานที่สุดในโลกใบนี้อย่างแน่นอน!”
ฮัทท์อดไม่ได้ที่จะสบถออกมา
ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ฮัทท์ก็ชะงักงันกลางอากาศ คู่สายตาตกลงบนสถานที่หนึ่งอย่างฉับพลัน
เขาลอยเข้าไปอย่างช้าๆ มาหยุดอยู่เบื้องหน้าของหินใหญ่อย่างเงียบๆ
ใช่แล้ว…ความรู้สึกนี้มัน
นี่มันสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของอีวาน แม้ว่าจะเจือจางมากแต่ก็ยังปรากฏถึงร่องรอยความผันผวนของมันบ้างเป็นครั้งคราว
ทำได้ดีมาก อีวานเอ๋ย!
ฮัทท์กลั้นหายใจ และตรวจสอบร่องรอยบนหินใหญ่อย่างรอบคอบ
เป็นเช่นนั้นจริงๆ
หากมิใช่เพราะการนำทางของสัญลักษณ์ เขาก็คงจะไม่สามารถค้นพบที่นี่
เขายังคงมองหินใหญ่อย่างระมัดระวังไม่วางตา
ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะปกปิดมันได้อย่างแนบเนียนมากก็ตามที แต่ในที่สุดฮัทท์ก็สังเกตได้ถึงรอยตัดเล็กๆ
ฮัทท์เพ่งมองดูร่องรอยที่ปรากฏให้เห็นแค่เพียงเล็กน้อย และอดไม่ได้ที่จะแอบชื่นชมในใจ
การที่คุณจะสามารถตัดหินได้เรียบเนียนแบบนี้ได้ ไม่เพียงแต่ต้องครอบครองดาบที่คมกริบ แต่ยังต้องมีวิชาดาบอันยอดเยี่ยมอีกด้วย
การที่อีวานถูกทุบตีจนปลิวออกไป ดูเหมือนว่าจะมิใช่เพราะความประมาทเสียแล้วเกรงว่ามันจะเป็นเพราะอีกฝ่ายแข็งแกร่งจริงๆ
แต่…ศัตรูที่แข็งแกร่ง ย่อมไม่สมควรที่จะอยู่ในโลกใบนี้!
หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าไม่มีสิ่งผิดปกติอื่นใดอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ฮัทท์ก็สูดหายใจลึก เริ่มรวบรวมพลัง
“เอาล่ะ ข้าจะทำให้เจ้ารู้สึกเสียใจเองที่ได้เกิดมาบนโลกใบนี้” ฮัทท์กล่าวในใจอย่างลับๆ
ลวดลายศักดิ์สิทธิ์อันงดงามและน่าเกรงขามแพร่กระจายขึ้นใต้ฝ่าเท้าของเขา
เทคนิคเทียนซวนอันลึกลับแห่งคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ ราชันในหมู่มวลเทคนิคเทียนซวน ‘สวรรค์พิพากษา!’
มันคือหนึ่งในเทคนิคเทียนซวนสายต่อสู้ที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก
โดยไม่จำเป็นต้องวิงวอนหรืออ้อมค้อมใดๆ ไม่มีช่องว่างให้สำหรับการเจรจา ฮัทท์ตั้งใจมุ่งมั่นว่าเขาจะทุ่มสุดกำลัง โจมตีอีกฝ่ายให้มันตกลงสู่หุบเหวแห่งความทุกข์ทรมานในคราเดียว
เมื่อลวดลายศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นรอบๆ ตัวฮัทท์ จู่ๆ ท่ามกลางช่องอากาศที่ว่างเปล่าก็บังเกิดหลุมดำขึ้น
ฮัทท์จ้วงแขนของเขาเข้าไปในหลุมดำ และคว้าจับร่างของชายคนหนึ่งที่กำลังจะตกตายในไม่ช้าออกมา
ฮัทท์มองไปที่คนคนนั้น และจู่ๆ เปลวเพลิงสีขาวนวลก็ปะทุออกมาจากร่างของเขา…ฉากนี้มันแลคล้ายกับฉากเดียวกันกับของพระสันตะปาปาไม่มีผิดเพี้ยน
เปลวเพลิงสีนวลได้ขยายลุกลามไปยังคนคนนั้น และในเสี้ยววินาที ร่างของชายคนนั้นก็ถูกแผดเผาจนหลงเหลือเพียงโครงกระดูก
ในขณะเดียวกัน เปลวเพลิงสีขาวนวลบนร่างกายของเขาก็พลันปะทุลุกโชนสูงขึ้นอย่างกะทันหัน
ฮัทท์หันไปเอ่ยพึมพำกับโครงกระดูก “จงเปรมปรีดิ์เถิด ที่ในสถานการณ์เร่งด่วนเช่นนี้ ข้าจึงไม่มีเวลาที่จะทรมานเจ้าให้ตกตายลงอย่างช้าๆ”
เขายัดโครงกระดูกกลับเข้าไปในหลุมดำ เผยรอยยิ้มอำมหิต ก่อนจะมาหยุดยืนนิ่งอยู่หน้าก้อนหินใหญ่
“เริ่มกระบวนการพิพากษา” เขาเอ่ยออกมา
“ข้าได้พิพากษาแล้วว่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในที่แห่งนี้...เป็นปีศาจร้าย!”
ด้วยถ้อยคำของเขา หลุมดำทั้งหมดที่ลอยล่องอยู่กลางอากาศก็หลอมรวมตัวกัน และกลายเป็นประตูหลุมดำขนาดใหญ่
“เนื่องเพราะเจ้าเป็นความชั่วร้าย เป็นบาปอันมหันต์เจ้าจึงต้องรับโทษทัณฑ์จากสรวงสวรรค์!” ฮัทท์กล่าว
ประตูหลุมดำเปิดออก พร้อมกับคู่แขนยักษ์สีดำยื่นออกมาอย่างช้าๆ…
............................................................