ตอนที่ 201 โปรดให้แสงสว่างแก่พวกเรา
“ขอบพระทัยฝ่าบาท แต่ตอนนี้กระหม่อมมีสิ่งสำคัญยิ่งกว่าที่ต้องกระทำ” กู่ฉิงซานมองไปยังแอนนาในช่วงเวลาที่เหมาะสม
แอนนาเกรงว่าองค์จักรพรรดิจะระเบิดอารมณ์ออกมา จึงรีบตรงไปยังจักรพรรดินี คว้าจับมือของเธอและกล่าว “หนูต้องการอยู่กับเขาเป็นการชั่วคราวในรัฐบาลกลาง”
จักรพรรดินีลูบใบหน้าของเธอด้วยความอ่อนโยน ปากเอ่ยกล่าวเสียงกระซิบ “หลานจริงจังใช่ไหม?”
แอนนาหน้าแดง แต่ก็ยังพยักหน้า
จักรพรรดินียิ้มอย่างขมขื่นและกล่าว “แต่สาธารณรัฐฟูซีประกาศว่าจะให้ที่ลี้ภัยและคุ้มครองหลานแล้ว แต่หลานก็ยังเลือกที่จะจากไป นี่มันค่อนข้างจะพูดยากนะ”
“ไม่ใช่แบบนั้น หนูแค่ต้องการอยู่กับเขา ไม่จำเป็นต้องนานมากก็ได้” แอนนาทำท่าทีราวกับเด็กที่เอาแต่ใจ
จักรพรรดินีทำได้เพียงฝืนยิ้มออกมา แต่มิได้เอ่ยคำใดอีก
หากจะกล่าวว่าเหตุการณ์นี้มันสมควรเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ ทั้งหมดคงขึ้นอยู่กับดุลพินิจขององค์จักรพรรดิ
พระองค์เหลือบมองไปยังฝูงชนอย่างรวดเร็ว
เจ้าหน้าที่ชั้นแนวหน้าที่สวมหมวกเข้ากับงานเฉลิมฉลอง พยักหน้าเล็กน้อย ยืนยันว่าอารมณ์และสิ่งที่องค์หญิงกล่าวออกมานั้นเป็นเรื่องจริง…แม้จะไม่รู้ว่าเขาล่วงรู้ด้วยวิธีใดก็ตาม
จักรพรรดิไตร่ตรองอย่างรอบคอบ
อารมณ์ของผู้คนไม่สามารถปลอมแปลงหรือหลอกลวงกันได้ แอนนาดูจะอยากอยู่กับเขาจริงๆ
ดูเหมือนว่าคราวนี้ นับตั้งแต่ที่ก้าวเข้ามายังฟูซี ในที่สุดแอนนาน้อยจะเผยความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองออกมาเสียที
กล่าวได้ว่าแอนนาต้องการที่จะแยกตัวจากฟูซีและโผเข้าสู่อ้อมอกของรัฐบาลกลาง
แต่แบบนี้ไม่ใช่เรื่องดีเลย
ในขณะนั้นเอง องค์จักรพรรดินีก็หันหัวไปอีกทิศทางหนึ่ง พยายามกล่าวบ่งชี้ถึงจุดที่เธอสังเกตเห็นได้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม น้ำเสียงเรียบสงบ “องค์จักรพรรดิเพคะ สายตาที่ท่านจ้องมองแอนนาดูจะแข็งกร้าวเกินไปแล้ว”
องค์จักรพรรดิหัวเราะ ปากเอ่ยกล่าว “ตัวข้า แม้ว่าจะสามารถควบคุมทั่วทั้งสาธารณรัฐ แต่คงไม่อาจควบคุมหัวใจของคนหนุ่มสาวได้”
“แต่ ข้ามีข้อเสนอเล็กๆ น้อยๆ”
“ฝ่าบาทเชิญตรัส” กู่ฉิงซานกล่าว
“แอนนาเป็นหลานสาวของข้า เจ้ามิอาจนำพานางหลบหนีไปได้ หลังจากผ่านไปชั่วระยะเวลาหนึ่งตามที่ได้ตกลงกันไว้ เจ้าจงนำพานางกลับมายังฟูซี แล้วข้าจะได้เป็นผู้มอบความรื่นเริงให้แก่เจ้าอีกครั้ง” จักรพรรดิกล่าวด้วยความเมตตา
เขาเหลือบมองไปยังจักรพรรดินีวูบหนึ่ง
และจักรพรรดินีก็กล่าวทันที “สองสัปดาห์ต่อจากนี้ คือช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของปี เมื่อเจ้ามาถึงจงมุ่งไปทางตอนเหนือของพระราชวัง เพื่อใช้วันหยุดในช่วงฤดูร้อนด้วยกัน ที่นั่นมีภูมิอากาศที่ดี ยามเช้าสามารถออกไปล่าสัตว์ ยามเย็นสามารถจัดปาร์ตี้เต้นรำได้ และหากสภาพอากาศไม่เลวร้าย เจ้ายังจะสามารถใช้กล้องโทรทรรศน์เพื่อเฝ้าสังเกตมอนสเตอร์เอกภพได้อีกด้วย”
องค์จักรพรรดิพยักหน้าด้วยความพึงพอใจและเอ่ยถาม “นักวิทยาศาสตร์กู่ เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร?”
กู่ฉิงซานโค้งตัวคารวะ และกล่าว “ได้ยินมาว่าไวน์ยู่หลูของสาธารณรัฐรสชาติไม่เลว เมื่อเวลานั้นมาถึง กระหม่อมก็หวังว่าจะได้ลิ้มชิมรส”
จักรพรรดิมองเขาด้วยความประหลาดใจ เอ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่นึกว่าเจ้าจะรอบรู้ขนาดนี้ ก่อนจะจากไป เจ้าก็เอามันไปเลยหนึ่งกล่องแล้วกัน ดื่มช้าๆ ล่ะ ฤทธิ์มันแรงมากเลยนะ”
“ขอบพระทัย ฝ่าบาท”
“เอาล่ะ ไว้ถึงช่วงกลางเดือนในเดือนถัดไป พวกเจ้าจงกลับมาด้วยกันอีกครั้ง” จักรพรรดินีหัวเราะและปรบมือตัดสินใจเรื่องนี้เองเลยโดยตรง
“แอนนาตัวน้อย เจ้ามีสิ่งใดจะพูดหรือไม่?” องค์จักรพรรดิเอียงคอเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ข้าเองก็ต้องการไวน์ยู่หลูอีกกล่องเช่นกัน หากได้ดื่มมันจนหมด ข้าอาจจะคิดถึงฟูซีและอยากกลับไปก่อนกำหนดก็เป็นได้” แอนนาเลียริมฝีปากของเธอ
องค์จักรพรรดิหัวเราะ และชี้ไปยังเด็กสาว “เจ้านะเจ้า คิดว่าข้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าใครเป็นคนเอาขวดไวน์ยู่หลูอายุกว่าแปดสิบปีของข้าไป?”
แอนนาถูกตำหนิโดยองค์จักรพรรดิต่อหน้าทุกผู้คน แต่เธอกลับหัวเราะออกมา เชิดคางขึ้น มิแสดงท่าทีหวาดเกรงเขา
“นายจะต้องแบ่งไวน์ยู่หลูให้ฉันครึ่งหนึ่ง” เธอหันไปพูดกับกู่ฉิงซาน
“ดื่มด้วยกันนั่นแหละ แต่อย่าดื่มมากจนเกินไปนัก เดี๋ยวจะเมามายจนหลงลืมเส้นทางกลับฟูซี” กู่ฉิงซานกล่าว
“หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะส่งคนไปรับพวกเจ้าเอง” องค์จักรพรรดิยิ้ม
เมื่อตัวตนสำคัญที่มีพรสวรรค์อันโดดเด่นกำลังจะก้าวเข้าสู่อ้อมแขนของสาธารณรัฐ มันทำให้องค์จักรพรรดิรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก
ในตอนนั้นเอง เสมียนคนหนึ่งก็เดินขึ้นมาและกระซิบกระซาบข้างหูเขา “ฝ่าบาท ถึงเวลารับประทานอาหารค่ำแล้ว”
“องค์จักรพรรดิคว้าจับมือของจักรพรรดินี เขายืนขึ้นและกล่าว “พวกเจ้าจงมาร่วมทานมื้อค่ำกับข้าก่อน แล้วจึงค่อยจากไปได้”
“กระหม่อมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเชิญ เช่นนั้นกระหม่อมขอเชิญสหายมาร่วมรับประทานด้วยจะได้หรือไม่?” กู่ฉิงซานกล่าว
“มาเถอะ ผู้คนยิ่งมากก็ยิ่งมีชีวิตชีวา” จักรพรรดิกล่าว ควงแขนนำพาจักรพรรดินีเดินจากไป
และฝูงชนโดยรอบก็ตามทั้งสองไปเช่นกัน
แอนนาสูดหายใจลึก หันไปจ้องกู่ฉิงซานปากเอ่ยถาม “ทำไมนายถึงดูไม่กังวลเลยล่ะ”
“ก็ถึงอีกฝ่ายจะเป็นจักรพรรดิ แต่ยังไงก็ยังเป็นมนุษย์เหมือนกับพวกเรานี่” กู่ฉิงซานกล่าว
“แต่เขาไม่ใช่แค่เป็นจักรพรรดินะ เขายังมืออาชีพที่แข็งแกร่งที่สุดในสาธารณรัฐ เป็นหนึ่งในตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกอีกด้วย”
“แต่ก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ดีไม่ใช่หรอ” กู่ฉิงซานเอ่ย
ในขณะนี้ ในหัวใจของเขากำลังย้อนระลึกถึงพลังอำนาจในการรบของนางเซียนไป่ฮั่วอย่างเงียบๆ หากได้พบเห็นพลานุภาพของนางด้วยตาของตนเอง คนอื่นก็มินับว่าเป็นตัวอันใดแล้ว
แอนนามองดูเขา เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงสงบนิ่ง ในหัวใจของเธอก็บังเกิดความรู้สึกพึงพอใจออกมา
“นายรู้อะไรไหม? แม้กระทั่งสมเด็จพระสันตะปาปาของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ก็ยังต้องระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา เมื่ออยู่ต่อหน้าองค์จักรพรรดิ”
“อย่าเอาฉันไปเปรียบเทียบกันจะได้ไหม ฉันไม่ใช่เขาเสียหน่อย”
“เอาเถอะ ยังไงนายก็ทำได้ดีมากล่ะนะ ต่อไปพวกเราก็จะไปทานอาหารเย็นด้วยกัน นายช่วยรักษา ‘มาตรฐานระดับนี้’ ให้เหมือนเดิมด้วยล่ะ” แอนนากล่าวพลางหยิกหูของเขา
“ฉันขอตัวไปเรียกซางหยิงฮ่าวก่อน หลังจากที่รออยู่นาน ฉันคิดว่าเขาก็น่าจะหิวเหมือนกัน” กู่ฉิงซานที่ถูกหยิกหูถึงกับทำอะไรไม่ถูก เลยเลือกที่จะกล่าวเบี่ยงประเด็นไป
อีกด้านหนึ่ง
องค์จักรพรรดิยืนอยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่ และกำลังปล่อยให้สองสาวใช้เปลี่ยนชุดที่เป็นทางการสวมใส่ให้แก่เขา
“ทำการตรวจสอบอย่างละเอียดหรือยัง?” เขาเอ่ยถาม
“ตรวจสอบอย่างละเอียดเรียบร้อยแล้ว กระหม่อมค้นพบว่า ไม่ว่าจะเป็นแกนหลักของเทคโนโลยีหลายสิบชนิด ที่เรียกกันว่าโครงสร้างชีวิต ทั้งหมดล้วนถูกสรรค์สร้างขึ้นโดยกู่ฉิงซาน” รัฐมนตรีคนหนึ่งตอบ
“กล่าวได้ว่าเขาคืออัจฉริยะทางด้านหุ่นรบโดยแท้จริง” รัฐมนตรีอดไม่ได้ที่จะเอ่ยชื่นชม
“ตัวตนที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ มันจะเป็นการสิ้นเปลืองเวลาเปล่าๆ หากยังคงให้เขาอยู่ภายในรัฐบาลกลาง” องค์จักรพรรดิแสดงความคิดเห็น
ผู้คุ้มกันคนหนึ่งเดินเขามาอย่างรวดเร็ว คุกเข่าลงข้างหนึ่งและกล่าวรายงาน “กู่ฉิงซาน ท่านแอนนา และชายแปลกหน้าอีกคนหนึ่งได้เข้าสู่สถานที่งานเลี้ยงอาหารค่ำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
“ผู้ชายอีกคนหนึ่งนั่นมันใครกัน? ใช่เป็นผู้ช่วยงานวิจัยของเขาหรือไม่?” องค์จักรพรรดิถาม
“มิใช่พ่ะยะค่ะ แต่เขาเป็นชนชั้นสูงจากเก้าตระกูลใหญ่แห่งรัฐบาลกลาง ชื่อว่าซางหยิงฮ่าว”
“เก้าตระกูลใหญ่…” จักรพรรดิพึมพำด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ใช่ว่ามันถูกส่งมาโดยเก้าตระกูลใหญ่เพื่อดึงตัวกู่ฉิงซานหรือไม่?”
“มิใช่เช่นนั้น นี่คือข้อมูลของซางหยิงฮ่าว ฝ่าบาทโปรดทอดพระเนตร”
องค์จักรพรรดิหยิบเอาสมองควอนตัมขึ้นมา และกวาดสายตามองมัน
สองคิ้วของเขายกสูงขึ้นด้วยความประหลาดใจ ปากเอ่ยกล่าว “แข็งกร้าวต่อเก้าตระกูลใหญ่? เป็นหนึ่งในกลุ่มนักฆ่า? นึกภาพไม่ออกเลยว่าลูกหลานของเจ้าพวกนั้น จะยังคงหลงเหลือคนที่ยังพอใช้ได้กับเขาอยู่บ้างเหมือนกัน”
องค์จักรพรรดิยื่นสมองควอนตัมให้รัฐมนตรี
รัฐมนตรีอ่านมันรวดเดียวจบและเอ่ยตัดสินว่า “การที่คนสองคนนี้อยู่ร่วมกัน นั่นเพียงพอที่จะอธิบายได้ว่า กู่ฉิงซานมิได้มีสนใจในเก้าตระกูลใหญ่”
“ข้าคิดว่าเทพธิดากงเจิ้งก็สมควรที่จะกำลังจับตาดูเขาอยู่เช่นกัน” จักรพรรดิพยักหน้า “ในตอนนี้ เทคโนโลยีเกราะรบชั้นสูง ควรจะอยู่ในมือของสาธารณรัฐ มิใช่กลุ่มโง่เง่าอย่างเก้าตระกูล”
ขณะนี้ เครื่องฉลองพระองค์ถูกสวมใส่เรียบร้อยแล้ว และสองสาวใช้ก็โค้งพอเป็นพิธีเล็กน้อย และพากันถอยฉากออกไป
“เจ้าจงไปเตรียมการให้พร้อม” จักรพรรดิหันไปเอ่ยกับรัฐมนตรี “หลังจากมื้อเย็น พวกเราจะกลับบ้านกันทันที”
รัฐมนตรีเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “พระองค์กำลังจะบอกว่า มิคิดจะเข้าร่วมการประชุมในครั้งต่อไปใช่หรือไม่?”
“ไม่แล้วล่ะ ข้าเพียงแค่ออกมาเดินเล่นยืดเส้นยืดสายเท่านั้น และตอนนี้ข้าก็ได้เก็บเกี่ยวสิ่งที่ต้องการมาแล้ว จะกลับไปเมื่อไหร่ก็ย่อมได้”
จักรพรรดิเอ่ยเสริม “สำหรับเรื่องยาผสานยีน ในเรื่องที่ว่าเราสมควรจะทำอย่างไร ไม่จำเป็นต้องปรึกษาผู้อื่น”
“พ่ะยะค่ะ” รัฐมนตรีรับคำ และถอยออกไป
ในเวลานี้ ไม่มีใครหลงเหลืออยู่ที่นี่อีกต่อไป องค์จักรพรรดิหันไปมองตัวเองในกระจกเงา ปากเอ่ยพึมพำ “ตราบใดที่คนๆ นั้นมีประโยชน์ เขาก็สมควรที่จะรับใช้สาธารณรัฐ และนั่นแหละคือชะตากรรมของเขา”
หลังจากที่พระองค์ปรับปกคอเสื้อเสร็จ เขาก็เดินออกจากห้องไป
หลังจบมื้ออาหารเย็น
จักรพรรดิแห่งฟูซีก็มิได้เข้าร่วมประชุมต่อ แต่กลับเดินทางออกจากรัฐบาลกลางไปซะเฉยๆ โดยมิคิดบอกกล่าวใดๆ
เขานำยานรบของฟูซีบินหายลับไปในท้องฟ้า โดยไม่สนไม่สนสายเรียกเข้าหรือสัญญาณร้องขอการเชื่อมต่อของรัฐบาลกลาง ยังคงมุ่งหน้าออกไปโดยตรง
ประธานาธิบดีได้สนทนากับกู่ฉิงซานผ่านทางโทรศัพท์ ฟังจากน้ำเสียงก็พอจะบอกได้ว่า ตัวเขาก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน
“เขาคงจะมาที่นี่เพื่อไขว่คว้าหาชื่อเสียงหรือผลประโยชน์บางอย่าง พอได้รับแล้ว เขาจึงจากไป” ประธานาธิบดีกล่าว
“จริงสิ องค์หญิงแอนนาอยู่กับเธอจริงๆ อย่างนั้นเหรอ?”
กู่ฉิงซานเหลือบมองไปยังแอนนาและกล่าว “นี่คือการตัดสินใจขององค์หญิง ผมไม่สามารถควบคุมความคิดของเธอได้”
ประธานาธิบดีกล่าว “แต่การที่จักรพรรดิแห่งฟูซีไม่ได้อยู่ที่นี่ และไม่ได้เข้าร่วมการประชุมนานาชาติ ฉันกลัวว่าบางที ผลกระทบของมันอาจถึงขั้นไม่อาจเริ่มประชุมกันต่อได้”
“เรื่องนี้ผมก็เห็นด้วยเหมือนกันกับท่าน” กู่ฉิงซานกล่าว
ทั้งสองพูดคุยกันอีกไม่กี่ประโยค และการสนทนาก็สิ้นสุดลง
กู่ฉิงซานปิดอุปกรณ์สื่อสาร และเงยหน้าขึ้นมองแอนนา
“ราชวงศ์เมดิซี หลงเหลือแค่เธออยู่เพียงคนเดียวใช่ไหม?” เขาถาม
“ใช่” แอนนากล่าว “ดังนั้นชื่อของฉัน จึงเปรียบดั่งชื่อของจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์”
กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “ถ้าอย่างนั้นยาปลุกเทคนิคเทียนซวนที่มีความบริสุทธิ์สูงสุด ยังมีอยู่ในคลังของจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า?”
“แน่นอนว่าไม่ เจ้าสิ่งนั้น มันมีค่าใช้จ่ายไม่น้อยไปกว่าเงินเก็บครึ่งคลังของประเทศ ดังนั้นมันถึงไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาอีกเลย นับตั้งแต่ที่ฉันได้ใช้มัน” แอนนากล่าวอย่างมั่นใจ
นี่ก็เหมือนกับในครั้งก่อนอีกแล้ว เขายังคงไม่มีโชคในการตามหาของเช่นเดิม ภารกิจ ‘ทัณฑ์ปีศาจ’ ขั้นสูงนี่มันยากจริงๆ
กู่ฉิงซานเริ่มเกิดอาการปวดหัว
เขาขบคิดก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้งว่า “แล้วสูตรยาปลุกเทคนิคเทียนซวนล่ะ โดนคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ชิงไปรึเปล่า?”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ ในที่สุดสีหน้าของแอนนาก็แปลกไป “พวกเขาได้มันไปแค่เพียงครึ่งเดียว‘
“ครึ่งเดียว? ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ”
“เพราะว่าอีกครึ่ง พระบิดาได้มอบมันกับฉันแล้ว – ในโลกทั้งใบ จึงมีเพียงฉันคนเดียวเท่านั้นที่มีสูตรอีกครึ่งหนึ่ง”
“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมจักรพรรดิแห่งฟูซีถึงได้ต้องการให้เธอรีบกลับไปเร็วๆ”
“ว่าแต่ที่ถามนี่ นายต้องการเจ้าสิ่งนี้อย่างนั้นเหรอ?”
“ใช่แล้ว”
“…พอรู้ว่าฉันมีแค่ครึ่งเดียวแล้ว นายจะยังช่วยฉันอยู่ใช่ไหม?”
จ้องมองไปยังท่าทีที่ปรากฏให้เห็นถึงความกังวลของแอนนา จู่ๆ กู่ฉิงซานก็รู้สึกว่าเขาได้ทำบางสิ่งบางอย่างผิดพลาดไป
เพราะนี่อาจจะเป็นเหรียญที่ใช้เดิมพันชิ้นสุดท้ายของเธอ
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เธอมุ่งมั่นจะอยู่กับเขา แต่เมื่อมาถึง เขากลับเรียกร้องมันจากเธอทันที
‘กู่ฉิงซานไอ้โง่เอ๊ย!’ เขาสาปแช่งตัวเองคำหนึ่ง
“มากับฉันสิ” กู่ฉิงซานเดินนำไปตามทางเดินกระจกแก้ว
แอนนารับคำเขา คอยเดินตามไปอย่างเงียบๆ
“ขอโทษนะ ที่ฉันละเลยความรู้สึกของเธอ” จู่ๆ กู่ฉิงซานก็กล่าวออกมา
แอนหันไปมองเขา แต่ไม่ได้กล่าวตอบกลับไป
“บางทีเธออาจจะรู้สึกว่าตัวเองกำลังหมดหวัง แต่ก็ยังตัดสินใจเลือกอยู่กับฉัน ถ้าหากฉันยังคงปล่อยให้เธอรู้สึกตื่นตระหนกแบบนี้ต่อไป…นี่มันเป็นความผิดฉันเอง”
“ฉันควรจะทำให้เธอมั่นใจ และเผยความจริงให้เธอได้รับรู้เกี่ยวกับตัวตนของฉัน”
กู่ฉิงซานกล่าว ชี้ไปยังฉากตัวเมืองภายนอกกระจกแก้ว
ทำเลที่ตั้งของศูนย์ประชุมนานาชาติแห่งนี้ ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ดีมาก มุมมองจากที่นี่ช่างกว้างขวาง และสามารถมองเห็นใจกลางเมืองที่อยู่ในระยะไกลออกไปได้อย่างชัดเจน
แอนนามองออกไปนอกหน้าต่างในทิศทางที่เขาชี้ไป ด้วยความสับสน
ช่วงเวลานี้ก็เริ่มพลบค่ำแล้ว ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำ และเมืองหลวงทั้งหมดก็ตกอยู่ภายใต้แสงสลัวจางๆ ตามแสงจากดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดิน
“มันเริ่มมืดลงแล้ว ฉันเลยเห็นไม่ฉันว่านายกำลังชี้ไปตรงไหน”
“สิ่งที่ฉันต้องการให้เธอดู มันไม่ใช่สถานที่หรอกนะ”
กู่ฉิงซานเผยรอยยิ้มจางๆ และกล่าวต่อ “ช่วยให้แสงสว่างแก่พวกเราหน่อยสิ”
สิ้นเสียงของเขา จากหน้าต่างในศูนย์ประชุมนานาชาติที่ทั้งสองยืนอยู่ ตามทิศทางสายตาที่พาดผ่าน ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน โรงงาน อาคารของรัฐบาล โรงพยาบาลประจำเมืองหลวง ห้างสรรพสินค้า โรงหนัง สนามกีฬา โรงแรม ที่จอดรถ จัตุรัส สะพานข้ามแม่น้ำ ตลอดไปจนเส้นทางที่มองไม่เห็นเนื่องด้วยความมืดมิดที่เข้าปกคลุมบนท้องฟ้าส่งผลให้บรรยากาศแลดูโศกเศร้า พลันบังเกิดรัศมีแสงทอดผ่านลงมา มันเป็นแสงที่เกิดจากทุกสรรพสิ่งตราบเท่าที่สิ่งที่ว่านั้นสามารถแผ่พลังงานลำแสงออกมาได้ ไม่ว่าจะเป็น ไฟถนน สมองควอนตัม ไฟหน้ารถของรถเหินเวหา โคมไฟนอกผนังอาคาร บ้านช่องของแต่ละครัวเรือน แม้กระทั่งเกราะรบขับเคลื่อนและยานรบประจัญบานบนท้องฟ้า อุปกรณ์ทั้งหมดของมนุษย์ที่สามารถส่องแสงได้ พลันสาดสว่างขึ้นในพริบตา
ภาพตรงหน้า ปรากฏให้เห็นเป็นมหาสมุทรแห่งแสงอันกว้างใหญ่ ไร้ที่สิ้นสุด
นี่คือประจักษ์พยานของการดำรงอยู่ของอารยธรรมมนุษย์ในโลกใบนี้...แต่ทว่าบัดนี้ ทั้งหมดกลับสามารถถูกควบคุมได้โดยกู่ฉิงซาน!
............................................................