ตอนที่ 184 วิวัฒนาการ
นี่คือชุดเกราะของนายพลชั้นโหยวจี ประกอบไปด้วยชิ้นส่วนเกราะอก เกราะไหล่ เกราะแขน เกราะมือ เข็มขัด เข่า รองเท้ายาว ฯลฯ แต่ละส่วนช่างดูเรียบง่ายมิมีการตกแต่งเพิ่มเติมใดๆ มากมาย เพียงสลักไว้ด้วยอักษรรูนตามจุดต่างๆ บนเกราะ ทว่ามันกลับเผยให้เห็นถึงความงดงามอันลึกที่ยากจะพรรณนา
ทันทีที่เกราะทองคำปรากฏขึ้น แต่ละชิ้นก็กระจายตัวกันออกไป สวมทับลงบนจุดต่างๆ ตามร่างกายของกู่ฉิงซานอย่างรวดเร็ว ราวกับปลาที่กำลังแหวกว่ายในทะเลแห่งจิตวิญญาณ
ทุกชิ้นส่วนของเกราะรบนายพลชั้นโหยวจี ถูกสกัดโดยจิตสัมผัสเทวะของกู่ฉิงซาน ที่เขาใช้จิตสัมผัสเทวะ ก็เพราะมันจะช่วยให้สวมใส่เกราะรบได้อย่างสะดวกสบายและรวดเร็วยิ่งขึ้น
เพียงชั่วเวลาสั้นๆ เกราะรบนายพลชั้นโหยวจีก็ถูกสวมใส่จนเสร็จสิ้น
กู่ฉิงซานยื่นมือออกไปคว้าจับอากาศที่ว่างเปล่า ขณะเดียวกันดาบยาวโบราณก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา
เขากุมดาบพิภพในมือ หันไปกล่าวกับเย่เฟย์หยู “เอาล่ะ ทีนี้นายก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีตัวอะไรมากัดฉันได้แล้วนะ”
มองไปยังฉากตรงหน้า เย่เฟย์หยูชะงักงัน มิอาจเปล่งเสียงออกมาได้อยู่เนิ่นนาน
ผ่านไปสักพัก ปากจึงเริ่มเอ่ยงึมงำ “ถ้าวันสิ้นโลกยังมาไม่ถึง แล้วนายไปเดินทั่วงานแต่งคอสเพลย์ด้วยเจ้าชุดนี้แล้วล่ะก็ รับรองเลยว่าพวกสาวน้อยสาวใหญ่คงกรี๊ดกร๊าดกันตรึม”
“การต่อสู้กำลังจะเริ่มขึ้นแล้วในไม่ช้า ฉันขออวยพรให้คุณทั้งสองคนโชคดี” เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังขึ้น
กู่ฉิงซานและเย่เฟย์หยูยืนเคียงข้างกันหน้าประตูห้องโดยสาร จ้องมองออกไปภายนอก
ขณะนี้ เรือรบประจัญบานขนาดเล็ก ได้ร่อนลงหยุดอยู่เหนือพื้นดินเพียงสองเมตร และฝั่งตรงข้ามห่างออกไปไม่กี่ร้อยเมตร ปรากฏกองภูเขาก้อนเนื้อกำลังเคลื่อนที่เข้ามาอย่างช้าๆ
บนยอดเขา สายตาของผีดิบนักฆ่าที่ยืนอยู่กำลังสาดส่องลงมายังเรือรบประจัญบานขนาดเล็กชนิดหัวชนฝา
และทันใดนั้นเอง จู่ๆ ปากของมันก็อ้าตะโกนลั่น เอ่ยสั่งผีดิบกินคนผิวดำหลายตนมุ่งหน้ามายังเรือรบอย่างรวดเร็ว
ส่วนทางด้านกู่ฉิงซานและเย่เฟย์หยู ทั้งสองก็เตรียมพร้อมรบ กระโจนลงมาจากเรือ
“ทำตามแผนที่ตกลงกันไว้นะ” กู่ฉิงซานกล่าว
“ตกลง”
เย่เฟย์หยูขานรับคำหนึ่ง สยายปีกรังสีแสงสีดำขึ้นทันใด ทั้งคนทั้งร่างพรวดไปยังเบื้องหน้าจนเห็นเพียงเส้นแสง เหินอากาศมุ่งตรงไปยังยอดภูเขาก้อนเนื้อ
กู่ฉิงซานหักคอเล็กน้อยจนเกิดเสียงแกร๊กๆ พร้อมทำการเปลี่ยนสมญาเป็น ‘นายพลชั้นโหยวจี’ ทะยานตัวออกไปต้อนรับการมาเยือนของผีดิบกินคนทั้งหลาย
ผีดิบกินคนพวกนี้ ผิวหนังของพวกมันเป็นสีดำ บ่งบอกถึงร่างกายที่ได้เติบโตขึ้นจนเข้าสู่ช่วงวัยผู้ใหญ่แล้ว และสมควรที่จะมีความแข็งแกร่งอยู่ในขอบเขตบรรพชนนักสู้ช่วงต้นๆ
ถึงแม้ว่าพวกมันจะไม่สามารถกลายพันธุ์ได้ แต่มันก็สามารถเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นได้เรื่อยๆ ตามโภชนาการที่ได้รับ
ผีดิบกินคนผิวดำสี่ถึงห้าตัว เมื่อเห็นการมาถึงของกู่ฉิงซาน พวกมันก็อ้าปากหวีดคำราม เร่งฝีเท้าวิ่งเบียดเสียดกันเพื่อหมายจะกัดกินเขาก่อนเป็นตนแรก
นี่มันก็เนิ่นนานแล้วที่ในแต่ละวันได้กัดกินเพียงแค่ซากศพ หากสามารถลิ้มรสเลือดอุ่นๆ และอวัยวะภายในที่สดใหม่ วันนี้คงไม่แคล้วจะกลายเป็นวันที่ยอดเยี่ยม
ระยะห่างระหว่างทั้งสอง อยู่ห่างกันออกไปเพียงไม่กี่เมตร เหล่าผีดิบกินคนแทบจะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของพวกมันได้ ตนแล้วตนเล่ากระโจนลงจากกองภูเขาก้อนเนื้อ ปรี่ตรงเข้าไปยังทิศทางที่กู่ฉิงซานยืนอยู่
การโจมตีแบบโง่ๆ โดยใช้แค่เพียงสัญชาตญาณเช่นนี้ สำหรับกู่ฉิงซาน เขาละซึ่งความสนใจจากมันโดยสิ้นเชิง
นั่นเพราะเขากำลังสวมใส่เกราะรบนายพลชั้นโหยวจี เลยมิจำเป็นต้องหวาดกลัวการถูกกรงเล็บเชือดเฉือนหรือฟันฉีกกัด แม้กระทั่งรอยขีดข่วนมันก็ยังไม่อาจเกิดขึ้นได้
เห็นแค่เพียงดาบของเขาที่ถูกจับกุม ก้าวเดินไปเบื้องหน้าในท่วงท่าที่ไร้ซึ่งการป้องกันใดๆ
ตลอดทุกย่างก้าว ดาบพิภพตัดผ่านอากาศจากทุกทิศทาง บังเกิดเสียงหวีดแหลมดังคมชัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
และการปะทะกันระลอกแรกระหว่างทั้งสองฝ่ายก็จบลงในที่สุด
กู่ฉิงซานเหวี่ยงสะบัดเลือดสีดำที่ติดอยู่บนดาบพิภพออกไป สองเท้ายังคงก้าวเดินมุ่งตรงไปเผชิญกับฝูงซอมบี้ที่ทยอยลงมาจากภูเขาก้อนเนื้อเบื้องหน้า
เบื้องหลังเขา ปรากฏร่างของผีดิบกินคนที่ถูกตัดทั้งแขนทั้งขา แยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง หลงเหลือทิ้งไว้เพียงส่วนหัวและร่างกายนอนแหมะอยู่บนพื้นดิน
แน่นอนว่าพวกมันยังมิตกตาย สิ่งนี้ถูกทิ้งไว้ให้เย่เฟย์หยูหลังจากเสร็จสิ้นศึกนี้ เผื่อที่ว่าพวกมันจะช่วยให้เขาสามารถวิวัฒนาการได้เร็วขึ้น แม้เพียงนิดก็ยังดี
เพราะนับจากนี้อีกไม่นาน เขาจะต้องจัดการกับแชมเปี้ยนส์ของเกมแห่งชีวิตนิรันดร์ในรอบที่สอง
เพชฌฆาตตัวตลกจะพ่ายแพ้ไม่ได้ เรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับอนาคตของมนุษยชาติ
นี่คือการต่อสู้ตัดสินแพ้ชนะ ระหว่างกู่ฉิงซานกับเกมแห่งชีวิตนิรันดร์!
กู่ฉิงซานย่ำฝีเท้า มุ่งตรงไปยังภูเขาซากศพ
ฝูงผีดิบกินคนเริ่มปรากฏตัวมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ ตนแล้วตนเล่าดาหน้าเข้ามาหาเขา
กู่ฉิงซานถ่ายเทพลังวิญญาณออกมา เริ่มทำการกระตุ้นเทคนิคดาบ
ทันใดนั้นเอง ปราณดาบที่บางเบาราวกับเส้นไหมก็ถูกปลดปล่อยออกมาจากดาบพิภพ
ผ้าไหมค่อยๆ แพร่กระจายไปรอบๆ ตัวเขา และผีดิบนักฆ่าตนใดที่ย่างกรายเข้ามาใกล้ ทั้งแขนทั้งขาของพวกมันก็จะถูกตัดสะบั้น หลงเหลือทิ้งไว้เพียงส่วนลำตัวและหัวเท่านั้น
นี่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ฉากที่สมควรน่าสยองขวัญกลับกลายเป็นขบขันขึ้นมาหนึ่งส่วน
ฉากโดยรอบ คือฉากที่ผีดิบกินคนนับไม่ถ้วนดาหน้า วิ่งเข้าใส่กู่ฉิงซาน ทว่าพวกมันยังมิทันได้ถึงตัวเขา แขนขากลับถูกตัดออก ทั้งคนทั้งร่างร่วงลงกระแทกกับพื้น ประปรายคล้ายกับภาพของพรมที่ถูกปู ก่อนจะเริ่มก่อตัวกองพะเนินขึ้นเป็นภูเขาซากซอมบี้
พวกมันเกลือกกลิ้งลงมา เริ่มกองสุมกันเบื้องล่างภูเขาซากศพ ทั้งหมดตกอยู่ในสภาพที่แลคล้ายท่อนไม้ เฝ้ารอเวลาให้คนตัดฟืนเอื้อมมือขึ้นมาหยิบฉวยและสับขวานลงแยกส่วนปลิดชีพมัน
ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือ ท่อนไม้เหล่านี้ยังคงสามารถเอี้ยวตัวไปมา ปากพะงาบๆ คล้ายพร้อมจะฉีกกัดผู้ที่ย่างกรายเข้ามาใกล้อยู่ตลอดเวลา โดยรวมแล้วช่างดูสยองขวัญยิ่ง
กู่ฉิงซานก้าวเดินต่อไปอย่างสบายๆ ตลอดทั้งเส้นทาง จนในที่สุด เขาก็มาถึงจุดสูงสุดของภูเขาซากศพ
ขณะนี้ ผีดิบกินคนผิวดำแม้จะยังมิถูกฆ่าตายทว่าก็แทบจะไม่แตกต่างกัน
ที่หลงเหลืออยู่มีเพียงผีดิบกินคนจำนวนหนึ่ง ที่กำลังปฏิบัติตามคำสั่งของผีดิบนักฆ่าอุดมไขมัน โถมโจมตีเข้าใส่เย่เฟย์หยูอย่างมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย
กู่ฉิงซานกุมดาบในมือแน่น จ้องมองไปยังการต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายอย่างระมัดระวัง
ผีดิบกินคนนับว่าไม่เพียงพอที่จะสร้างความหวาดกลัวให้แก่พวกเขา ทว่าสิ่งสำคัญก็คือ สิ่งที่โดดเด่นและดึงดูดความสนใจได้ดีที่สุดบนตัวของผีดิบนักฆ่าอุดมไขมันต่างหาก
เนื้อพุงของมันช่างยืดหยุ่น นุ่มละมุน แม้เย่เฟย์หยูจะสามารถฉวยโอกาสทุ่มโจมตีใส่มันอย่างเต็มกำลังได้อยู่หลายครั้ง ทว่าสุดท้ายการโจมตีของเขากลับถูกสะท้อนออกมาอยู่ดี
เย่เฟย์หยูมิเชื่อว่าตนจะไม่อาจทำร้ายอีกฝ่ายได้ เขาทะยานตัวบินขึ้นไปในมุมสูง เรียกเปลวเพลิงสีเลือดขึ้นมาบนฝ่ามือ และทุ่มเข้าใส่พุงอุดมไขมันของอีกฝ่ายด้วยเจตนาร้าย
เมื่อต้องเผชิญหน้าการระเบิดโจมตีอันรุนแรง ทั้งคนทั้งร่างของมันก็หดเกร็งเข้าหากันโดยสมบูรณ์
มันกำลังพยายามลดทอนประสิทธิภาพของการโจมตีอันทรงพลังในครั้งนี้
ท่ามกลางเสียงอึกทึกของการระเบิดพลังที่พึ่งปรากฏขึ้น การโจมตีของเย่เฟย์หยูถูกตีกลับ แรงกระแทกส่งตัวเขาลอยกระเด็นขึ้นไปบนอากาศอีกครั้ง
ผีดิบนักฆ่าก็อยู่ในสภาพไม่สู้ดีเช่นกัน มันได้รับผลกระทบจากแรงปะทะพอสมควร แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่ทำร้ายมันจริงๆ จะเป็นเลือดสังหารเสียมากกว่า
กู่ฉิงซานยกดาบพิภพขึ้น และโบกมันออกไปเบาๆ
แขนขาของผีดิบนักฆ่าหลายตนถูกสับสะบั้นลงทันที บัดนี้ร่างของพวกมันมิแตกต่างอันใดจากท่อนไม้ กลิ้งหลุนๆ ลงจากยอดภูเขาซากศพ
“ฉันมาสลับหน้าที่กับนายแล้ว” กู่ฉิงซานที่พึ่งก้าวขึ้นมาถึงยอดภูเขาซากศพกล่าว
“นายจะรับมือกับมันแทนฉันอย่างงั้นเหรอ?” เย่เฟย์หยูเอ่ยอย่างเหนื่อยหอบ
“ใช่ ส่วนนาย ก็ไปแทนฉันตรงนั้น” กู่ฉิงซานชี้ปลายดาบของตนไปยังมุมมุมหนึ่งของกองภูเขาซากศพ
ตรงจุดดังกล่าว ปรากฏร่างท่อนไม้ของผีดิบกินคนกองพะเนินซ้อนทับอยู่ด้วยกัน พวกมันมิอาจเคลื่อนกายได้ ทำได้เพียงใช้ฟันที่ยังคงหลงเหลือฉีกกัดซึ่งกันและกันอย่างบ้าคลั่ง
“โอ๋?” ดวงตาของเย่เฟย์หยูเปล่งประกายวาบ
“งั้นฝากนายช่วยดึงดูดความสนใจทางนี้ด้วยล่ะ ฉันขอตัวไปเล่นสนุกกับพวกมันก่อน”
สองปีกรังสีแสงสีดำสยายออก บังเกิดเสียงคำรามคำรนของเครื่องจักรตามมาด้วยเสียง ปัง! พร้อมกับร่างของเย่เฟย์หยูที่หลบฉากออกไป
เห็นแบบนั้น ผีดิบนักฆ่าตัวอ้วนก็ขู่คำราม มันเคลื่อนกายหมายที่จะติดตามไป
ทว่ากลับถูกดาบเล่มหนึ่งยื่นออกมาขวางตรงเบื้องหน้า และฟาดมันลงไปตรงพุงของมันเสียก่อน
ดาบเล่มนี้ ถูกฟาดออกไปอย่างแรงด้วย น้ำหนักถึงหกหมื่นจิน บังเกิดแรงระเบิดหนักทึบขึ้นบริเวณยอดภูเขาซากศพ
กู่ฉิงซานชักมือกลับ ก้มลงมองดูพุงของอีกฝ่ายที่ปรากฏซึ่งรอยเส้นโค้งที่ดูงดงาม ปากเอ่ยพึมพำ “ไอ้ความสามารถในการป้องกันนี้ มันจะน่าทึ่งเกินไปแล้ว”
ได้ยินแค่เสียง “ตู้ม”
ร่างของผีดิบนักฆ่าร่วงตกลงจากที่สูง ดิ่งลงไปในพื้นดินจนบังเกิดเป็นหลุมลึก
ด้วยการโจมตีอันหนักหน่วงเช่นนี้ หนุนเสริมด้วยผืนโลกที่สั่นสะเทือน ส่งผลให้เสียงสะท้อนของมันดังก้องกังวานอยู่เนิ่นนาน
อีกด้านหนึ่ง เย่เฟย์หยูได้แปรเปลี่ยนตนเองให้กลายเป็นเพชฌฆาตล่าสังหาร ไล่ฆ่าผีดิบกินคนผิวดำที่ตกอยู่ในสภาพท่อนไม้อย่างบ้าคลั่ง
พวกซอมบี้เหล่านี้มิอาจเคลื่อนกายได้ และแน่นอนว่ามันมิอาจต่อสู้ได้เช่นกัน ทว่าเนื่องจากการที่พวกมันเป็นถึงผีดิบกินคนชั้นยอด ทำให้แม้จะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ด้วยพลังชีวิตที่สูงกว่าปกติ ทำให้ยังพอสามารถรักษาชีวิตตนเอาไว้ได้
และการดำรงอยู่เช่นนี้ มิต่างอันใดกับงานฉลองอันยอดเยี่ยมสำหรับการฟาร์มแต้มของเย่เฟย์หยู!
สองมือของเขาแปรเปลี่ยนเป็นคมมีด ไล่สับสะบั้นลงบนพื้นดินอย่างรวดเร็ว
จนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ ปรากฏชั้นหมอกเลือดลอยละล่องปกคลุมรอบตัวเขา
โหมดเพชฌฆาตล่าสังหารเช่นนี้ยังคงดำเนินต่อไป หมอกเลือดในชั้นอากาศค่อยๆ ทวีความหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ จนบัดนี้มันถูกแปรเปลี่ยนไปแลคล้ายแก่นเลือดสังหาร
ผีดิบกินคนผิวดำนับร้อย ได้ตกตายลงโดยฝีมือของเย่เฟย์หยูอย่างรวดเร็ว
และเขาก็หยุดมือลงในที่สุด ลอยนิ่งอยู่บนชั้นอากาศ เหนือกองซากศพผีดิบกินคน
รังสีเลือดสังหารห่อหุ้มอยู่รอบกายเขา พวกมันค่อยๆ ถูกสูดกลืนเข้าไปผ่านทางจมูกของเย่เฟย์หยูอย่างช้าๆ
สองตาหุบลง เงยหัวขึ้น สีหน้าเผยถึงความมึนเมา
กระดูกปีกคู่ของเขาผุดออกมาอีกครั้ง ทว่าครานี้มันสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนด้วยตาเปล่า ว่ามันกำลังขยายขนาดกว้างออกไปทั้งสองข้าง แลดูน่าหวาดผวายิ่ง
เลือดสังหารติดตรึงกับกระดูกแหลม มันขยับวูบไหวแลคล้ายเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้
“ยังไม่พอ…ยังต้องการมากกว่านี้…”
เย่เฟย์หยูเปิดเปลือกตาทั้งสองข้างออก เผยถึงดวงตาสีแดงเข้ม เบนไปยังทิศทางยอดภูเขาซากศพ
กู่ฉิงซานกำลังยืนอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง…
“ไม่...ไม่นะ”
เย่เฟย์หยูโหยหวนด้วยความเจ็บปวด เขาพยามข่มจิตใจตนเอง ทิ้งตัวกลิ้งไปมาบนพื้นดิน
ณ ขณะนี้ ผีดิบนักฆ่าอุดมไขมัน ปีนป่ายขึ้นมาจากหลุมพอดิบพอดี หลังจากที่สองเท้ายืนหยัดได้อย่างมั่นคง มันก็หวีดเสียงแหลมออกมา
และเป็นวินาทีเดียวกันกับที่เสียงหอบหายใจด้วยความเจ็บปวดวูบหายไป เย่เฟย์หยูสะบัดหัวไปยังทิศทางของอีกฝ่ายอย่างดุร้าย สาดสายตาไปยังผีดิบนักฆ่าอีกตน!
........................................