ตอนที่ 162 เซี่ยเต๋าหลิง
“นับว่าการระดมพล รวมตัวกันในครั้งนี้มิสูญเปล่าแล้ว สั่งกองทัพให้เริ่มโจมตีได้!” ซินจุนจีเอ่ยบัญชา
มารนักปราชญ์ตนหนึ่งได้ยิน มันก็ยกธงในมือขึ้น โบกสะบัดไปมา ปากเอ่ยตะโกนก้อง “จงโถมเข้าใส่ศัตรูดั่งคลื่นทะเลที่ห้าวหาญ!”
ทางฟากฝั่งกองทัพมาร เผ่ามารทั้งหมดพลันระเบิดเสียงคำรามออกมา
ตนแล้วตนเล่าสับฝีเท้าอย่างเร็วรี่จนเศษดินเศษหินคลุ้งตลบอบอวล หากมองจากระยะไกลจะดูราวกับเป็นมวลฝุ่นควันขนาดมหึมากำลังพุ่งไปยังทิศทางของกองทัพมนุษยชาติ
ในขณะเดียวกัน ทางฝั่งมนุษยชาติ
ถุงอสูรวิญญาณนับไม่ถ้วนที่มักจะแขวนอยู่ตรงเอวของผู้ฝึกยุทธพลันฉีกขาด ตามด้วยร่างของอสูรวิญญาณที่ปรากฏกายออกมาอย่ากะทันหัน และเริ่มกระโจนเข้าโจมตีใส่เจ้านายของตนเองอย่างบ้าคลั่ง
แนวทัพทางฝั่งมนุษยชาติทั้งหมดตกอยู่ในความโกลาหลโดยสมบูรณ์ ผู้ฝึกยุทธจำนวนมากเสียหลักล้มกลิ้งลงบนพื้นดิน ก่อนจะถูกอสูรวิญญาณของตนโถมทับ บ้างกัด บ้างแทะ บ้างตะปบ ทยอยกันตกตายเป็นใบไม้ร่วง
อสูรวิญญาณบางตนที่ทรงพลังยิ่งกว่าตนอื่นๆ เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจฆ่าสังหารนายตน มันก็ฉวยโอกาสทีเผลอ พุ่งร่างเข้าไปยังแนวดิสก์ค่ายกลป้องกัน ก่อนจะเริ่มทำการทุบทำลายทันที
ทว่าพวกมันดูท่าจะไม่หยุดแค่นั้น ตนแล้วตนเล่าเร่งทุ่มกำลังสุดฝีมือ โจมตีเข้าใส่ดิสก์ค่ายกลป้องกันทั้งหมดของมนุษย์จนเกิดความเสียหาย หมายมั่นจะเปิดทางสะดวกยามที่กองทัพมารได้มาถึง
ในตอนนั้นเอง ทางฝั่งของมนุษย์ก็พลันบังเกิดแสงเรืองรองส่องประกายเป็นจุดๆ ก่อนที่มวลแสงนั้นจะสลายไปกลายเป็นจุดแสงเล็กๆ กลับสู่ความว่างเปล่า นี่คือสิ่งที่บ่งบอกว่าค่ายกลป้องกันได้ถูกทำลายลงแล้ว!
ขณะเดียวกันกับที่ค่ายกลป้องกันได้ค่อยๆ ทยอยล่มสลายลงอย่างต่อเนื่อง
ผ่านพ้นไปเพียงไม่กี่ลมหายใจ เผ่ามารมากมายก็กระโจนโถมเข้าใส่ลงมายังแนวทัพของมนุษยชาติ ดั่งคลื่นลมทะเลที่ห้าวหาญ เปิดฉากการสังหารหมู่อันโหดเหี้ยมและดุดัน
เมื่อไม่มีค่ายกลป้องกันขนาดใหญ่คอยขวางกั้นอีกต่อไป เผ่ามารจำนวนมากที่โถมเข้าโจมตีก็จะส่งผลกระทบอย่างมหาศาลแก่กองทัพของมนุษย์ แบ่งแยกแนวทัพพวกเขาจนระส่ำไม่เป็นระเบียบ หากยังมิอาจจัดขบวนทัพได้เช่นนี้ต่อไป ไม่นาน กองทัพเผ่ามนุษย์คงไม่แคล้วต้องถูกล้างบางจนหมดสิ้นเป็นแน่
การร่วมมือกันระหว่างเผ่ามารและอสูรวิญญาณ ช่างเป็นการประสานงานที่สมบูรณ์แบบ ยอดเยี่ยมไร้ที่ติ
เพียงเท่านี้ ผลการสู้รบก็ปรากฏออกมาแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย
ซินจุนจีโห่ร้องลั่นด้วยความสะใจ “มารทหารทั้งหลาย! จงกัดกินพวกมนุษย์ให้หมดสิ้น นับจากนี้ไป โลกใบนี้เป็นจะกลายเป็นโลกมารของพวกเรา!”
กองทัพมารคำรามคลั่ง เร่งย่ำฝีเท้ากระแทกพื้นดิน มุ่งเข้าใส่แนวทัพของมนุษยชาติ
การกวาดล้างฆ่าสังหารเพียงฝ่ายเดียวได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!
ชะตากรรมของเผ่ามนุษย์คงมิแคล้วจำต้องถึงวาระ
ในที่สุดเผ่ามารก็จะได้ครอบครองโลกใบนี้เสียที
ซินจุนจีส่งสัญญาณมือไปให้พวกที่อยู่ข้างหลัง ตะโกนเอ่ยสั่ง “พวกเจ้าก็ด้วย เร่งลงมือเสีย ลูกหลานของพวกเราจะได้มิตกตายมากจนเกินมาก”
“ขอรับ” มารนักปราชญ์ขานรับโดยพร้อมเพรียง
ทั้งหมดกลายเป็นภาพติดตา เหินอากาศตรงไปยังแนวทัพมนุษยชาติอย่างรวดเร็ว
ซินจุนจีพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
นี่นับว่าเป็นวันที่เขารู้สึกภาคภูมิใจมากที่สุดในชีวิตตน
เมื่อจอมมารหวนกลับมา เขาย่อมต้องได้รับการสรรเสริญและตกรางวัลอย่างงาม
บางที หากจอมมารคิดจะบุกโจมตีต่างโลกในครั้งถัดไป ท่านอาจจะนำตัวเขาไปด้วยก็เป็นได้
เขาเคยได้ยินมาว่าการที่สามารถพิชิตโลกทั้งใบได้ จะทำให้ได้รับรางวัลหรือผลประโยชน์บางอย่างเป็นจำนวนมหาศาล
เขาควรจะเฝ้ารอคอยด้วยตนเองอย่างตั้งอกตั้งใจ เผื่อวันหนึ่งจะได้ค้นพบถึงความลับที่ว่า การครอบครองโลกได้สำเร็จนั้นจะได้รับรางวัลเป็นสิ่งใด
ขณะกำลังขบคิด จู่ๆ ซินจุนจีกลับรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างขึ้นเบื้องหน้า
เขาเชิดหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว
ไม่นะ ความผิดปกตินี้ ดูเหมือนว่ามันจะมิใช่แค่เพียงปัญหาเล็กๆ เสียด้วย
แม้ว่าค่ายกลป้องกันของมนุษย์เพิ่งจะสลายไป และพวกเขาก็กำลังถูกขย้ำโจมตีโดยเผ่ามารนับหมื่นแสน ทว่าสิ่งที่บังเกิดขึ้นเบื้องหน้านี้มันรวดเร็วเกินไปจนไม่มีใครทันตั้งตัว
เพราะบัดนี้ ปรากฏซึ่งรัศมีแสงเย็นเยียบขึ้นในแนวทัพของมนุษยชาติ
รัศมีแสงดูราวกับเป็นเส้นด้ายบางๆ ทว่ากลับคมกริบดุจใบมีด มันค่อยๆ แยกออกเป็นสอง ก่อนจะกลายเป็นสี่ จากนั้นก็แปด และในที่สุดก็แยกออกไปถึงเจ็ดพันเจ็ดร้อยสี่สิบเก้าใบมีดที่สาดประกายเย็นเยียบ และเริ่มหมุนคว้านอย่างบ้าคลั่งในแนวทัพของมนุษยชาติ
พริบตาเดียว ทั้งเลือดทั้งเนื้อของมนุษย์และมารก็กระพือว่อน บังเกิดเสียงกรีดร้องคร่ำครวญระงมไปทั่ว
ตำแหน่งแนวทัพของมนุษย์บริเวณโดยรอบ ถูกย้อมจนกลายเป็นสีเลือดด้วยใบมีดน้ำแข็ง
ปรากฏขึ้นเพียงไม่นาน พลังงานวิญญาณอันเย็นเยียบเมื่อครู่ก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว ทว่าปรากฏการณ์นี้ดูจะมิยอมว่างเว้นช่วงง่ายๆ ลมหายใจต่อมา มันก็ถูกแทนที่ด้วยประกายแสงเรืองรองสีแดงเพลิง โถมเข้าปกคลุมทั่วทั้งบริเวณแนวทัพของมนุษยชาติทั้งหมด
ใบมีดน้ำแข็งจางหาย พลังงานวิญญาณอันร้อนแรงพลันปรากฏ ผลลัพธ์ของมันในครานี้ราวกับธารลาวาที่สาดปะทะเข้ากับสายน้ำเชี่ยว มันได้ติดตรึง เกาะแน่น ยึดเหนี่ยวมวลมารและอสูรวิญญาณที่อยู่ในอาณาเขตแนวทัพมนุษย์ มิให้เคลื่อนไหว แน่นอนว่าเหล่าผู้ฝึกยุทธบางส่วนก็โดนลูกหลงไปด้วย แต่ก็ยังมีบางส่วนที่สามารถเหินอากาศหนีขึ้นไปบนท้องฟ้าได้
พอเป้าหมายมิอาจเคลื่อนไหว ก็บังเกิดแสงสีทองเรืองรองก่อรูปกลายเป็นร่างเงาของดาบยักษ์ในแนวทัพ มันกวาดฉวัดเฉวียน สับสะบั้นออกไปทั้งแนวตั้งแนวนอน ตัวมันขณะนี้แลคล้ายดาบแห่งมรณะ เนื่องเพราะทุกทิศทางที่มันตัดผ่าน จะทิ้งไว้ซึ่งฝนเลือดพรั่งพรู สาดกระเซ็นอย่างมิอาจมีผู้ใดหยุดยั้งมันได้
ยังมีอีก ปรากฏซึ่งลมฟ้าฝน อันคึกคะนองไร้ที่เปรียบโถมซัดสาด บนผืนฟ้าดวงดาราร่วงโรยราวอุกกาบาต ตกลงใส่ตำแหน่งแนวหน้า สิ่งมีชีวิตนับอนันต์มิอาจต้านทานได้ แม้เพียงลมหายใจ ชีวิตของพวกมันก็ถูกส่งลงไปในนรกภูมิ
ทุกสรรพสิ่งเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ลมหายใจ หมอกและควันหมุนวนฟุ้งกระจายจนเห็นเป็นเม็ดทรายสีเหลืองนวล มันม้วนตัวดั่งคลื่นขนาดมหึมา โถมซัดสาดเข้าใส่ร่างเลือดและเนื้อ ส่งผลให้ผู้ถูกกระแทกรู้สึกราวกับถูกหอกหนามแหลมทิ่มแทง ก่อนจะถูกกลืนหายลงไปกับมัน
จ้องมองมายังฉากทั้งหมดนี้ หัวใจของซินจุนจีพลันเย็นเยียบ
นี่มัน…เจ้าพวกสิ่งนี้มันคือค่ายกลโจมตีขนาดยักษ์อันน่ารังเกียจของพวกเผ่ามนุษย์นี่นา!
อย่างไรก็ตาม นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปสำหรับซินจุนจีและมารนักปราชญ์ที่เหลือ เนื่องเพราะการใช้ออกด้วยค่ายกลโจมตีขนาดใหญ่เหล่านี้ มันแตกต่างไปจากทุกครั้งในอดีตที่ผ่านมา ที่ปกติมักจะใช้โจมตีออกไปภายนอกแนวทัพ
ทว่าค่ายกลเหล่านี้ พวกมนุษย์กลับมุ่งเป้าโจมตีเข้าใส่ตำแหน่งแนวทัพของตัวเอง นี่มันตรงกันข้ามกับที่แล้วๆ มาโดยสิ้นเชิง!
หนึ่งค่ายกลโจมตีปรากฏ อีกหนึ่งก็ตามมาติดๆ ค่ายกลแล้วกลเล่าถูกเปิดใช้งานอย่างไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด ทั้งมนุษย์และมารที่อยู่ในค่ายกล ชีวิตแล้วชีวิตเล่าถูกพรากจากไป ไม่ว่าจะศีรษะ แขนขา ร่างกาย อวัยวะต่างๆ ล้วนถูกมหาค่ายกลอันทรงพลานุภาพโถมเข้าใส่ จนลอยว่อนไปทัวอากาศ แม้จะผ่านไปครู่หนึ่งก็ยังมิร่วงตกลงมา
เผ่ามนุษย์เปิดใช้งานค่ายกลโจมตีโดยมีตนเองเป็นเป้าหมาย มิใช่ศัตรู นี่คือสิ่งที่มิเคยเกิดขึ้นมาก่อน
ราวกับว่าอาจจะตั้งแต่แรกเริ่ม เผ่ามนุษย์ก็ได้เตรียมพร้อมที่จะตกตายไปพร้อมกับค่ายกลแล้วก็เป็นได้
เผ่ามารที่พุ่งเข้าไปตะลุมบอน เริ่มถอยฉากหลบหนีออกจากแนวทัพมนุษย์เป็นระยะๆ ทว่ามารส่วนมากยังคงอยู่ในรัศมีค่ายกลโจมตี และถูกกลบฝังลงไปพร้อมกับเหล่าผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในค่ายกลนั้น
ไตรภาคีได้จากไปแล้วอย่างชัดเจน เผ่ามารเป็นฝ่ายกุมความได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด นี่ยังไม่นับรวมไปถึงการก่อกบฏของอสูรวิญญาณ เดิมทีแล้วทุกอย่างสมควรเป็นไปอย่างราบรื่น ทว่าจู่ๆ ผู้ฝึกยุทธเผ่ามนุษย์กลับไม่รักตัวกลัวตายเสียอย่างนั้น และดันเลือกที่จะเปิดใช้ค่ายกลโจมตีลงกลางทัพตนเอง ยอมตกตายไปด้วยกัน
ส่งผลให้เผ่ามารและอสูรวิญญาณที่อยู่ในวงล้อมได้ถูกพรากชีวิตจากไปและบาดเจ็บสาหัสเป็นจำนวนมาก
ร่างเงาอันทรงเสน่ห์ของมารสวรรค์นับไม่ถ้วนปรากฏกายออกมาจากซากศพของอสูรวิญญาณ สีหน้าของพวกนางเย็นเยียบราวกับน้ำแข็งค้าง ก่อนจะเหินอากาศกลับมายังธารเมฆามาร และหยุดเฝ้ามองอยู่ข้างๆ วังมารที่แลคล้ายวิหารอย่างเงียบๆ
“เจ้าพวกมนุษย์ ถึงขั้นยอมสละชีพตัวเองดั่งวีรบุรุษเช่นนี้…”
ซินจุนจีถอนหายใจ แม้ฝ่ายตนจะคว้ามาซึ่งชัยชนะ ทว่าก็ต้องแลกมาด้วยการสูญเสียอย่างใหญ่หลวง
แม้ว่าผู้ฝึกยุทธชั้นยอดแห่งมนุษยชาตินับพันนับหมื่นจะเข้าร่วมสงครามในครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม นิกายใหญ่ย่อมต้องมีผู้ฝึกยุทธอีกมากมายหลบซ่อนตัวอยู่เป็นแน่
หากเหล่านิกายใหญ่ของเผ่ามนุษย์เปิดใช้งานค่ายกลพิทักษ์ภูผา ในอนาคต หากมารเช่นเขาคิดจะโจมตีเพื่อหมายทลายรังนอนของพวกมันให้สิ้น ก็คงจะเป็นเรื่องยากลำบากที่จะจัดการ
ทว่าสงครามในครั้งนี้ ซินจุนจีได้สูญเสียทหารใต้บังคับบัญชาไปเป็นจำนวนมาก เกรงว่ายามเมื่อการบุกโจมตีนิกายเผ่ามนุษย์ได้มาถึง บางทีเขาอาจจะต้องลงมือออกหน้าด้วยตนเอง
การที่จะต้องทะลวงค่ายกลป้องกันขนาดใหญ่ของนิกายที่ดำรงอยู่มาแล้วนับพันนับหมื่นปี ดูท่าคงจะเหนื่อยมิใช่น้อย
แต่ตอนนี้อย่างไรเสียก็ไม่มีทางอื่นแล้ว
เวลานี้ เอาไว้พิชิตชัยในสงครามครั้งนี้ให้ได้อย่างสมบูรณ์เสียก่อน เรื่องอื่นๆ ไว้พิจารณากันทีหลัง
ระหว่างที่ซินจุนจีถอนหายใจออกมาอีกรอบนั้นเอง มหาค่ายกลโจมตีขนาดใหญ่ก็ค่อยๆ ชะลอการทำงานของมันลง
ทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว
แต่แล้วในตอนนั้นเอง คู่ดวงตาของซินจุนจีก็พลันเบิกกว้าง
มองไปยังแนวทัพของเผ่ามนุษย์ ปรากฏให้เห็นแค่เพียงซากร่างของอสูรวิญญาณและเผ่ามารนับหมื่นนับแสนเท่านั้น!
ทว่าซากศพของมนุษยชาติทั้งหมดกลับหายไป!?
ไม่อาจรับรู้ได้ถึงความผันผวนของค่ายกลซ่อนเร้น ท้องฟ้าว่างเปล่าบ่งบอกว่ามิอาจหลบเร้นขึ้นไปเบื้องบนได้ แม้กระทั่งเสียงกรีดร้องอันน่าเศร้ายามที่ผู้ฝึกยุทธตกตาย ระเบิดร่างตนเป็นชิ้นก็ยังมิอาจแว่วผ่านมาในสายลม
ผู้ฝึกยุทธเผ่ามนุษย์ทั้งหมดหายตัวไป แม้กระทั่งซากศพของพวกเขาที่สมควรทิ้งเอาไว้เบื้องหลังก็ยังหายไปมิมีหลงเหลือ หายไปเงียบๆ อย่างไร้สรรพเสียง
หายไปดื้อๆ อย่างไร้ร่องรอย แม้กระทั่งเส้นผมสักเส้น ก็ยังมิอาจค้นพบ
“นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น? พวกมนุษย์หายไปไหนกันหมด? ออกไปช่วยข้าค้นหาพวกมันเร็ว!”
ซินจุนจีคำรามออกมาอย่างโหดเหี้ยมโดยไม่รู้ตัว
เขารีบวิ่งไปยังเบื้องหน้า พร้อมด้วยเหล่ามารนักปราชญ์ และเริ่มทำการค้นหาอย่างบ้าคลั่ง
มวลมารที่ยังคงรอดชีวิตอยู่ ทั้งหมดหันมามองหน้ากันและกันด้วยความตกตะลึงอย่างสิ้นเชิง พวกมันไม่รู้ว่าตนสมควรจะทำเช่นไรดี
ส่วนอสูรวิญญาณที่ยังโชคดีรอดชีวิตมาได้ ทั้งหมดทิ้งตัวลงกับพื้น นั่งหอบหายใจอย่างเงียบๆ
ร่างเงาอันทรงเสน่ห์ของมารสวรรค์ถอดจิตออกจากอสูรวิญญาณ เหินทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
พวกเธอดูเหมือนว่าจะค้นพบถึงความผิดปกติบางสิ่ง ทว่ากลับทำแค่เพียงมองไปยังมารนักปราชญ์วูบหนึ่ง และเร่งบินกลับไปยังวังมารอย่างเต็มกำลัง
หนึ่งในมารสวรรค์ที่บินอยู่ เอ่ยปากขับร้องท่วงทำนองที่ฟังไม่รู้ความออกมา “เซ่า ซี่ ซา ซา โซว ซี ลู่ โม่ ลู โม่หลี่ ซีโหลว รั่ว โซวปา!”
ภายในวังมาร พลันปลดปล่อยประกายแสงเล็กๆ นับล้านล้านออกมาในพริบตา พวกมันแปรเปลี่ยนเค้าโครงกลายเป็นวิหารศักดิ์สิทธิ์และรับเอามารสวรรค์โดยรอบกลับเข้าไปโดยตรง
ส่วนทางด้านแนวทัพฝั่งมนุษย์ เริ่มปรากฏหมอกวิญญาณจางๆ กระจายไปทั่วชั้นอากาศ ก่อนจะค่อยๆ ปลิดปลิวไปตามสายลมอย่างช้าๆ
“นี่มันหมอกวิญญาณ…”
มารนักปราชญ์จ้องมองมัน บ่นงึมงำกับตนเอง
ซินจุนจีคว้ามารนักปราชญ์ตนนั้นไว้ ตะคอกถามอย่างคลุ้มคลั่ง “เจ้าหมอกวิญญาณนี้คือสิ่งใด? จงรีบเอ่ยอธิบายออกมาโดยเร็ว มิฉะนั้นข้าจะฆ่าเจ้าซะ!”
มารนักปราชญ์ตนนั้นบังเกิดความหวาดกลัว และรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว “หมอกวิญญาณนี้ แท้จริงแล้วดูเหมือนจะเป็นพลังงานวิญญาณที่ยังหลงเหลือจากการถอดถอนเทคนิคมนตรา…”
ซินจุนจีพายมือจากอีกฝ่าย ส่ายศีรษะ อ้าปากกล่าว “ไม่ นี่มันเป็นไปไม่ได้”
เทคนิคมนตรา…
น่าขันนัก นี่มันเทคนิคมนตราชนิดใดกันที่สามารถรังสรรค์ก่อรูปผู้ฝึกยุทธนับพันนับหมื่นขึ้นมาได้?
ใบโลกใบนี้ ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะมีเผ่ามนุษย์คนใดครอบครองเทคนิคมนตราเช่นนี้
ต่อให้ไตรภาคีอยู่ที่นี่ ก็ยังมิอาจทำสิ่งดังกล่าวนี้ได้
ซินจุนจีชะงักงัน ฝืนบังคับตนเองให้สงบลง และเริ่มไตร่ตรองอย่างรอบคอบ
นักพรตเป่ยหยวนที่เป็นผู้ฝึกยุทธสายพุทธะ แม้ว่าเทคนิคมนตราสายพุทธะ จะโดดเด่นในด้านต่อกรกับมารสวรรค์ ทว่าย่อมมิมีทางที่จะก่อให้เกิดผลลัพธ์เช่นนี้
น้อมสวรรค์ซวนหยวน เก่งกาจศาสตร์แห่งการใช้ยันต์ ธาตุทั้งห้า และเทคนิคมนตราในด้านการโจมตี หากกล่าวถึงยันต์ มันก็ยังคงเป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถบรรลุสิ่งที่น่าทึ่งเช่นนี้ได้อยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้น ในหลายร้อยปีที่ผ่านมา น้อมสวรรค์ซวนหยวนก็มิเคยเผยเทคนิคมนตราอันยอดเยี่ยมเช่นนี้ออกมาก่อนเลย
เหลือเพียงนางเซียนไป่ฮั่ว ตัวนางที่ครอบครองเทคนิคมนตราสายสังหาร ประกอบไปด้วยหวนคืนไร้ลักษณ์อันทรงพลัง ที่ค่อยๆ ถูกเผยออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง…มีเพียงนางเท่านั้นที่ทำได้
เพียงนางเท่านั้น
นาง!
ซินจุนจีนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ทั้งร่างกายของเขาก็สั่นสะท้าน แหงนหน้ามองฟ้า กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง
“เซี่ย เต๋า หลิง!!”
คู่ดวงตาเรียวยาวทั้งสองข้างปรากฏน้ำตาเลือดไหลนองเป็นเส้นสาย ปากอ้าคำรนอย่างมิอาจฝืนทน
.........................................