ตอนที่ 157 ได้รับคำสั่ง
โดยทั่วไปแล้ว เนื่องจากอสูรวิญญาณและผู้ฝึกยุทธนั้นอยู่ร่วมกันมาเป็นเวลานาน ฉะนั้นระหว่างทั้งสองจึงมีการรับรู้ทางจิตวิญญาณที่พิเศษต่อกัน ดังนั้นผู้ฝึกยุทธในโลกใบนี้จึงคิดกันว่าอสูรวิญญาณนั้นเป็นคู่หูที่ซื่อสัตย์
ยิ่งไปกว่านั้น จากที่ได้รับฟัง เมื่อเจ้านายของอสูรวิญญาณตกตายลง พวกมันถึงขั้นกล้ายอมเสี่ยงชีวิตเปิดเผยถึงตัวตนอันโสมมของลูกศิษย์นักปราชญ์ เพียงเท่านี้ก็พอจะแสดงให้เห็นแล้วว่าพวกมันจริงใจและซื่อสัตย์ขนาดไหน
สาวกของนิกายชิงหยุนวิ่งวุ่นไปทั่วทั้งค่ายทหาร ปากเอ่ยกล่าวกระซิบบอกเล่าเรื่องราวจนขจรขจายออกไป มีเพียงผู้ฝึกยุทธจากนิกายหลิงเฉาที่กำลังเฝ้าดูฉากเหล่านี้เงียบๆ ปิดปากมิกล้าเอ่ยคำใด
พวกเขารู้ดีว่าตนได้ตกเป็นเหยื่อของการต่อสู้ระหว่างสองสาวกของนักปราชญ์ไปเสียแล้ว
เพื่อที่จะปกป้องตนเอง ที่ต้องทำคือห้ามพูดสิ่งใดทั้งสิ้นในตอนนี้
อย่างไรก็ตาม เหล่าอสูรวิญญาณ จำต้องอยู่ในค่ายต่อไป เนื่องเพราะนายพลไม่อนุญาตให้นำมันกลับไป โดยอ้างว่าพวกมันเป็นพยานชิ้นสำคัญ
ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดผู้ฝึกส่วนใหญ่จึงไม่เชื่อถือกู่ฉิงซานในเรื่องนี้
สิ่งต่างๆ กำลังก่อตัวขึ้นไปทีละน้อยอย่างเงียบๆ
ทว่าเหล่าผู้ฝึกยุทธหญิงมิได้นิ่งนอนใจ พวกนางนำเม็ดยาและอาหารวิญญาณไปป้อนให้แก่เหล่าอสูรวิญญาณที่เป็นถูกกักตัวไว้เป็นพยานอยู่บ่อยครั้ง เผื่อว่าพวกมันจะคิดเปลี่ยนใจ
พวกเธอแสดงให้เห็นถึงจุดยืนของตนโดยการลงมือกระทำอย่างเงียบๆ
มีผู้ฝึกยุทธหลายคนจ้องมองกู่ฉิงซานด้วยความเย็นชา บางคนก็ส่งสายตาดูถูกเหยียดหยามใส่
“ฮึ! นี่พวกเจ้า...”หนิงเยว่ฉานที่รับรู้ได้ถึงสายตาเหล่านั้นจะทนต่อไปได้อย่างไร กรามเธอขบแน่น และต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง
“อย่าวู่วามไป สายตาตำหนิเหล่านั้นมิได้ลุกลามไปถึงตัวเจ้า” กู่ฉิงซานดึงเธอไว้
“แต่นี่มันไม่ยุติธรรมสำหรับเจ้า ไม่ยุติธรรมเลย” หนิงเยว่ฉานกล่าวอย่างแผ่วเบา
“ข้ามิได้ต้องการความยุติธรรมใดๆ” กู่ฉิงซานกล่าว “สิ่งเดียวที่พวกเราต้องทำในตอนนี้ก็คืออดทนเข้าไว้”
กลางค่ำคืน
หลากหลายกองกำลังก็ได้มาถึง และการต่อสู้ขั้นแตกหักก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
สามนายพลขั้นติงหยวนแห่งมนุษยชาติก็ได้มารวมตัวกันเรียบร้อยแล้ว
นายพลขั้นติงหยวน กงซุนซี นายพลขั้นติงหยวน หวู่สิงเหวินและนายพลขั้นติงหยวน ภิกษุหมิงฮุ่ย
หวู่สิงเหวินนั้นเป็นศิษย์คนโตจากอารามชิงหยุน ส่วนหมิงฮุ่ยนั้นเป็นคนของวัดหลิงเย่อันทรงเกียรติ สองคนนี้มีพื้นฐานวรยุทธอยู่ในขั้นลึกซึ้ง นอกจากนี้ยังเป็นสาวกนิกายของน้อมสวรรค์ซวนหยวนและนักพรตเป่ยหยวนอีกด้วย จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาได้เป็นคนออกคำสั่ง
ส่วนกงซุนซีเขาเป็นคนที่เกือบจะยุ่งอยู่ตลอดเวลาอย่างแท้จริง ด้วยความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับค่ายกล ทำให้หลายครั้งที่มนุษยชาติชนะการต่อสู้ เกือบทั้งหมดเขาก็มีส่วนร่วมด้วย จึงได้เป็นหนึ่งในสามนายพลติงหยวนที่ทุกคนเคารพนับถือ
ทว่าไม่รู้ว่าทำไมเช่นกัน เหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นในระหว่างวันนี้ได้แพร่กระจายไปในกองทัพอย่างกับไฟลามทุ่ง แม้กระทั่งกงซุนซีกับหมิงฮุ่ยเอง ก็ยังพอจะได้ยินได้ฟังเรื่องนี้มาบ้างครั้งสองครั้ง
กงซุนซีขมวดคิ้ว เขาขบคิดก่อนจะส่ายหัว
ภิกษุหมิงฮุ่ย ก็เอาแต่พูด อามิตตาพุทธๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก ทว่ามิได้เอ่ยอะไรออกไปมากกว่านั้น
เพราะถึงแม้ว่าจะมีบางคนจะตายลงด้วยน้ำมือศิษย์นักปราชญ์ แต่เหล่าผู้ฝึกยุทธก็ยังมีสิ่งที่ควรทำ และต้องกระทำอยู่ จึงไม่มีเวลามามัวสนใจเรื่องราวพวกนี้มากมายนัก
มีเพียงนิกายหลิงเฉาเท่านั้น ที่ดูจะแสดงท่าทีแตกต่างออกไป
“แล้วนี่พวกเราไปมีปัญหากับสิบห้าดาบแห่งนิกายร้อยบุปผาได้อย่างไร?” อาวุโสคนหนึ่งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหม่นทะมึน
“นั่นเป็นอุบายของนายพลหวู่สิงเหวิน” อาวุโสอีกคนถอนหายใจ “ข้อมูลที่เขานำมาให้ข้าดู เหนือขึ้นไปในส่วนของภารกิจที่เขาเคยกระทำมา มิได้มีเขียนเอาไว้ว่ากู่ฉิงซานผู้นี้สังกัดนิกายร้อยบุปผา”
มองไปยังคนในนิกายที่บนใบหน้าปรากฏชัดถึงความวิตกกังวล เขาก็กัดฟันแน่นและกล่าว “เราหยุดพูดคุยถึงเรื่องนี้กันดีกว่า ทุกอย่างมันจะต้องไม่เป็นอะไรสิ หากนักปราชญ์ไป่ฮั่วได้ทำการลงมือตรวจสอบด้วยตัวเองอย่างรอบคอบในอนาคต และหากนางได้ทำการค้นวิญญาณข้า ตัวข้าก็จะบอกกล่าวเรื่องราวให้กระจ่างแจ้งเอง เพื่อรับประกันความปลอดภัยของนิกายเรา”
“แต่เรื่องของอสูรวิญญาณ…”
“โอ๋…ตรงส่วนนี้ข้าก็มิทราบเช่นกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“จริงงั้นหรือ…”
...
อีกด้านหนึ่ง สามนายพลติงหยวนได้แยกกันออกไปยังแท่นเวทีสามจุด และเริ่มออกคำสั่งเพื่อจัดการบุคลากรทางกองทัพ
หวู่สิงเหวินยืนอยู่บนแท่นเวที ปากเอ่ยกล่าวเริ่มจัดเรียงแนวทัพของการสู้รบขั้นแตกหัก
“พันเอกหวางแห่งนิกายหลิงเฉา!”
“ขอรับ”
“เจ้ารับผิดชอบการเฝ้าระวังส่วนหน้า!”
“น้อมรับคำสั่ง!”
“พันโทแห่งนิกายหลิวหยุนเหมิน!”
“ขอรับ”
“เจ้ารับผิดชอบทางปีกซ้าย มุ่งเน้นไปยังการใช้เทคนิคมนตราจู่โจม”
“น้อมรับคำสั่ง”
“พันเอกเหลิงแห่งนิกายเหยากวาง”
“ขอรับ” เหลิงเทียนสิงกล่าว
“เจ้ารับผิดชอบในส่วนหน้า ตำแหน่งโจมตีด้วยเทคนิคมนตรา”
“น้อมรับคำสั่ง!”
“นายพลชั้นโหยวจี หนิงเยว่ฉาน”
“เจ้าค่ะ”
“เจ้ารับผิดชอบในการสั่งการกองพันทหารม้าในส่วนหน้า และปีกข้าง จงบัญชาให้พวกเขาห้าวหาญ ปลดปล่อยพลังดั่งคลื่นยักษ์ที่ซัดสาดศัตรูซะ”
“น้อมรับคำสั่ง!”
ทันใดนั้นจู่ๆ หวู่สิงเหวนกลับนิ่งไป เขาขบคิดบางอย่าง และเอ่ยในทันทีว่า “อีกห้านิกายที่ยังเหลืออยู่ ให้แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม รับผิดชอบในเรื่องเม็ดยารักษา ดิสก์ค่ายกล หรือการขนส่งยุทโธปกรณ์อื่นๆ ทางกองทัพ”
ฝูงชนต่างหันไปมองกันและกัน ก่อนจะพบว่านิกายที่หลงเหลืออยู่มี นิกายร้อยบุปผา วังหลิงหยาน สำนักดาบหยวนชี นิกายฟูเสี่ยวซาน และสุดท้าย นิกายหยุนเจี่ยว
วังหลิงหยาน สำนักดาบหยวนชี นิกายฟูเสี่ยวซาน และนิกายหยุนเจี่ยว นั้นมีจำนวนสาวกอยู่หลายสิบคน หลังจากได้รับฟังคำสั่ง พวกเขาก็เริ่มจัดตั้งทั้งสองทีมขึ้นมาทันที
มีเพียงนิกายร้อยบุปผา ที่มีกู่ฉิงซานอยู่เพียงลำพังยังคงยืนนิ่งอยู่อยู่ที่เดิมไม่ไปไหน
“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดจึงยังมีคนที่ไม่ไปประจำตำแหน่งอีก?” หวู่สิงเหวินกล่าวถามเสียงดังอย่างจงใจ
“ท่านบอกว่าแบ่งเป็นสองกลุ่ม พวกเราก็จัดการแบ่งเป็นสองกลุ่มเรียบร้อยแล้ว” ผู้ฝึกยุทธวังหลิงหยาน เปิดปากเอ่ย
“เหตุใดจึงมิเพิ่มเขาเข้าไปอีกหนึ่ง?” หวู่สิงเหวินกล่าว
“สำหรับคนที่ฆ่าสังหารพวกเดียวกัน พวกเราไม่ต้องการ” ผู้ฝึกยุทธสำนักดาบหยวนชี เอ่ยพึมพำออกมา
ผู้ชมโดยรอบเงียบงัน
ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดจ้องมองไปยังกู่ฉิงซานด้วยแววตาเย็นชา แม้กระทั่งเหล่าผู้ฝึกยุทธภายใต้การบังคับบัญชาของนายพลคนอื่นๆ ก็ยังเบนสายตามาจ้องมองเขา
“ฮ่าๆ นั่นแหละดี นี่แหละคือสิ่งที่ควรจะเป็น”
“บุคคลเช่นนี้ มิเพียงแค่กล่าวคำลวง แต่ยังแก้แค้นสหายร่วมกลุ่มด้วยความแค้นส่วนตัว ใครเล่าจะอยากรับเขาไว้”
“ศิษย์นักปราชญ์อะไรกัน? หากมิใช่เพราะพวกอสูรวิญญาณบอกเล่าสิ่งที่พวกมันเห็นออกมาแล้วล่ะก็ จนกระทั่งตอนนี้พวกเราก็ยังคงถูกหลอกลวงโดยเขาอยู่”
“เอาง่ายๆ ขอเพียงพวกเราอยู่ให้ห่างจากเขาก็พอแล้ว ปล่อยให้เขาวิ่งไปตายด้วยตัวเองนั่นแหละจึงสมควรที่สุด”
เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับพายุที่กำลังค่อยๆ ก่อตัว
หวู่สิงเหวินจ้องมองดูฉากนี้ด้วยรอยยิ้มจางๆ
“พอสักที!” ทันใดนั้นจู่ๆ บังเกิดเสียงดังขึ้น
จากทางฝั่งเวทีข้างๆ ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งได้กระโจนออกมา
เขามาหยุดยืนเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน ปากอ้ากว้างตะโกนลั่น “ฆาตกรอะไรกัน พวกเจ้าได้เห็นมันด้วยตาตนเองแล้วอย่างนั้นหรือ!?”
“ข้าเสียใจจริงๆ!”
“ในวันนี้ตั้งแต่ที่พวกเราทุกคนได้มาถึงค่ายทหาร สาวกอารามชิงหยุนก็วิ่งวุ่นพ่นคำลวงไปทั่ว ว่าร้ายนิกายร้อยบุปผาของข้า นี่พวกเจ้ามิอาจแยกแยะ หรือละอายใจกันเลยรึไง?”
“ไม่ว่าจะมองมุมไหน การกระทำเช่นนี้ ดูก็รู้ว่าเป็นการจงใจใส่ร้ายกันชัดๆ”
ฉินเซี่ยวโหลวคำรามลั่น
ดูเขาจะยังระบายความโกรธออกมาไม่มากพอ สองเท้าเดินตรงไปยังเบื้องหน้าและชี้นิ้วไปยังหวู่สิงเหวิน “เจ้าเป็นถึงนายพลชั้นติงหยวน ทว่ากลับประดิดประดอยข่าวลือให้แพร่สะพัดไปทั่วทุกพื้นที่ก่อนสงครามจะเริ่มต้นขึ้น บ่อนทำลายขวัญกำลังใจทหาร ข้าขอถามเจ้า แท้จริงแล้วสติสตางค์ของเจ้ามันเป็นอะไรไปแล้วกันแน่?”
“เจ้ากล้า!” หวู่สิงเหวินลุกพรวดออกมาทันที “เป็นเพียงนายทหารชั้นพันโทเล็กๆ ขวัญกล้ากล่าวหาข้าอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้เลยหรือ!”
“เรื่องนี้ทุกผู้คนต่างรู้ดีแก่ใจ แต่ก็ยังเลือกที่จะพูดต่อๆ กันไปเพียงเพราะความยุติธรรมที่อยู่ในจิตใจของพวกเขา แต่กับเจ้าน่ะมันมิใช่!”
“เจ้า...!”
ปราณของฉินเซี่ยวโหลวปะทุคุกรุ่น แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะสวมใส่เกราะรบนายพลขั้นติงหยวนและกำลังปลดปล่อยคลื่นพลังวิญญาณอันทรงพลานุภาพออกมา หรือถูกจดจ้องโดยสายตาเย็นเยียบจากบรรดาผู้ฝึกยุทธอารามชิงหยุน เขาก็มิสะทกสะท้าน
ฉินเซี่ยวโหลวหันหัวกลับ คว้าแขนของกู่ฉิงซานและพาเดินถอยฉากออกไป
“ศิษย์น้อง ไปกันเถอะ พวกเราจะไปทางฝั่งนายพลกงซุนกัน บรรยากาศทางฝั่งนี้มันไม่ดีเอาเสียเลย”
“ช้าก่อน!” หวู่สิงเหวินตะโกน
“เจ้าต้องการสิ่งใดอีก? พวกเราอยู่ไปเจ้าก็ไม่สบายอารมณ์ เช่นนั้นปล่อยให้จากไปไม่ดีกว่าหรือ?” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าว
“กู่ฉิงซานคือนายทหารชั้นพันตรีภายใต้การบังคับบัญชาของข้า เช่นนั้นเขาจะไปกับเจ้าได้อย่าง?” หวู่สิงเหวินเชิดหน้าขึ้น ปากเอ่ยกล่าว
“เจ้าว่าเขาเป็นอะไรนะ?”
“เป็นนายทหารชั้นพันตรีภายใต้การบังคับบัญชาของข้า!”
“เหอะ เจ้าทราบด้วยหรือว่าเขาเป็นนายทหารชั้นพันตรี ข้ามิเคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลยว่านายทหารชั้นพันตรี จะต้องรับผิดชอบหน้าที่ในด้านการขนส่งยุทโธปกรณ์ทางทหาร นี่ยังไม่นับเรื่องที่เจ้าไม่ไว้หน้านิกายร้อยบุปผาของข้าอีก!”
หวู่สิงเหวินยิ้มเย็น “แล้วการขนส่งเสบียงมันไม่ดีอย่างไร ดูเจ้าซี กระทั่งเจ้าที่เป็นถึงนายทหารชั้นพันโท ยังมิอาจออกไปสู้รบได้เลย เจ้าสามารถออกไปเข่นฆ่าศัตรูได้หรือไม่เล่า?”
“นี่เจ้า…” บรรยากาศรอบกายฉินเซี่ยวโหลวสั่นกระเพื่อมด้วยความโกรธ ทว่าเขากลับไม่สามารถเอ่ยสวนกลับไปได้
กู่ฉิงซานดึงเขา วางมือบนไหล่และเอ่ยอย่างจริงจัง “ศิษย์พี่ สงบสติอารมณ์ไว้ ท่านต้องตั้งใจฟังข้าอย่างใจเย็น”
ฉินเซี่ยวโหลวมองดูเขาด้วยคู่ดวงตาแดงเรื่อ
กู่ฉิงซานยังคงสงบ เขากล่าวอย่างช้าๆ “หากท่านคิดว่าข้าเป็นศิษย์ของนักปราชญ์ไป่ฮั่วที่สามารถสรรค์สร้างเส้นทางเดินเชื่อมต่อไปถึงสรวงสวรรค์ได้แล้วล่ะก็ ตราบใดที่คิดว่าตนเองมิได้ทำผิด พวกเราก็ไม่สมควรจะไปใส่ใจกับสายตาของผู้อื่น”
“นับประสาอะไรกับชายชาตรีที่แท้จริง นี่เป็นเพียงสิ่งที่พวกเขาจะต้องพบเจออยู่บ่อยๆ ยามก้าวเดินในโลกใบใหญ่นี้ บ้างปะทะกับลม บ้างปะทะฝน บ้างถูกเหยียดหยันด้วยคำพูดและสายตา ปะปนกันไป”
“เฝ้าคอยให้ถึงวันหนึ่ง วันที่ท่านจะสามารถทำให้ผู้คนทั้งหมดหุบปากลงได้ มิกล้าเอ่ยเรื่องของท่านออกมาแม้เพียงครึ่งคำ นี่สิจึงจะเป็นวิธีการที่เหมือนดั่งเช่นท่านอาจารย์ของพวกเรา”
........................................