ตอนที่ 155 ลองอีกครั้ง
กู่ฉิงซานตระหนักได้ถึงบรรยากาศไม่สู้ดี เขาจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว “เจ้ากำลังวุ่นกับสิ่งใดอยู่กันเมื่อเร็วๆ นี้?”
“เตรียมตัวที่จะทำการทะลวงยุทธ”
“โฮ่ เตรียมตัวที่จะทะลวงอย่างงั้นสินะ เอ่อ ก็ดี เป็นเรื่องดีนี่นา...” ขณะที่กู่ฉิงซานกำลังตอบรับ จู่ๆ เขาก็ตกตะลึงไปอย่างฉับพลัน
เขาจ้องมองไปยังหนิงเยว่ฉานราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างแปลกๆ ติดอยู่บนใบหน้าเธอ
“เจ้า...ใช่ว่าครั้งก่อนที่เจอกัน เจ้าอยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบใช่หรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างลังเล
“ถูกต้อง”
“นั่นมันหมายความว่า”
“อย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ”
“แต่เจ้าพึ่งอยู่ในวัยเพียงยี่สิบต้นๆ เท่านั้นนะ!”
“ฮึ!”
หนิงเยว่ฉานกลับมาอารมณ์ดีดังเดิม เธอเชิดหน้าขึ้นจนเผยให้เห็นคอระหงอย่างภาคภูมิใจ
ในหัวใจของกู่ฉิงซานขณะนี้รู้สึกราวกับถูกคลื่นพายุซัดกระหน่ำเข้าใส่
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมระบบเทพสงครามจึงจัดให้ภารกิจช่วยชีวิตเธอเป็นภารกิจแห่งโชคชะตา
จำกันได้ไหมว่าเนื้อหาที่ภารกิจเคยบอกไว้นั้นคืออะไร?
กู่ฉิงซานรีบเปิดฟังก์ชันในฝั่งภารกิจที่บรรลุแล้ว เพื่ออ่านคำอธิบายอย่างรวดเร็ว
“คำอธิบายภารกิจ กงซุนซีและหนิงเยว่ฉาน เป็นตัวตนที่ถูกฝังรากลึกอยู่ในประวัติศาสตร์ หากสามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของพวกเขาได้ ทิศทางในหน้าประวัติศาสตร์ทั้งหมดก็จะเปลี่ยนไป”
กู่ฉิงซานอ่านเสร็จก็ถอนหายใจออกมา
สมแล้วที่หนิงเยว่ฉานได้รับการประเมินจากระบบเทพสงครามว่าเธอโดดเด่นมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงหน้าประวัติศาสตร์ได้หากไม่ตกตาย เพราะเพียงแค่รอดมาได้ไม่นาน นางก็เตรียมที่ก้าวขึ้นสู่ขอบเขตประทับเทพเสียแล้ว
ตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ปรากฏตัวตนที่โดดเด่นและน่าตื่นตะลึงมากมาย ทว่าตัวตนดั่งเช่นเธอ มันน้อยยิ่งกว่าจำนวนนิ้วบนฝ่ามือเสียอีก
พรสวรรค์โดยธรรมชาติดังกล่าวนี้ กล่าวได้ว่าเป็นที่รักของโชคชะตาอย่างแท้จริง ครั้นเมื่อนางหลุดพ้นออกจากโซ่ตรวนระหว่างความเป็นความตาย มันก็ส่งผลลัพธ์ดั่งปรากฏการณ์ผีเสื้อขยับปีก (บัตเตอร์ฟลายเอฟเฟค) จนกลายเป็นตัวตนระดับตำนานขึ้นมาอย่างแท้จริง
บางทีในอนาคตนางอาจจะได้ขึ้นเป็นนักปราชญ์คนที่สี่แห่งมนุษยชาติก็เป็นได้
หน้าประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้ กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
จากนั้น…
กู่ฉิงซาน ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะทำการตัดสินใจในที่สุด
เขาตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกมา
“ข้ามิได้พบเจอกับเจ้ามานานแล้ว ดอกไม้ดอกนี้ดูเหมาะสมกับเจ้าดี ข้าขอมอบมันให้แก่เจ้า”
“เจ้าจะให้ดอกไม้ข้าทำไม? ข้ามิได้หาตัวยากถึงเพียงนั้น” หนิงเยว่ฉานกล่าว ทว่านางก็รับดอกไม้มา
ดอกไม้นี่คือน้ำตามังกรที่ซิวซิวเคยไปหยิบมันมาให้แก่เขาในช่วงทะลวงด่าน มันจะมีประโยชน์ต่อจิตเทวะเป็นอย่างมาก กลิ่นหอมจางๆ ที่ดูละเอียดอ่อนทว่าหรูหรานี้สามารถติดตรึงในอากาศได้อย่างเนิ่นนานไม่จางหายไป หากนำก้านดอกจุ่มลงไปในน้ำ จะทำให้ยืดชีวิตของมันไปได้อีกหลายปี
“แน่นอนว่าน้ำตามังกรดอกนี้ ข้ามอบให้เพื่อเป็นการเอาอกเอาใจเจ้า” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างเฉียบขาด
“แต่เจ้าเป็นศิษย์ของนักปราชญ์ เหตุใดจึงยังคิดประจบข้า?” หนิงเยว่ฉานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
คิ้วของกู่ฉิงซานเลิกสูงขึ้น ปากเอ่ยกล่าว “ก็แล้วจะทำไมเล่า มีบางคนมาประจบประแจงมันไม่ดีหรือไร? หรือว่าจะเปลี่ยนกัน เป็นเจ้ามาเอาอกเอาใจข้า?”
หนิงเย่วฉานกวาดสายตามองกู่ฉิงซานขึ้นๆ ลงๆ เช่นเดียวกันกับท่าทีที่เขาพึ่งมองเธอเมื่อครู่
เธอยิ้มและส่ายหัว “ข้าจำต้องประจบประแจงผู้ที่อยู่แค่เพียงขอบเขตก่อตั้งด้วยหรือ…ฮี่ๆ”
การพูดเหน็บแนมของนาง ทำลายความได้เปรียบในบทสนทนาของกู่ฉิงซานไปโดยสมบูรณ์
หนิงเยว่ฉาน ดูจะเอาชนะเขาได้อีกครั้ง ทำให้เธอเริ่มอารมณ์ดีมากขึ้นเป็นพิเศษ
“งั้นลืมมันเถอะ” กู่ฉิงซานยื่นมือไปดึงดอกไม้กลับคืน
“ใครบอกเจ้าว่าข้าไม่เอา” หนิงเยว่ฉานเบี่ยงมือหนี และนำมันไปซ่อนไว้เบื้องหลังตนเอง
“เอาเถอะ แท้จริงแล้วเจ้าเป็นคนประเภทพูดอย่างทำอย่างสินะ” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยตาขุ่นเขียว
หนิงเยว่ฉานไม่สนใจคำกล่าวของเขา นางยกดอกน้ำตามังกรขึ้นมาสูดดม ใบหน้าเผยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ
หลังจากที่รับตัวกู่ฉิงซานขึ้นมา เรือเหาะก็แล่นไปได้ไม่นาน ก่อนที่ทั้งสองจะร่อนลงสู่ป่ารกร้างอย่างรวดเร็ว
การเหินอากาศเป็นเวลานานย่อมดึงดูดความสนใจของพวกเผ่ามาร ดังนั้นการเดินเท้าทางพื้นดินย่อมปลอดภัยกว่า
หลังจากที่ทั้งสองจากไป
ปรากฏรูปร่างที่ดูราวกับภาพฝันขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่า
รูปร่างนี้ค่อนข้างโปร่งใสเล็กน้อย ตัวผอมบางราวกับปีกจักจั่น เหมือนจะเป็นเพียงร่างเงาของตัวตนบางอย่าง
ร่างเพรียวบางงดงามที่ดูราวเป็นจิตวิญญาณของหญิงสาวทรงเสน่ห์ จ้องมองตามทิศทางที่ทั้งสองจากพึ่งไป
“ค่ายทหาร…”
เสียงกระซิบอันแผ่วเบา จางหายไปพร้อมกับร่างเงาที่บางเบาจนแทบจะไม่สามารถสังเกตเห็นได้
ตกดึก กู่ฉิงซานก็กลับมาถึงค่ายทหารในที่สุด
เขาส่งยันต์สื่อสารออกไป แล้วไม่นานเหลิงเทียนสิงก็กลับมา
เหลิงเทียนสิงมองหนิงเยว่ฉานด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะสลับไปมองกู่ฉิงซานอีกครั้ง และทำทีเหมือนว่าเขาได้เข้าใจบางอย่าง
อย่างไรก็ตาม สีหน้าของเหลิงเทียนสิงยังคงเรียบเฉย เขาเพียงเอ่ยทักทายหนิงเยว่ฉานแค่เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
‘เหลิงเทียนสิง เจ้าหมอนี่มันฉลาดรู้งานไม่เลวเลย แม้กระทั่งท่าทีที่แสดงออกมาก็ยังยอดเยี่ยมมาก’
กู่ฉิงซานคิดในใจ ก่อนเอ่ยปากถามถึงภารกิจ
“ภารกิจน่ะหรือ? เสร็จสมบูรณ์แล้ว เหลือเพียงแค่ต้องรีบไปส่งรายงานในตอนนี้ มิฉะนั้นหากสายคงต้องถูกตำหนิ” เหลิงเทียนสิงกล่าว
ดังนั้น พวกเขาจึงเข้าไปในค่ายด้วยกัน และตรงไปยังเต็นท์ทหาร
...
ณ พระราชวังร้อยบุปผา
ยันต์สื่อสารลอยเข้ามา และตกลงเบื้องหน้านางเซียนไป่
นางเซียนไป่คว้ามัน และกวาดจิตสัมผัสเทวะลงไป และจู่ๆ ก็หัวเราะออกมาทันที
“น่าสนใจ! นี่มันน่าสนใจยิ่ง!”
ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น และความตื่นเต้นที่ได้พบเจอกับสิ่งใหม่ๆ
น้อมสวรรค์ซวนหยวนกับนักพรตเป่ยหยวนยืดหลังตรงทันที สายตาจ้องมองเธอด้วยความเคร่งขรึม
“นางเซียน วันพรุ่งนี้จะต้องทำการสู้รบขั้นแตกหักแล้ว ท่าทีผ่อนคลายเช่นนี้ของเจ้ามันคืออะไรกัน?” น้ำเสียงของซวนหยวนดูจะเข้มงวดขึ้นนิดหน่อย
เขาไม่เคยพูดจากับเซี่ยหลิงเต๋าเช่นนี้มาก่อนเลย แต่ในเวลานี้ แม้กระทั่งปราณในอากาศรอบตัวก็ยังคุกรุ่นขึ้นเล็กน้อย
ชายสองคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ยืนรอนางจนรากงอกมามากกว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว ทว่าสุดท้าย นางกลับเอ่ยปากออกมาเพียงแค่คำว่าน่าสนใจ
แม้กระทั่งสีหน้าของนักพรตเป่ยหยวนก็ยังดูไม่สู้ดีนัก
นางเซียนไป่มองลงไปยังท่าทีของทั้งสอง ก็เข้าใจได้ในทันที
“เอาล่ะๆ วันพรุ่งคือวันเริ่มการสู้รบขั้นแตกหักใช่หรือไม่ เช่นนั้นข้าจะบอกเล่าถึงข้อมูลที่พึ่งได้รับมาก็แล้วกัน” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“พวกเราต้องการทราบถึงรายละเอียดเพิ่มเติม” สองนักปราชญ์เอ่ยขึ้นพร้อมกัน
ผ่านไปครู่หนึ่ง
สีหน้าของนักปราชญ์ทั้งสามคนก็แตกต่างกันออกไป
นักพรตเป่ยหยวนประกบสองฝ่ามือเข้าด้วยกัน พนมมือสวดภาวนาถึงพระพุทธเจ้า “อามิตตาพุทธ เดชะบุญจริงๆ ที่ได้รับรู้เรื่องนี้ มิฉะนั้นเกรงว่าพวกเราคงมิแคล้วต้องพบกับการสูญเสียครั้งใหญ่เป็นแน่”
น้อมสวรรค์ซวนหยวนกล่าว “แต่ยังไม่ทราบชัดเจนว่าข้อมูลนี้ถูกต้องหรือไม่? บางทีมันอาจจะเป็นเพียงเรื่องผิดพลาด”
นางเซียนไป่กล่าว “ศิษย์ข้ามิเคยหลอกลวงผู้คน นับประสาอะไรกับข้อมูลที่สำคัญถึงเพียงนี้”
“เช่นนั้นพวกเราก็สมควรที่จะเริ่มออกเดินทางทันที มุ่งไปยังแนวหน้า เพื่อกำจัดภยันตรายที่ซ่อนเร้นอยู่” ซวนหยวนกล่าว
“ช้าก่อน” นางเซียนไป่ฮั่วยิ้ม “น้อมสวรรค์เจ้ามิควรกระโตกกระตากไป สำหรับเรื่องนี้ ศิษย์ข้าได้มีข้อเสนอบางอย่าง และข้าก็ตกลงไปแล้วโดยมิได้รับความเห็นชอบจากทางกองทัพ ทว่าพวกเราสามารถทำการทดสอบมันได้ทันที”
บนใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน น้ำเสียงนุ่มลึกแลดูสุภาพ บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่านางกำลังอารมณ์ดีอยู่
“ตกลงไปแล้วโดยมิได้รับความเห็นชอบกับทางกองทัพ…นี่มัน...” น้ำเสียงของซวนหยวนแหบแห้ง
มันเป็นเรื่องที่ดีก็จริงที่ได้รับข้อมูลดังกล่าว ทว่าเรื่องที่คิดจะแหกยุทธวิธีทางการทหารนี่มันอะไรกัน? มันใช่เรื่องนำมาล้อเล่นหรือไม่?
อย่างไรก็ตาม ด้วยการบอกเล่าอธิบายถึงเรื่องข้อเสนอที่ว่าของนางเซียนไป่ฮั่ว ดวงตาของซวนหยวนก็เบิกกว้าง ปากอ้าเผยอขึ้นเล็กน้อย มิอาจหุบลงได้อยู่เนิ่นนาน
หลังจากครึ่งชั่วยามผ่านพ้นไป สามปราชญ์ที่ถูกเรียกกันว่าไตรภาคี ก็หารือตัดสินใจได้ในที่สุด ก่อนทะยานขึ้นไปในเมฆบนท้องฟ้า และบินออกไปจากวังร้อยบุปผา
...
ณ ค่ายทหาร
เหลิงเทียนสิงกับกู่ฉิงซานได้ทำการส่งมอบภารกิจ แต่พวกเขาก็ถูกกักตัวไว้โดยนายพลหวู่สิงเหวิน
หวู่สิงเหวินกระแอมไอเบาๆ และเอ่ยถาม “กู่ฉิงซาน ยามที่เจ้ามายังค่ายทหารในครั้งก่อน เจ้าได้ทำการตัดหัวคนที่เรียกว่า หลี่ชูเฉินใช่หรือไม่”
‘เจ้าบ้านี่มันน่ารำคาญจริงๆ ทำไมถึงยังลากฉันเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้ไม่จบไม่สิ้นสักทีนะ?’ กู่ฉิงซานเหลือบมองเขาและเอ่ย “มิใช่ว่าท่านทราบอยู่แล้วหรอกหรือ”
“เหตุใดเจ้าจึงต้องฆ่าเขา” หวู่สิงเหวินกล่าว
“ไม่เชื่อฟังคำสั่งทางทหาร และหลบหนีไปซ่อนตัวในช่วงเวลาสำคัญ” กู่ฉิงซานกล่าว
ทันใดนั้นเอง หวู่สิงเหวินที่กำลังจ้องมองเขาก็เผยรอยยิ้มออกมาทันที
เป็นรอยยิ้มแห่งความสาสมใจ
“เกรงว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้น เอาล่ะ ดูเหมือนว่าคำบอกเล่าของคนอื่นๆ จะแตกต่างไปจากเจ้านะ” เขากล่าวพลางโบกมือ
มองไปยังกลุ่มคนที่เข้ามาในเต็นท์ทหาร
ทั้งหมดคือคนของนิกายหลิงเฉา
“ฆาตกร!” ศิษย์น้องของหลี่ชูเฉินตะโกน
สองตาของกู่ฉิงซานหรี่แคบลง
อาวุโสในนิกายหยุดสาวกที่กำลังมีอารมณ์ร้อน ก้าวออกมายังเบื้องหน้าและคารวะทักทายหวู่สิงเหวิน
เขากล่าว “ท่านนายพล พวกเราได้ค้นพบหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าการกระทำของกู่ฉิงซานเป็นการฝ่าฝืนวินัยทางทหาร เป็นการฆ่าเพื่อนร่วมทีมโดยความแค้นส่วนตน!”
“ดีมาก ถ้าเช่นนั้นก็จงนำหลักฐานออกมา ข้าจะทำการตัดสินอย่างยุติธรรมเอง” หวู่สิงเหวินเอนตัวพิงพนักเก้าอี้เบื้องหลัง
ผู้อาวุโสนิกายหลิงเฉา หยิบถุงอสูรวิญญาณห้าใบออกมา แล้ววางมันลงบนพื้นทีละใบ ทีละใบ
“นี่คือถุงอสูรวิญญาณที่หลี่ชูเฉินได้ทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง พวกมันถูกนำกลับมาจากในสถานที่ที่เขาตกตาย” เขากล่าว
“ก็ใช่ นั่นคือสิ่งที่ข้าทิ้งเอาไว้เอง” กู่ฉิงซานกล่าว
“และนี่แหละคือวงจรแห่งสังสารวัฏที่จะทำให้เจ้าต้องได้รับผลจากการกระทำของตนเอง!” ศิษย์น้องของหลี่ชู้ฉินกัดฟันกรอด
ผู้อาวุโสของนิกายหลิงเฉาจ้องมองไปยังกู่ฉิงซานด้วยเจตนาร้าย ก่อนจะเปิดถุงอสูรวิญญาณทั้งห้าออกมา ทีละใบ ทีละใบ
ห้าอสูรวิญญาณที่มีรูปร่างแตกต่างกัน ปรากฏขึ้นมาทันที
ทั้งหมดมองไปยังเหล่าผู้ฝึกยุทธ และบอกกล่าวเรื่องราวที่แตกต่างกับของกู่ฉิงซานออกไปอย่างสิ้นเชิง
ในการบอกเล่าเรื่องราวของพวกมัน ต่างเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่า กู่ฉิงซานนั้นมองหลี่ชูเฉินเป็นตัวปัญหา เนื่องจากหลี่ชูเฉินมิคิดประจบประแจงเขา จนในที่ก็ได้มีปากเสียงกับกู่ฉิงซานอย่างร้ายแรง
กระทั่งถึงจุดนี้ นายพลชั้นติงหยวน หวู่สิงเหวิน ก็ขัดจังหวะพวกมันและกล่าว “เช่นนั้นพวกเจ้ากำลังจะบอกว่า ที่กู่ฉิงซานบังคับวินัยทางทหารโดยการตัดหัว เพียงเพราะต้องการใช้เป็นข้ออ้างในการแก้แค้นหลี่ชูเฉินใช่หรือไม่?”
อสูรวิญญาณทั้งห้าพยักหน้าโดยพร้อมเพรียง
หวู่สิงเหวินโบกมือและกล่าว “นำตัวไป่ไฮ่ตงมา แล้วก็พวกห้าผู้ฝึกยุทธหญิงด้วย”
เมื่อผู้คนได้มาถึง หวู่สิงเหวินก็ทำการสอบปากคำด้วยตัวเองเลยโดยตรง
ผลลัพธ์ของการสอบปากคำที่ได้ก็คือ มันสอดคล้องกับคำกล่าวก่อนหน้านี้ของกู่ฉิงซานโดยสมบูรณ์
หวู่สิงเหมินจ้องมองไปยังทางฝูงชน และสลับไปมองอสูรวิญญาณทั้งห้า สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นปั้นยากอีกครั้ง
เหล่าผู้ฝึกยุทธที่ถูกเรียกตัวมานี้ ได้ผ่านการสอบปากคำไปได้ด้วยดี การสอบปากคำจะถูกสอบโดยผู้ที่มีดวงตาสามารถจับผิดได้
ทว่าพวกอสูรวิญญาณ อสูรวิญญาณเทวะ จะแตกต่างกันกับมนุษย์ นั่นคือพวกมันไม่สามารถถูกทำการสอบปากคำได้
ในตอนนั้นเอง อสูรวิญญาณพยัคฆ์ตาฟ้าก็คำรามออกมา “เจ้าพวกมนุษย์ทั้งหลาย วิสัยทัศน์ของพวกเจ้าน่ะจะแตกต่างกันกับพวกเราชาวอสูร พวกเราสามารถเห็นถึงปราณที่หลี่ชูเฉินได้รับ มันเป็นปราณที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นของผู้ที่ลงมือสังหารเขา ซึ่งพวกเจ้ามิอาจมองเห็นมันได้”
“ดังนั้นการสอบปากคำของพวกเจ้าจึงมิเกิดข้อผิดพลาดใดๆ พวกเจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากู่ฉิงซานน่ะเป็นตัวตนแบบไหน”
“ข้อสรุปที่ได้ก็คือ กู่ฉิงซานต้องการลอบสังหารหลี่ชูเฉินอย่างลับๆ และในที่สุดก็หาจังหวะได้ โดยการกล่าวอ้างว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อฟังคำสั่งทางทหาร”
“ผายลมเถอะ!”
“วาจาไร้สาระ!”
“มันมิได้เป็นเช่นนั้นเลย”
ไป่ไฮ่ตงและเหล่าผู้ฝึกยุทธหญิงโต้กลับเสียงดัง
ขณะนั้นเอง ผู้อาวุโสนิกายหลิงเฉาก็ก้าวออกมา ปากเอ่ยกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมพวกเราไม่ใช้วิธีการค้นวิญญาณดูเล่า?”
เมื่อประโยคนี้เปล่งออกมา ทั่วทั้งเต็นท์ก็ตกอยู่ในความเงียบงัน
การค้นวิญญาณเป็นเทคนิคมนตราที่มีความยากค่อนข้างสูง นอกจากนี้มันยังมีความเสี่ยงต่อจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธอีกด้วยหากผู้ใช้ไม่ระมัดระวัง มันเป็นเรื่องง่ายดายยิ่งที่จะทำให้จิตเทวะเกิดความเสียหายอย่างถาวร
“ข้าอนุมัติ! ด้วยวิธีนี้ จะทำให้สามารถค้นพบความจริงได้ในทันที” หวู่สิงเหวินตบโต๊ะและกล่าว
สาวกนิกายร้อยบุปผาถูกทำการค้นวิญญาณ ความหมายของการกระทำเช่นนี้ย่อมมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ตามมาอย่างแน่นอน
กล่าวได้ว่า แม้กู่ฉิงซานจะพิสูจน์แล้วว่าตนบริสุทธิ์ ทว่าหลังจากที่เขาถูกต้องสงสัยว่าคิดไม่ซื่อกับสหายในทีม และได้รับการค้นวิญญาณ
เมื่อถูกค้นวิญญาณ แม้เพียงครั้งหนึ่ง บนร่างกายของคนผู้นั้นก็จะถูกตีตราว่าเคยตกเป็นผู้ต้องสงสัยทันที
หลังจากนี้ไปโดยไม่ต้องคำนึงว่าจะถูกหรือผิด ไม่ว่าอย่างไรชื่อเสียงของกู่ฉิงซานก็จะด่างพร้อย ยามที่ผู้คนมองดูเขาก็จะเป็นไปด้วยสายตาหวาดระแวง
นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ในอนาคต สาวกของนิกายร้อยบุปผาก็จะมิสามารถเชิดหน้าชูตาขึ้นได้อีกเลย นี่ยังไม่รวมถึงการที่เขามีปัญหากับทางอารามชิงหยุนอีกนะ
กู่ฉิงซานมิได้มองไปยังผู้อาวุโสนิกายหลิงเฉา แต่กลับมองตรงไปยังหวู่สิงเหวิน ปากเอ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ “ค้นวิญญาณ? แท้จริงแล้วท่านก็ต้องการให้ทุกอย่างมันออกมาในรูปแบบนี้นี่เอง”
“ข้าเคยใช้วิชาค้นวิญญาณมาก่อน ขอให้ข้าเป็นคนลงมือเถอะ” อาวุโสนิกายหลิงเฉาดึงแขนเสื้อตนเองขึ้น ก้าวเดินออกมายังเบื้องหน้า
หนิงเยว่ฉานก้าวออกมายืนขวางเขาทันที
“นักบุญหญิง นี่เจ้ากำลังคิดจะทำอะไร ท่านนายพลใหญ่ได้กล่าวอนุมัติแล้วนะ” อาวุโสเอ่ยด้วยสีหน้าคาดไม่ถึง
“มิได้ เจ้าไม่อาจทำการค้นวิญญาณได้” หนิงเยว่ฉานกล่าว “เจ้าไม่เพียงเป็นคนใส่ความเขา แต่ยังคิดจะค้นวิญญาณเขาด้วยตัวเองอีก เช่นนี้มันจะไม่มากเกินไปหรือ”
“มากเกินไป? อสูรวิญญาณไม่มีทางหลอกลวงผู้คน เป็นเขานั่นแหละที่ฆ่าสาวกร่วมนิกายของพวกเรา!” เหล่าผู้ฝึกยุทธรุ่นเยาว์พากันตะโกนออกมา
........................................