ตอนที่ 141 ทำลายมาร
ค่ำคืนได้ผ่านพ้นไป
วันที่สอง
ยามรุ่งสาง
กระเรียนขาวเชิดหน้าขึ้น ทะยานตัวไปบนท้องฟ้า บินออกจากวังร้อยบุปผามุ่งหน้าสู่สถานที่ห่างไกล
กระเรียนตัวนี้มีความปราดเปรียวเป็นอย่างยิ่ง เมื่อใดก็ตามที่มันกระพือปีกจะปรากฏเมฆาเพลิงลุกโชนขึ้นรอบตัว
เมื่อเหล่าผู้ฝึกยุทธตามรายทางที่พบเห็นเมฆาเพลิงที่ลุกโชติช่วง ทั้งหมดก็เข้าใจได้ในทันทีว่านี่คือหนึ่งในสัตว์ขี่ที่ว่องไวที่สุด กระเรียนเมฆาเพลิงค้นฟ้า
กระเรียนตัวนี้มิได้มีทรงพลังในด้านกำลังรบหรือพลังป้องกัน ที่มันโดดเด่นนั้นมีเพียงสิ่งเดียว นั่นคือความว่องไว
แม้ว่าผู้ฝึกยุทธจะสามารถเหินเวหาได้ ทว่าหากเป็นการต่อสู้ระยะยาวแล้วล่ะก็ ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็จำเป็นต้องใช้สัตว์ขี่อยู่ดี
แน่นอนว่าเรือเหาะก็พอจะใช้ทดแทนกันได้ ทว่ามันน่ะต้องใช้ศิลาวิญญาณเป็นแหล่งพลังงาน ขณะที่ทางฝั่งอสูรวิญญาณนั้นไม่จำเป็น จึงลดค่าใช้จ่ายศิลาวิญญาณไปได้หลายส่วน ที่น่าทึ่งก็คือ พวกมันต้องการเพียงเม็ดยาไม่กี่เม็ด ก็สามารถใช้เดินทางในระยะไกลได้แล้ว
อีกหนึ่งเหตุผลที่ว่าทำไมเหล่าผู้ฝึกยุทธส่วนใหญ่จึงไม่คิดเหินเวหาด้วยตนเอง เพราะมันจะเป็นการสูญเสียพลังวิญญาณอยู่ตลอดเวลา
ยิ่งขณะนี้เป็นช่วงเวลาแห่งสงคราม ทุกๆ เสี้ยวพลังวิญญาณอาจสามารถตัดสินความเป็นความตายของพวกเขาได้
ดังนั้นมันจึงจะเป็นการดีที่สุดที่จะเลือกใช้สัตว์ขี่ ผู้ฝึกยุทธไม่ต้องการที่จะสูญเสียพลังวิญญาณและกำลังกาย แม้ว่าจะสามารถฟื้นฟูมันได้โดยการทำสมาธิควบคุมลมหายใจ และเข้าสู่สภาวะฝึกฝนก็ตามที
กู่ฉิงซานนั่งอยู่บนหลังกระเรียนขาว เงยหน้าขึ้นมองไกลออกไป
ขณะนี้ พวกเขาได้ออกจากอาณาจักรร้อยบุปผาแล้ว ลอยข้ามผ่านนิกายฉานหลิง อารามหลิวหยุนเหมิน และสำนักดาบฉีซาน ตลอดเส้นทาง เริ่มปรากฏพื้นที่รกร้างมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ
ระหว่างทางก็พอจะมีเมือง พื้นที่เพาะปลูก และหมู่บ้านอยู่บ้าง แต่ด้วยความว่องไวของกระเรียนขาว ส่งผลให้กู่ฉิงซานมิอาจจ้องสังเกตพวกมันได้อย่างชัดเจน เนื่องจากไม่ทันไรวิสัยทัศน์ที่กำลังจดจ้องก็หายไปสุดสายตาแล้ว
ไม่นานพวกเขาก็ข้ามผ่านน่านฟ้ามาถึงสถานที่ที่ด้วยป่าอันรกร้างกว้างใหญ่
แม้จะมีหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ประปราย ทว่าภายในกลับไม่มีผู้คนอาศัยอยู่แล้ว
ทุกผู้คนไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาหรือผู้ฝึกยุทธ ต่างก็ได้รับคำแนะนำให้ย้ายออกไป
เพราะที่นี่อยู่ใกล้กับแนวหน้า
เบื้องล่างสองถึงสามผู้ฝึกยุทธกำลังกระจายตัวไปรอบๆ ตำแหน่งต่างๆ ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังจะสร้างค่ายกล
ที่นี่คือเขตกันชนในแนวหน้า หากเกิดการสู้รบขึ้นแล้วพ่ายแพ้ ค่ายกลเหลือนี้จะทำหน้าที่รับผิดชอบในด้านการป้องกันและตอบโต้กลับ
กู่ฉิงซานบินมาได้ประมาณหนึ่งชั่วยาม เขาก็พบกันค่ายทหาร
ถึงจะกล่าวว่ามันเป็นค่ายทหาร แต่พื้นที่ของค่ายเกือบทั้งหมดแทบจะเทียบเท่าได้กับเมืองขนาดกลางเมืองหนึ่งเลย ภายในค่ายวางไว้ด้วยกำแพงข่ายอาคมที่สูงหลายสิบเมตร บนท้องฟ้าคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกยุทธที่กำลังควบอสูรวิญญาณบินลาดตระเวนอยู่
หากจะกล่าวให้ชัดเจนมันสมควรเรียกว่าป้อมปราการสงครามเสียมากกว่า
“พวกเราก็ลงไปกันเถอะ” เขากล่าว
“ตกลง” กระเรียนเมฆาเพลิงค้นฟ้ากล่าว
เมฆาเพลิงร่อนลงมาและหยุดลงในพื้นที่เปิดโล่งส่วนหน้าของค่าย
กู่ฉิงซานหยิบเม็ดยาฟื้นฟูออกมาป้อนกระเรียนขาวและกล่าว “ขอบคุณที่เหนื่อย อันดับแรกเจ้าก็พักผ่อนก่อนเถอะ”
กระเรียนเมฆาเพลิงจิกกินเม็ดยาฟื้นฟู จากนั้นก็กลับเข้าไปในถุงอสูรวิญญาณ
กู่ฉิงซานก้าวตรงเข้าไปทางประตูค่าย
“เป็นผู้ใดกัน?” สองผู้ฝึกยุทธที่คุมทางเข้าเอ่ยถาม
“นายทหารพันตรี กู่ฉิงซาน มารายงานตัว” กู่ฉิงซานกล่าวพร้อมยื่นบัตรยืนยันตัวตนออกไป
ผู้คุมประตูรับบัตรยืนยันตัวตนมา ถ่ายเทพลังวิญญาณลงไป ทันใดนั้นบัตรยืนยันก็เปล่งประกายเจิดจ้า
เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณ แสงสว่างวาบก็ทะยานขึ้นไปบนอากาศ พร้อมปรากฏตัวอักษรขนาดใหญ่หลายตัวร้อยเรียงต่อๆ กันเป็นคำว่า “นายทหารพันตรี กู่ฉิงซาน”
ผู้คุมประตูรู้สึกได้รางๆ ว่าบัตรยืนยันตัวตนนี้มีร่องรอยของเจ้าหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้า พวกเขาจึงหันมาผงกหัวให้แก่กัน
เขาโยนบัตรยืนยันตัวตนกลับคืนให้แก่กู่ฉิงซาน “เจ้าไปได้”
กู่ฉิงซาน “ขอบคุณมาก”
เมื่อเข้ามาภายในค่ายทหาร เขาก็ต้องพบกับฉากที่ดูวุ่นวาย
“เม็ดยาฟื้นฟูในค่ายนี้ ผู้ใดกันที่เป็นคนเตรียมการ!?”
“ดิสก์ค่ายกลเล่าอยู่ที่ไหนกัน? ปรมาจารย์ค่ายกลได้ไปจัดการดิสก์ค่ายกลในกองพันทหารม้าแล้วหรือยัง วันพรุ่งทุกอย่างต้องเตรียมพร้อมแล้วนะ นั่นเขามัวทำอะไรอยู่!?”
“ใครก็ได้มาช่วยข้าประจำตำแหน่งเร็วเข้า ทางตะวันตกยังขาดอีกสองตำแหน่ง ข้าจำต้องออกไปช่วยเหลืออีกฝั่งด้วยตัวเอง”
หลากหลายผู้ฝึกยุทธมากมายตะโกนออกมา บ้างวุ่นอยู่กับงานตน บ้างวิ่งออกไปช่วยเหลือคนอื่นๆ รอบตัว ทั้งหมดยุ่งชนิดที่ว่าเท้าหยั่งไม่ถึงพื้น
กู่ฉิงซานเดินตรงไปยังโต๊ะที่มีผู้คนยืนต่อแถวเรียงราย และเมื่อถึงตาของเขา เขาก็วางบัตรยืนยันตัวตนลง
ผู้ฝึกยุทธที่นั่งอยู่หลังโต๊ะคว้าบัตรยืนยันตัวตนไป ประทับตราวิญญาณลง แล้วเอ่ยปาก “คนต่อไป”
กู่ฉิงซานเก็บบัตรอย่างรวดเร็วและตรงเข้าไปอีกห้องหนึ่ง
เขามองไปยังป้ายทางเข้า และเห็นแค่เพียงสามตัวอักษรถูกสลักเอาไว้ ‘คลังอาวุธ’
เมื่อย่างเท้าเข้าไป ผู้ฝึกยุทธที่คุมคลังก็คว้าจับบัตรยืนยันตัวตนของเขาไปทันที
ผู้คุมปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะ และถ่ายเทมันลงไปในบัตร
“นายทหารพันตรี เจ้ามาได้ทันเวลาพอดี”
ระหว่างกล่าว เขาก็หันไปยังคลังอาวุธ เพื่อหยิบชุดเกราะออกมาหนึ่งชุด
“จงตรวจสอบมันให้ดี หากมิพบปัญหาใดๆ ก็จงประทับลายนิ้วมือเสีย”
“เข้าใจแล้ว ขอบคุณท่านมาก”
กู่ฉิงซานหยิบชุดเกราะไปวางลงบนโต๊ะข้างๆ และกางมันออก
นี่เป็นชุดเกราะรบที่ฝังปราณดำและตราประทับสีแดงลงไป เหนือตราประทับขึ้นไปมีบางสิ่งอย่างบางที่มีขนาดเล็กมากๆ มันถูกติดตั้งไว้ในจุดที่ไม่โดดเด่น สิ่งที่ว่านี้ถูกเรียกกันว่า ‘รูนพลังวิญญาณของเกราะ’
เกราะอก เกราะไหล่ เกราะหมวก แขน มือ เข็มขัด ข้อเข่า และรองเท้า ล้วนเป็นของใหม่ที่มีคุณภาพดีเยี่ยมทั้งสิ้น
นี่คือชุดเกราะรบ แต่ละอุปกรณ์สวมใส่ล้วนอยู่ในระดับอาวุธจิต
หากยังคงจำกันได้ ระดับอาวุธจิตจัดได้ว่าอยู่กึ่งกลางจากในการจัดระดับอาวุธทั้งห้า ยิ่งไปกว่านั้นที่กู่ฉิงซานได้รับมายังเป็นถึงเกราะทั้งชุด!
ด้วยชุดเกราะรบนี้ อย่างน้อยในสนามรบมันจะสามารถช่วยให้เขามั่นใจได้มากขึ้น โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการลอบโจมตีของมารน้อยครองใจที่ช่ำชองในการลอบสังหาร
ส่วนชุดเกราะทองคำของหนิงเยว่ฉานนั้น เป็นเกราะรบขั้นสูงของระดับนายพล
การสวมใส่เกราะรบ จะช่วยให้สามารถยืนหยัดต่อสู้กับสู้กับเผ่ามารได้นานยิ่งขึ้น โดยที่เผ่ามารทั่วๆ ไปไม่อาจเจาะเกราะเข้ามาได้
ชุดเกราะรบนั้นถือได้ว่าเป็นไอเท็มมนตราชั้นยอด ทว่าแม้จะยอดเยี่ยม แต่ข้อเสียของมันคือจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรและเวลาในการสรรค์สร้าง แต่นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มันเลอค่าเช่นกัน
กู่ฉิงซานตรวจสอบมันอย่างรอบคอบ จากนั้นจึงกดลายนิ้วมือลงไป
เมื่อผู้คุมคลังเห็นว่ากู่ฉิงซานทำการตรวจสอบมันเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็วและกดประทับลายนิ้วมือลงไปโดยตรง ในหัวใจเขาก็บังเกิดความสุขขึ้น
ผู้คุมกล่าว “ดีมาก ต่อไปก็มาเลือกรับอาวุธของเจ้ากัน”
เขาเหลือบมองม้วนรายการ และกล่าวอย่างลังเล “ไหนขอข้าดูซิ ตามระดับของนายทหารยศพันตรี เจ้าสามารถเลือกอาวุธไปใช้ได้สองชิ้น ว่าแต่เจ้าจะเลือกใช้อาวุธอะไรกัน?”
กู่ฉิงซานนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปาก “ข้ามีอาวุธประจำกายอยู่แล้ว เช่นนั้นขอแลกเปลี่ยนอาวุธที่จะได้รับเป็น ‘ศรทำลายมาร’จะได้หรือไม่”
“ไม่ต้องการอาวุธทั้งสองชิ้น แต่ต้องการเพียงแค่ศรทำลายมาร?”
“ถูกต้อง”
ผู้คุมจ้องมองเขาอย่างจริงจังและกล่าว “ตามระดับของนายทหารยศพันตรี เจ้าสามารถเบิกศรทำลายมารได้ก็จริงแต่ก็ได้เพียงแค่หนึ่ง ทว่าหากเจ้าไม่รับอาวุธใดๆ เลย ข้าสามารถให้ศรแก่เจ้าได้ห้าดอก”
“ตกลงตามนั้น” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความยินดี
ผู้คุมเดินหายลึกเข้าไปในคลัง สักพักจึงเดินออกมาพร้อมกับอุ้มศรทั้งห้าเอาไว้
ตูม!
ลูกศรถูกวางลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงหนักทึบ
ผู้คุมพ่นลมหายใจออกมาและกล่าว “เจ้าสิ่งนี้มันหนักมากจริงๆ เชิญเจ้าลองตรวจสอบมันได้”
กู่ฉิงซานหยิบขึ้นมาหนึ่ง แล้วเฝ้าสังเกตแสงระยับของมัน
นี่คือศรทำลายมารที่เปล่งประกายไปด้วยแสงสีดำ จากปลายศรยาวไปจนถึงขนนกถูกแกะสลักไว้ด้วยรูนที่ดูซับซ้อน และประทับไว้ด้วยรูนขนาดเล็กๆ เต็มไปหมด กล่าวได้ว่าแทบจะไม่มีที่ว่างใดๆ บนตัวลูกศรเลย
เล่าลือกันว่าศรทำลายมารนั้นถูกสร้างขึ้นมาจากเหล็กอุกกาบาตที่ทรงประสิทธิภาพ แต่ด้วยปริมาณที่น้อยนิด โดยทั่วไปแล้วมันจึงมักจะถูกใช้ออกในการต่อสู้ครั้งสำคัญ และไม่ค่อยแจกจ่ายให้กับทหารทั่วๆ ไปสักเท่าไหร่นัก
นี่เป็นไอเท็มสำคัญที่จะสามารถช่วยชีวิตของเขาได้ในยามคับขัน ดังนั้นตัวศรจะต้องไม่มีปัญหาใดๆ กู่ฉิงซานเฝ้าสังเกตมันอย่างรอบคอบ
หลังจากที่เขาตรวจสอบทั้งห้าดอกจนเสร็จสิ้น กู่ฉิงซานก็รีบหันไปกล่าวกับอีกฝ่าย “ศรทั้งห้าไม่พบปัญหาใดๆ ขอบคุณท่านมาก”
“เช่นนั้นก็รับอาวุธไป แล้วทำการประทับลายนิ้วมืออีกครั้ง”
“ทราบแล้ว”
หลังจากที่กู่ฉิงซานรับอุปกรณ์ต่างๆ และจัดการเรื่องราวทั้งหมด เขาก็ถูกนำตัวมาอีกห้องโดยผู้ฝึกยุทธบังคับกฎ
ที่นี่เต็มไปด้วยผู้ฝึกยุทธหลายสิบคน ทั้งหมดนั่งลงอย่างเงียบๆ เฝ้ารอคำสั่งทางทหาร
ผู้บังคับกฏนำตัวกู่ฉิงซานมารวมตัวกับอีกสามผู้ฝึกยุทธ ก่อนจะเอ่ยปากกล่าวกับพวกเขา “พวกเจ้าจงเตรียมตัวให้พร้อม ยามเมื่อข้ามาเรียกตัวพวกเจ้าอีกรอบ พวกเจ้าเริ่มปฏิบัติภารกิจร่วมกัน”
กล่าวจบ ผู้บังคับกฎก็เดินจากไป
ผู้ฝึกยุทธอีกสามคนที่เหลือทำการตรวจสอบข้าวของของพวกเขา เพื่อดูว่ายังมีอะไรขาดหายไปหรือไม่
ส่วนกู่ฉิงซาน เขาถูกเชิญตัวไปอีกแห่งโดยผู้บังคับกฎ หลังจากที่สอบถามถึงสถานที่ ก็พบว่าเขากำลังจะตรงไปยังสำนักงานตรวจสอบความสำเร็จทางทหาร
ไม่นานนัก เขาก็กลับมาด้วยรอยยิ้มยินดี
ผู้ฝึกยุทธหลายคนในแผนกตรวจสอบความสำเร็จทางทหารได้รับแจ้งจากนายพลกงซุนซีและเฝ้ารอคอยการมาถึงของเขาตั้งแต่ช่วงเช้าแล้ว
หลังจากที่ได้รับข้อมูลเผ่ามารจากในมือของกู่ฉิงซาน ผู้ฝึกยุทธหลายคนก็มุงดูมัน ก่อนจะพากันสรรเสริญเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
นี่เป็นสิ่งที่ดีอย่างแน่นอน มันจะต้องมีผลกระทบและบทบาทสำคัญต่อแนวหน้า!
กู่ฉิงซานสามารถได้รับหนึ่งร้อยแต้มความสำเร็จทางกองทัพทันที
จากพันตรีเลื่อนยศขึ้นไปเป็นพันโทนั้น จำเป็นต้องการหนึ่งร้อยแปดสิบแต้มความสำเร็จทางทหาร นั่นหมายความว่าด้วยแต้มความสำเร็จทางทหารที่ได้มานี้ เขามาไกลกว่าครึ่งทางแล้ว
ความกดดันที่เกิดจากภารกิจแห่งโชคชะตาค่อยบรรเทาลงเล็กน้อย
เมื่อกู่ฉิงซานกลับมา เขาก็พบว่าอีกสามคนได้สวมเกราะรบเสร็จสิ้นแล้ว
........................................