webnovel

0108 ออกเดินทาง

ตอนที่ 108 ออกเดินทาง

ช่วงเวลาต่อมา กู่ฉิงซานก็ค่อยๆ ระลึกย้อนถึงเทคนิคดาบต่างๆ จากนั้นก็ฝึกฝนจนกระทั่งฟ้าสาง

และจู่ๆ ห่านขาวก็บินมาจากที่ใดก็ไม่ทราบ

“ข้านำข่าวดีมาบอกเจ้า อาหารเช้าจัดเตรียมไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อทานเสร็จเจ้าสามารถเริ่มออกเดินทางได้ทันที” ห่านขาวกล่าว 

“ทราบแล้ว” 

กู่ฉิงซานเก็บดาบพิภพ ก่อนจะรู้สึกตัวว่าทั่วร่างของตนเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ 

เขาชำระล้างร่างกายก่อนจะกลับไปยังวังหลานเฉา 

บนฟูก วางเรียงรายไปด้วยวัตถุดิบที่ใช้ในการฝึกฝน และด้านบนสุดของกองวัตถุดิบทั้งหมดก็มีปึกยันต์สีเหลืองใสวางอยู่ 

กู่ฉิงซานหยิบขึ้นมาแล้วดูมัน 

นี่คือยันต์สื่อสาร หลังจากใช้จิตสัมผัสเทวะของตนประทับลงไป ผู้อื่นก็จะสามารถใช้เจ้าสิ่งนี้ติดต่อกับตัวเขาเองได้ 

ก้มมองลงไปยังวัตถุดิบชิ้นแล้วชิ้นเล่าที่กองๆ รวมกันอยู่อีกครั้ง มันมีทั้งเม็ดยารักษา ดิสก์ค่ายกลทั่วไป อาหารแห้ง ศิลาวิญญาณ และเสื้อผ้าสำรอง มีเตรียมไว้อย่างพรั่งพร้อมและที่สำคัญคุณภาพของพวกมันล้วนเป็นชั้นหนึ่ง! 

ถัดจากวัตถุดิบฝึกฝน ปรากฏกองแผ่นหยกขนาดเล็กที่มีสีขาวราวหิมะวางอยู่ 

พร้อมกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่ด้านบนแผ่นหยก 

กู่ฉิงซานหยิบกระดาษขึ้นมาและถ่ายเทพลังวิญญาณลงไป 

เสียงของนางเซียนไป่ฮั่วดังตอบสนองขึ้น “แผ่นหยกเหล่านี้คือศาสตร์ลับของธาตุทั้งห้า ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นผู้ฝึกดาบ และสิ่งเหล่านี้มันไม่ควรค่าแก่การศึกษา ทว่าหลังจากที่เจ้าออกเดินทาง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องได้พบปะและพูดคุยกับคนผู้อื่น การมีมนุษยสัมพันธ์นับว่าเป็นสิ่งที่ดี หากเจ้ามอบศาสตร์ลับเหล่านี้ให้แก่พวกเขาไป พวกเขาจะต้องยินดีให้ความช่วยเหลือและเป็นสหายกับเจ้าอย่างแน่นอน” 

ศาสตร์ลับของธาตุทั้งห้า นี่มันเลอค่ายิ่งกว่าเทคนิคลับชั้นหนึ่งของเทคนิคมนตราจากธาตุทั้งห้าเสียอีก! พลังอำนาจของมันจะเพิ่มพูนจากธรรมดาเป็นเท่าทวี 

พลังของศาสตร์ลับนั้นทรงประสิทธิภาพยิ่ง ทว่าขณะเดียวกันมันกลับใช้ปริมาณพลังวิญญาณเทียบเท่ากับเทคนิคมนตราจากธาตุทั้งห้าในระดับเดียวกัน ดังนั้นมูลค่าของมันจึงมหาศาลยิ่ง 

ในห้องประมูล ตลอดทุกศาสตร์ลับที่เคยปรากฏ การดำรงอยู่ของมันมีค่าไม่ต่างจากเมืองเมืองหนึ่งเลย มันสูงยิ่งกว่าราคาของเทคนิคดาบอย่างเทียบไม่ติด 

เนื่องเพราะ สำหรับเทคนิคดาบ หากตนมิใช่ผู้ฝึกดาบก็มิอาจเรียนรู้มันได้ เช่นนั้นแล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไรสำหรับผู้คนหมู่มาก? 

ทว่าเทคนิคมนตราจากธาตุทั้งห้านั้นจะแตกต่างออกไป ตราบใดที่มันมีคุณสมบัติตรงตามรากวิญญาณ แม้จะต้องทำการศึกษาเรียนรู้อย่างเชื่องช้า แต่ทุกผู้คนก็จะสามารถเรียนรู้มันได้อย่างแน่นอน 

เทคนิคลับของธาตุทั้งห้าแต่ละเทคนิค ล้วนถือว่าเป็นการดำรงอยู่ของมรดกในนิกาย 

แต่เจ้าสิ่งนี้ นางเซียนไป่ฮั่วกลับมอบให้กู่ฉิงซานถึงหนึ่งกอง! หนึ่งกองนะไม่ใช่หนึ่งชิ้น! แถมยังบอกเขาว่าไม่ต้องนำไปฝึก แต่ให้นำไปแลกกับผู้คนเพื่อซื้อใจพวกเขา 

นี่แหละคือความแข็งแกร่งของนักปราชญ์! นี่คือความแข็งแกร่งของนางเซียนไป่ฮั่ว! 

กู่ฉิงซานหยิบกองแผ่นหยกที่บันทึกไว้ด้วยศาสตร์ลับลงในถุงสัมภาระ ภายในหัวใจของเขาปรากฏร่องรอยจางๆ ของกระแสความอบอุ่นขึ้นมาอีกครั้ง 

เขากลับไปยังวังร้อยบุปผาอย่างรวดเร็ว  

ฉินเซียวโหลวเตรียมอาหารเช้าอันหรูหราไว้เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้เขากำลังดึงใบหน้าที่ตึงเครียดของซิวซิวให้ยืดออกจนเห็นฟันซี่น้อยๆ และกล่าวแนะนำ 

“หากพบเจอผู้ฝึกยุทธแปลกหน้า จงอย่าไปสนใจพวกเขา ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ใดจงจับมือของศิษย์พี่สามเอาไว้ให้แม่นมั่น” เขากล่าว 

“อื้อ” ซิวซิวพยักหน้าอย่างแรง  

“ดีมาก เอาล่ะได้เวลาทานอาหารแล้ว” นางเซียนไป่ฮั่วนั่งลงบนที่นั่งทรงเกียรติและเอ่ยกล่าว 

พอได้ฟัง ทุกคนก็นั่งลงอย่างว่าง่าย และสำราญไปกับอาหารอันหรูหราในยามเช้า 

มื้ออาหารเช้าถูกทานจนเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว 

นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว “ในการทดสอบประจำปีนี้ ฉิงซานกับซิวซิวจะเดินทางไปด้วยกัน เจ้าทั้งสองจงจดจำคำสอนที่ข้าเคยกล่าวไว้ให้ดี” 

กู่ฉิงซานกับซิวซิวเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หูผึ่งทันที 

นางเซียนไป่ “ขอจงเดินทางอย่างปลอดภัย ทั้งขาไปและขากลับ ไปเปิดหูเปิดตาของพวกเจ้าเสีย ส่วนเรื่องอื่นไม่จำเป็นต้องไปกังวลใดๆ เกี่ยวกับมัน” 

กู่ฉิงซานกับซิวซิวชะงักงัน 

ความอึดอัดในจิตใจของซิวซิวก็พลันคลายลง 

ฉินเซี่ยวโหลวตะโกนขึ้นในทันใด “ท่านอาจารย์ ในปีที่ผ่านมา ในยามที่ท่านกล่าวกับข้าจึงแตกต่างไม่เหมือนกับในปีนี้” 

นางเซียนไป่ฮั่ว ถาม “แตกต่าง? มันแตกต่างกันอย่างไร?” 

“ในอดีตที่ผ่านมา ท่านกล่าวว่า เมื่อยามไปยังการทดสอบประจำปี หากกล้าที่จะทำให้ศักดิ์ศรีของท่านเสื่อมเสีย ท่านจะจับข้าโยนทิ้งลงไปในบ่อร้อยบุปผา ให้นอนแช่อยู่ในนั้นสามวันสามคืนมิปล่อยให้ลุกขึ้น” 

“อะแฮ่ม ก็ใครใช้ให้เจ้าไม่ยอมฝึกฝนอย่างจริงจังกันเล่า” 

“แต่พวกเขา...” 

“ฉิงซานกับซิวซิวเป็นศิษย์ฝึกหัดของข้า ไม่มีความจำเป็นใดๆ ต้องเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ ขอให้พวกเจ้าจงเดินทางไปกลับโดยสวัสดิภาพ” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าวอย่างแผ่วเบา 

“แล้วข้ามิใช่ศิ…”  

“เจ้ามันเป็นศิษย์จอมวายร้าย” 

“แต่ข้า...” 

“มีความสามารถมากพอที่จะชนะฉิงซานหรือไม่” 

ฉินเซี่ยวโหลวชะงัก เขาหยุดเอ่ยปากออกมาเป็นเวลานาน ก่อนจะถอนหายใจและกล่าวด้วยความอึดอัด “ท่านอาจารย์ที่เคารพ นี่มันถือว่าเป็นการดูหมิ่นเกียรติของศิษย์พี่ต่อหน้าศิษย์น้องนะ” 

ทันใดนั้น จู่ๆ เขาก็หันหน้าไปทางกู่ฉิงซานและกล่าว “ศิษย์น้อง ได้ยินมาว่าการทดสอบประจำปีในปีนี้ยิ่งใหญ่มากเป็นพิเศษ เหล่านิกายทั้งหลายต่างทุ่มออกอย่างเต็มกำลัง เจ้าจะต้องดูแลซิวซิวให้ดี” 

กู่ฉิงซานเอ่ยด้วยความสงสัย “ท่านกำลังจะกล่าวว่ามีใครบางคนกล้าที่จะทำร้ายซิวซิวอย่างนั้นหรือ?” 

“มิใช่เช่นนั้น” ฉินเซี่ยวโหลวเรียบเรียงคำพูดและเอ่ยกล่าว “ในบรรดานิกายต่างๆ ในโลกใบนี้ แน่นอนว่าพวกเราย่อมมีชื่อเสียง ทว่าช่วงเวลานับตั้งแต่ที่นิกายได้ก่อตั้งยังน้อยเกินไป แถมสาวกก็ยังมีน้อยนิดยิ่งกว่า หากเจ้าคิดจะประกาศศักดาของนิกาย...เจ้าเข้าใจใช่ไหมว่ามันมีบางคนที่ยังไม่ยอมรับ” 

เขาเอ่ยกล่าวตักเตือนอย่างจริงจัง “โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาลูกศิษย์ของอีกสองนักปราชญ์ นิกายใหญ่ของพวกเขาก่อตั้งมาแล้วกว่าหลายพันปี” 

ห่านขาวส่งเสียงฮึในลำคอและกล่าวอย่างฉับพลัน “ยังมีหน้ามากล่าวอีกรึ ในการทดสอบประจำปีครั้งล่าสุด เจ้าได้คุกเข่าร้องขอความเมตตาจากการถูกทุบตีโดยหนิงเยว่ฉาน กลับมาในสภาพยับเยิน บื้อใบ้ไม่พูดไม่จาอยู่เป็นวันๆ” 

บนใบหน้าของฉินเซี่ยวโหลวเริ่มแดงก่ำ เขาเชิดคอและเอ่ยกล่าว “ตัวข้าไม่คิดสนใจจะต่อสู้กับหญิงสาว!” 

แน่นอนว่าสำหรับกู่ฉิงซานที่ได้กลับมาจุติใหม่อีกครั้ง เขาย่อมรับรู้เรื่องราวอันสกปรกและน่ารังเกียจระหว่างนิกายต่างๆ ได้อย่างชัดแจ้ง เขาเอ่ยปากออกมาอย่างเคร่งขรึม “ข้าจะต้องปกป้องซิวซิวอย่างแน่นอน ท่านโปรดมั่นใจได้” 

เมื่อเห็นทัศนคติของเขาที่แสดงออกมา ห่านขาวและฉินเซี่ยวโหลวก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ 

นางเซียนไป่ฮั่วเผยยิ้มออกมาและกล่าว “ดีมาก เช่นนั้นพวกเจ้าก็เริ่มออกเดินทางได้แล้ว” 

ซิวซิวหันมามองกู่ฉิงซาน 

กู่ฉิงซานยิ้มให้เธอและกล่าว “เชื่อใจข้าไหม” 

“อื้อ” ซิวซิวพยักหน้า  

...

เว่ยซานมิใช่เป็นเพียงภูเขา 

แต่เว่ยซานคือเมืองที่อยู่ติดริมทะเลแห่งความว่างเปล่า  

เมืองนี้ตั้งอยู่บนภูเขาสูงชันและหันหน้าออกไปทางทะเล ดังนั้นมันจึงถูกเรียกกันว่าเว่ยซาน* 

เว่ยซาน คือ ภูเขาแห่งศักดิ์ศรี 

ที่นี่แตกต่างจากหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆ เมืองอื่นๆ มันเป็นเมืองที่เป็นที่ตั้งของกองทัพพันธมิตรแห่งมนุษยชาติ

เมื่อใดก็ตามที่การทดสอบประจำปีเริ่มต้นขึ้น พวกเขาจะมีหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารจัดการและดูแล 

 แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย

เหล่าผู้ฝึกยุทธมักจะเจ้าอารมณ์ โดยเฉพาะนิกายใหญ่ยิ่งหยิ่งผยองมากเป็นพิเศษ หากพวกเขาไม่ได้รับที่พำนักที่ดี ย่อมต้องเกิดปัญหาตามมาอย่างแน่นอน ปัญหามากมายเสียด้วย 

ด้วยการจัดการและประสานงานที่ดี ทำให้งานเป็นไปอย่างราบรื่น 

ในวันนี้เมืองเว่ยซานดูจะกลับมามีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าทุกปี 

ค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ถูกวางไว้โดยรอบ โดยมีผู้กลุ่มของผู้ฝึกยุทธที่ทำหน้าที่บังคับกฎหมายคอยปกปักและเตรียมพร้อมรบอย่างเต็มรูปแบบอยู่ตลอดเวลา 

ในปีนี้ดูจะวุ่นวายมากเป็นพิเศษ ค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ทั้งห้าเปล่งประกายแสงเรืองรองไม่ว่างเว้น 

พร้อมด้วยกลุ่มของผู้ฝึกยุทธที่ปรากฏตัวออกมาจากค่ายกล  จากนั้นก็จะตกอยู่ภายใต้การตรวจสอบของผู้ฝึกยุทธบังคับกฎหมาย เมื่อแล้วเสร็จจึงจะออกจากค่ายกลได้ และมุ่งหน้าไปยังสถานที่พำนักของพวกเขา 

มีนิกายใหญ่บางนิกายที่ส่งคนมามากจนเกินไป  ทำให้ไม่สามารถเคลื่อนย้ายด้วยค่ายกลได้ภายในครั้งเดียว แต่จะต้องถูกแบ่งออกเป็นหลายๆ ครั้ง ก่อนจะกลับมารวมตัวกันและเดินเข้าไปในเมืองด้วยความอวดโอ้ยิ่งใหญ่ 

แต่ละนิกาย มีหน้าที่รับผิดชอบในการเฟ้นหาเมล็ดพันธุ์ในแต่ละภูมิภาค 

ดังนั้นเหล่าคนที่ถูกส่งมาจึงมิใช่แค่เพียงผู้ฝึกยุทธ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเหล่าวัตถุดิบสดใหม่ที่พึ่งได้รับเลือกจากนิกายต่างๆ เสียมากกว่า 

ผู้ฝึกยุทธที่รับหน้าที่บังคับกฎหมายดูจะไม่ว่างชนิดเท้าแทบไม่ติดพื้น พวกเขาต่างแอบอธิษฐานให้วันนี้สิ้นสุดลงเสียที 

เกิดประกายแสงสว่างวาบ พร้อมกับร่างของคนสองคนที่ปรากฏตัวขึ้นในค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ 

หนึ่งในนั้นเป็นเพียงเด็กสาวอายุราวๆ เจ็ดถึงแปดปี เธอกำลังกุมมือของเด็กหนุ่มอย่างใกล้ชิด และหันไปมองรอบๆ ด้วยความกระวนกระวาย 

ผู้ฝึกยุทธบังคับกฎหมายเห็นฉากนี้ ในหัวใจของก็รับรู้ได้ทันทีว่าสองคนนี้จะต้องมาจากนิกายเล็กเป็นแน่ เขาตะโกนเสียงดังลั่นบอกให้ทั้งสองรีบๆ ลงมา 

แต่แทบจะในทันทีเขาก็ถูกหัวหน้าที่คอยดูแลจัดการตบกบาล ก่อนจะถูกขับไล่ไป หัวหน้าปั้นสีหน้ายิ้มแย้มและเดินตรงเข้ามาทักทายพวกเขา 

“ท่านทั้งสอง ผู้น้อยใคร่ขอตรวจดูสถานะยืนยันตัวตนจากบัตรหยกได้หรือไม่?” 

กู่ฉิงซานหยิบบัตรหยกออกมา 

หัวหน้ากวาดจิตสัมผัสเทวะลงไป ก่อนที่ท่าทีและทัศนคติของเขาจะแปรเปลี่ยนเป็นนอบน้อมยิ่งขึ้น 

เขาโค้งคำนับด้วยรอยยิ้ม และผายมือออกไปด้านข้างด้วยท่าทีเชื้อเชิญ 

“ขอบคุณท่านมาก” กู่ฉิงซานพยักหน้าน้อมรับความปรารถนาดี

เขาและซิวซิวถูกนำทางไปภายใต้การดูแลของหัวหน้า เดินตรงเข้าไปในเมืองเว่ยซาน 

“พิกลนัก เกิดอะไรขึ้นกับหัวหน้าในวันนี้?” ผู้ฝึกยุทธที่ถูกตบ อดไม่ได้ที่จะสับสน 

ผู้ฝึกยุทธที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ได้เห็นถึงเงื่อนงำบางอย่างจึงเอ่ยออกไปไม่กี่คำ  

“เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดเกี่ยวกับมันแล้วล่ะ นิกายที่มีสาวกน้อยที่สุดคือที่ใดกันเล่า?” 

เมื่อผู้ฝึกยุทธคนที่ถูกตบกบาลขบคิด เขาก็ยกมือขึ้นตบหน้าตนเองอย่างแรง 

“บ้าจริง! โอกาสดีๆ ที่จะปีนป่ายขึ้นไปกระชับความสัมพันธ์เช่นนี้ ข้าพลาดมันไปได้อย่างไรกัน!”

........................................