ตอนที่ 107 การเปลี่ยนแปลง
“การทดสอบประจำปีที่กำลังจะถึงนี้” นางเซียนไป่ฮั่วดึงกลับมาหัวข้อเดิม “มีจุดประสงค์ก็เพื่อเฟ้นหาเมล็ดพันธุ์ที่เหมาะสมจากผู้ฝึกยุทธที่อยู่กระจัดกระจายออกไปหรือพวกที่มีวรยุทธต่อสู้อยู่ก่อนแล้ว เข้าสู่นิกายต่างๆ โดยจะได้รับทรัพยากรฝึกฝนที่ดีที่สุด เทคนิคฝึกยุทธที่ดีที่สุด เพื่อเร่งรัดการฝึกฝนของพวกเขา”
“หลังจากเสร็จสิ้นการทดสอบประจำปี คนที่ชนะการแข่งขันประจำปีนี้ จะต้องเข้าร่วมการโต้กลับครั้งใหญ่ เพื่อหวังว่าจะสามารถหยุดยั้งสถานการณ์ในครั้งนี้ให้จบลงภายในครั้งเดียว”
“ฉิงซาน ซิวซิว”
“ขอรับ”
“ข้าเป็นคนรับพวกเจ้าเข้าสู่นิกายโดยตรง ฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องไปร่วมการทดสอบประจำปีก็ได้ ทว่ามันเป็นประเพณีที่มีมาแล้วนับพันๆ ปีแถมยังเกี่ยวข้องกับเทพสวรรค์ แล้วพวกเจ้าคิดเห็นอย่างไร จะไปหรือไม่ไป?”
นางเซียนไป่ฮั่วมองไปยังทั้งสอง
กู่ฉิงซานดูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ เขาถอนหายใจเล็กน้อย ทว่าใบหน้ายังคงสงบ”
ซิวซิวดูจะเป็นกังวลไปแล้วโดยสมบูรณ์ สองมือของเธอกำแน่น ริมฝีปากเม้มลง ร่างกายหนักอึ้ง
นางเซียนไป่ฮั่วมองไปยังท่าทีของซิวซิว ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ซิวซิวมันมิเป็นไรหรอก ออกไปดูโลกภายนอกเสียบ้าง ส่วนฉิงซาน เจ้าต้องดูแลซิวซิวให้ดี และเริ่มต้นตั้งแต่ในวันพรุ่งนี้”
“ทราบแล้ว”
“ทราบแล้ว”
ทั้งสองเอ่ยรับอย่างพร้อมเพรียง
กู่ฉิงซานกวาดสายตาไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม
บนนาฬิกาทรายที่แสดงเวลาที่เขาสามารถอยู่ที่นี่ได้นั้น เหลืออีกไม่ถึง สามสิบเปอร์เซ็นต์
หลังจากเสร็จสิ้นการพูดคุย กู่ฉิงซานก็ไปช่วยฉินเซี่ยวโหลวเก็บกวาดทำความสะอาด จากนั้นก็กลับมายังพื้นที่เปิดโล่งบริเวณหน้าวัง
เขาคว้าจับดาบออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่า และเริ่มทำการฝึกฝนวิชาดาบอีกครั้ง
ยามที่กวัดแกว่ง ดาบของเขาราวกับมังกรที่กำลังโผบิน มันร่ายรำอยู่บนพื้นที่เปิดโล่ง และระเบิดประกายแสงสีฟ้าของสายฟ้าเล่ยเดี๋ยนออกมาเป็นครั้งคราว
กู่ฉิงซานฝึกฝนจนเหงื่อชุ่มราวกับตนพึ่งไปตากฝนมา เขาฝึกฝนอย่างไม่หยุดยั้ง ยึดถือหลักที่ว่า ยิ่งฝึกฝนมากขึ้นหนึ่งนาทีก็ยิ่งเพิ่มพูนความแข็งแกร่งได้เร็วขึ้นหนึ่งนาที ขณะที่หากเขาหยุดหนึ่งนาที การจะเอื้อมไปสู่ความแข็งแกร่งก็จะช้าลงหนึ่งนาทีเช่นกัน
ในชีวิตก่อนหน้าเขามิได้สามารถปลุกรากวิญญาณสายฟ้าขึ้นมาได้ ดังนั้นตนจึงไม่ได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องของมันเลย
มันคือพลังวิญญาณที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน เขาจึงต้องทำการศึกษามันอย่างจริงจัง และหาวิธีที่ดีที่สุดในการที่จะใช้มัน
ดาบแล้วดาบเล่ากวัดแกว่งออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง
ฉินเซี่ยวโหลวกำลังเฝ้ามองไปยังเขา ขณะเดียวกันก็มีห่านขาวนั่งอยู่ข้างๆ
ฉินเซี่ยวโหลวเอ่ยงึมงำออกมาทันใด “สกิลดาบของศิษย์น้องช่างยอดเยี่ยม ทว่าข้ากลับรู้สึกมีบางอย่างแปลกๆ”
“ความรู้สึกเช่นไร?” ห่านขาวเอ่ยถาม
“ข้ารู้สึกว่าเขากำลังแข่งกับเวลา” ฉินเซี่ยวโหลวพึมพำ “ราวกับว่าเขาหมายจะไขว่คว้าหาความแข็งแกร่งระดับสูงให้ได้ก่อนจะถึงเวลาที่กำหนด”
ห่านขาว “ข้าก็รู้สึกถึงมันได้เช่นกัน ตัวเขาราวกับกำลังถูกกดทับด้วยแรงกดดันอันหนักหน่วงที่มองไม่เห็น”
ฉินเซี่ยวโหลวผินตัวเดินจากไปทันที
“นั่นเจ้าคิดจะไปไหน?”
“ฝึกยุทธ”
“แต่ช่วงเวลานี้ ในวันก่อนๆ มิว่ามันเป็นช่วงเวลาที่เจ้าจะต้องไปหาความสำราญที่ภัตตาคารทางทิศตะวันตกของอาณาจักรหรอกหรือ”
“ข้าไม่ไปแล้ว”
“เพราะเหตุใด?”
เสียงฝีเท้าของฉินเซี่ยวโหลวหยุดลง และถูกแทนที่ด้วยเสียงกล่าวของเขา “หากวันหนึ่งศิษย์น้องจำเป็นต้องให้ข้าช่วยเหลือ ทว่าเมื่อถึงยามนั้นข้ากลับไม่อาจทำอะไรได้ แล้วมันจะเป็นเช่นไร? คำตอบเพียงเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว”
กล่าวจบ เขาก็เดินจากไป
ห่านขาวชะงักงันไปครู่หนึ่ง ก่อนที่บนใบหน้าของมันจะเผยให้เห็นถึงร่องรอยแห่งความสุขออกมา
“เช่นนั้นก็ดี อย่างน้อยยามที่เจ้าคิดได้มันก็ยังไม่สายเกินไป ครั้งนี้โชคดีจริงๆ ที่มีฉิงซาน คงต้องขอขอบคุณเขาแล้ว” ห่านเอ่ยพึมพำ
และมันก็สยายปีกบินจากไป
ตามมาด้วยการปรากฏตัวของนางเซียนไป่ฮั่วในพื้นที่เปิดโล่ง
“ท่านอาจารย์” กู่ฉิงซานหยุดฝึกดาบ
“ฉิงซาน สกิลดาบของเจ้าช่างรุดหน้าได้รวดเร็วยิ่ง ทว่ามันยังมีจุดผิดพลาดหลายแห่ง ถ้าไม่แก้ไข วิถีดาบของเจ้าอาจจะบิดเบี้ยวไปเลยก็ได้”
นางเซียนไป่ฮั่วเรียกดาบที่ดูประณีตและเรียวบางออกมา ใช่แล้ว นี่คือดาบของผู้ฝึกยุทธหญิง
“เอาล่ะ เรามาสู้กัน ข้าจะสอนสั่งให้เจ้าได้เห็นเองว่าจุดอ่อนของเจ้ามันอยู่ตรงส่วนไหน” นางเซียนไป่ฮั่วกวัดแกว่งดาบไปมาและกล่าว
นักปราชญ์กำลังจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับเทคนิคดาบเป็นการส่วนตัว!
กู่ฉิงซานรู้สึกมีความสุขมาก เขาโค้งคำนับและกล่าว “ท่านอาจารย์ ข้าจะใช้ความพยายามอย่างเต็มที่”
นางเซียนไป่ฮั่วเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมาและกล่าว “หากคิดยั้งมือไว้ จะเป็นเจ้าที่ต้องเสียใจ”
กู่ฉิงซานวาดดาบยาวเพื่อกระชับมันให้แม่นมั่น และ
พุ่งทะยานออกไป!
ดาบยาววูบไหวจนเห็นแค่เพียงภาพติดตา ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคดาบหรือเทคนิคลับต่างๆ พลันถูกใช้ออกเพื่อโถมโจมตีสลับกันไปมาอย่างบ้าคลั่ง
สกิลดาบของกู่ฉิงซานเปรียบดั่งสายฟ้าที่ฟาดลงมาอย่างต่อเนื่องท่ามกลางฝนคะนอง มันฟาดผ่าอย่างไม่หยุดยั้งและไร้ซึ่งความปรานี หากเป็นบุคคลอื่นที่กำลังเฝ้ามองฉากนี้ พวกเขาคงพากันเข้าใจผิดคิดว่าชายผู้นี้คงหมายจะฆ่านางเซียนไป่ฮั่วเป็นแน่!
นางเซียนไป่ฮั่วไขว้มือข้างหนึ่งไว้เบื้องหลัง อีกมือกำดาบยาวเตรียมเผชิญหน้ากับกู่ฉิงซาน ทว่าแต่ละกระบวนท่าที่เธอจ้วงแทงออกไป อดไม่ได้เลยที่จะรู้สึกว่ามันดูสงบและผ่อนคลาย
บังเกิดสายลมกรรโชก ปะทะกันอย่างรุนแรง การโจมตีสองรูปแบบของคนสองคนช่างน่าหวาดหวั่นจนไม่อาจเอ่ยบรรยายได้
หลังจากที่ต่อสู้กันมากกว่าสามร้อยกระบวนท่า นางเซียนไป่ก็เริ่มเอ่ยปาก
“ค้นพบแล้วใช่หรือไม่? จุดอ่อนของตัวเจ้า”
“ขออภัยที่ยังมิอาจค้นพบ ทว่านี่มันดูจะเร่งด่วนเกินไปสำหรับข้าหรือเปล่า?” กู่ฉิงซานกล่าว
นางเซียนไป่ฮั่วยิ้มและกล่าว “ผู้ฝึกดาบโดยทั่วไปแล้วมักจะเป็นพวกป่าเถื่อน พวกเขามักจะหวาดกลัวการชะลอคมดาบอยู่เสมอ พวกเขามักจะหวาดกลัวว่าตนอาจจะใช้ลูกเล่นไม่เพียงพอ เกรงกลัวการตีโต้ของอีกฝ่าย จากการวิเคราะห์ทั้งหมดทั้งมวลนี้สุดท้ายได้ใจความว่า พวกเขาเป็นพวกไม่มีมั่นใจในตนเอง”
กู่ฉิงซานชะงักงัน
นางเซียนไป่กล่าว “วิถีดาบน่ะก็เปรียบดั่งเส้นทางที่ยิ่งใหญ่ การฟาดฟันมันจะต้องควบคู่ไปด้วยบารมีและความงดงาม มันต้องตรงไปตรงมา และไม่ช้าหรือเร็วจนเกินไป”
เมื่อเห็นว่ากู่ฉิงซานยังค่อนข้างสับสนอยู่ เธอจึงยกดาบขึ้นและเอ่ยสั่ง “ถ้ายังไม่เข้าใจก็มาลองกันอีกครั้ง!”
ทั้งสองต่อเริ่มสู้กันมากกว่าหนึ่งร้อยกระบวนท่าอีกครั้ง และนางเซียนไป่ฮั่วก็ตะโกนออกมา “เจ้ากำลังต่อสู้เพื่อสิ่งใด!”
เธอตำหนิเสียงดังลั่น “แต่ละคมดาบที่ปลดปล่อยออกมา ช่างดูไร้ซึ่งความหวังในชีวิต หากยังเป็นเช่นนี้ไม่ช้าก็เร็วเจ้าก็จะถูกสะกดข่ม เข้าใจหรือไม่!?”
ทันใดนั้นนางเซียนไป่ฮั่วก็หวดฟาดดาบอันประณีตและเรียวบางเข้าปะทะกับดาบพิภพ ส่งทั้งมันทั้งผู้ใช้ลอยกระเด็นออกไป
ปง...!
กู่ฉิงซานลอยอยู่กลางอากาศ ส่ายไปมาคล้ายแมลงวันไร้หัว ก่อนที่สุดท้ายจะร่วงลงกับพื้นและกลิ้งไปกว่าห้าตลบ
นางเซียนไป่กล่าวอย่างสงบ แม้ในมือจะยังคงฟาดฟันออกไปอยู่ “เห็นหรือไม่? ต่อให้ข้าลดระดับวรยุทธลงมาเทียบเท่าเจ้า แถมข้ายังมิได้ใช้ออกด้วยกำลังทั้งหมด แต่เพราะเหตุใดคมดาบของข้าจึงสามารถส่งเจ้าปลิวกระเด็นออกไปได้?”
กู่ฉิงซานที่ถูกฟาดอย่างแรง ทั้งคนทั้งร่างพลันชะงักงันอยู่กับที่
“มันไม่ถูกต้อง...นี่มันไม่ถูกต้อง จริงสิข้าเข้าใจแล้ว” ในปากของเขากระซิบงึมงำ
ในชีวิตก่อนหน้า ไม่มีผู้มีวรยุทธระดับสูงส่งคนใดเลยชี้ทางฝึกฝนให้แก่เขา เขาจำต้องใช้เลือดใช้เนื้อของตัวเองฟันฟ่านำสิ่งของมาแลกกับศิลาวิญญาณ จากนั้นก็ใช้มันซื้อเทคนิคดาบ ดังนั้นด้วยตัวเขาที่มีเพียงลำพัง ฝึกฝนเพียงคนเดียว ล่าสังหารมอนสเตอร์เพียงคนเดียวจึงติดอยู่เส้นทางที่ยากลำบาก
ทว่าตอนนี้ หนึ่งในสามไตรภาคีแห่งมนุษยชาติกำลังชี้ทางสั่งสอนเขาเป็นการส่วนตัว นั่นจึงทำให้ความสามารถของสกิลดาบของกู่ฉิงซานเริ่มที่จะเบ่งบานออกมาได้ในที่สุด
นางเซียนไป่ฮั่วเห็นเขาที่ยืนนิ่ง ราวกับกำลังหมกมุ่นอยู่ในบางสิ่ง ในหัวใจของเธอก็สามารถรับรู้ได้ถึงช่วงเวลาตระหนักรู้ของอีกฝ่ายได้มาถึงแล้ว
หนึ่งมือถูกวาดออกไปจนเกิดคลื่นอย่างเงียบๆ พร้อมกับปรากฏชั้นค่ายกลทั่วทั้งบริเวณโดยรอบ
ช่วงเวลาได้ไหลผ่านไปอย่างช้าๆ และนางเซียนไป่ฮั่วก็ยืนปกป้องกู่ฉิงซานอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งถึงเที่ยงคืน
กู่ฉิงซานลืมตาขึ้นในทันใด
เขากวัดแกว่งดาบพิภพ ใช้ออกด้วยกระบวนท่าหนึ่ง ตามด้วยอีกกระบวนท่า และการเคลื่อนไหวของเขาก็ค่อยๆ เร็วขึ้น เร็วขึ้นเรื่อยๆ
กระบวนท่าดาบเหล่านี้ก็ยังคงเป็นกระบวนท่าดาบเดิม คนที่ใช้ออกก็ยังคงเป็นคนเดิม ทว่าแรงกดดันที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างกายมันกลับแตกต่างออกไป...มันเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
หากกล่าวว่าก่อนหน้านี้ตัวเขาเปรียบดั่งหมาป่ากระหายเลือดที่ดุร้าย ในยามนี้ตัวเขาก็เปรียบดั่งเสือที่นอนอาบแดดอยู่อย่างสงบภายใต้แสงอาทิตย์
ทันใดนั้นเอง กระบวนท่าดาบอันพร่างพราวทั้งหมดก็ค่อยๆ เลือนหายไปอย่างสิ้นเชิง
กู่ฉิงซานยกดาบยาวอยู่ในมือ และจ้วงแทงมันออกไปอย่างนุ่มนวล
เมื่อเห็นดาบนี้ นางเซียนไป่ฮั่วก็เผยรอยยิ้มบนใบหน้าออกมา
“อย่างน้อยในที่สุดค่ำคืนนี้มันก็ไม่เสียแรงเปล่า เจ้ายังต้องการจะฝึกฝนต่ออีกไหม?” เธอเอ่ยถาม
“แน่นอน”
ทิศทางดาบของกู่ฉิงซานก็เปลี่ยนไป จู่ๆ เขาก็จ้วงแทงมันไปยังนางเซียนไป่ฮั่ว
เมื่อต้องเผชิญกับคมดาบ นางเซียนไป่ก็วาดดาบตนสวนกลับไป
ปง...!
ยามที่กู่ฉิงซานได้พบกับคมดาบนี้ เขากลับไม่ถดถอยแม้เพียงครึ่งก้าว แต่กลับยังสามารถฟาดฟันคมดาบตอบโต้ไปยังฝ่ายตรงข้ามได้อีกครั้งในทันที
ก่อนหน้านี้ทุกๆ การโจมตีสวนกลับของนางเซียนไป่ฮั่ว กู่ฉิงซานจะต้องถูกบังคับให้ถอยร่นกลับไปหลายก้าว แต่ในเวลานี้ เขาไม่ถอยและสามารถโจมตีสวนกลับไปได้จริงๆ แล้ว!
ดวงตาของนางเซียนไป่เปล่งประกายสดใส
“ยอดเยี่ยม” เธอกล่าว
คมดาบนี้ กล่าวได้ว่ามันได้มาถึงความตระหนักรู้ขั้นสูงแล้ว
“ยังมีอีก” กู่ฉิงซานกล่าว
“มีอีกอย่างงั้นหรือ?” นางเซียนไป่ประหลาดใจเล็กน้อย
ดาบพิภพฟาดฟันออกไป ในเสี้ยววินาทีนั้น บนใบดาบก็พลันปรากฏเสียงเปรี๊ยะๆ ของสายฟ้า
สายฟ้าคือพลังอำนาจของสวรรค์และโลก มันคือจ้าวแห่งการทำลายล้าง!
อย่างไรก็ตาม สายฟ้านี้กลับไร้ซึ่งสรรพเสียงและแลดูไร้พลังอำนาจใดๆ
เมื่อสองดาบฟาดฟันกระทบกัน ทุกสิ่งอย่างก็พลันเงียบงัน ปรากฏเพียงแสงกระแสไฟฟ้าที่วาบผ่านเท่านั้น
กระแสไฟฟ้าไหลผ่านเข้าสู่ใบดาบเรียวบาง ทว่ามันกลับสั่นสะท้านและถูกป่นเป็นผงในทันทีโดยนางเซียนไป่ฮั่ว
อย่างไรก็ตาม มุมปากเธอกลับยกสูงขึ้นและกล่าวเสียงดังลั่น “ยอดเยี่ยม!”
สองดาบปะทะกันอีกครั้งและแยกจากกันอีกครั้ง
ทว่าคราวนี้กลับไม่เห็นกระแสไฟฟ้า
นางเซียนไป่ฮั่วยิ้ม และมองไปยังกู่ฉิงซานด้วยสายตาชื่นชม “ด้วยสกิลดาบเช่นนี้ ในอนาคตตำแหน่งนักดาบนิรันดร์คงหนีไม่พ้นเงื้อมมือเจ้า ไม่แน่ ในอนาคตแม้กระทั่งขอบเขตประทับเทพก็อาจจะหนีไม่พ้นด้วยเช่นกัน ใครจะรู้”
หากในฉากนี้มีผู้ชมยืนดูอยู่ และได้ยินการประเมินค่าของนางเซียนไป่ฮั่ว อย่างน้อยที่สุดพวกเขาคงต้องตกตะลึงจนกรามค้าง
สายตาของเธอนับว่าแหลมคมเป็นอันดับต้นๆ ของโลกใบนี้ และการประเมินค่านี้โดยเธอก็นับว่าสูงยิ่ง
กู่ฉิงซาน หนึ่งกำปั้นประสานหนึ่งฝ่ามือ โค้งคำนับลงและกล่าว “ขอบคุณท่านอาจารย์ที่ช่วยชี้ทางสว่าง”
นางเซียนไป่ฮั่วพยักหน้าและกล่าว “เรื่องสกิลดาบน่ะข้าไม่อาจสอนสั่งเจ้าได้ เอาไว้หลังจากนี้ เจ้าค่อยออกไปค้นหามันด้วยตัวเองจะเป็นการดีกว่า”
“ศิษย์ทราบแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว
นางเซียนไป่ฮั่วได้บินหายออกไป
หลังจากที่เธอจากไป สายตาของกู่ฉิงซานก็เบนไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม
เมื่อครู่เหมือนกับว่าเขาจะเห็นเส้นแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้นครั้งหนึ่ง ทว่าเขามัวแต่มุ่งความสนใจอยู่กับนางเซียนไป่ฮั่วจึงไม่ทันจะได้อ่านมัน
เห็นเพียงแค่บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ปรากฏบรรทัดเส้นแสงเรืองรองที่ครอบคลุมตัวอักษรขนาดเล็กๆ มันเขียนเอาไว้ว่า
“เทคนิคดาบทั้งหมดจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายและจิตเทวะของผู้เล่นอีกต่อไป พวกมันถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาโดยสมบูรณ์”
“เรียนรู้เทคนิคดาบทั้งหมดหนึ่งพันหนึ่งร้อยหกประเภท รายชื่อมีดังต่อไปนี้”
...
กู่ฉิงซานเลื่อนสายตาอ่านมันอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพบว่านอกเหนือจากเทคนิคลับแล้วนั้น เทคนิคดาบขั้นพื้นฐานทั้งหมดสามารถปลุกมันได้โดยที่แต้มพลังวิญญาณของเขาไม่ลดลงไปเลยแม้แต่นิดเดียว
ทั้งหมดนี้มิได้ขึ้นอยู่กับระบบ แต่มันเพียงแค่เป็นผลจากสั่งสมประสบการณ์จากสองช่วงชีวิตของเขา
อย่างไรก็ตาม ในหัวใจของกู่ฉิงซานกลับไม่ปรากฏความสุขหรือความเศร้าใดๆ แน่นอนว่ามิใช่เพราะเขาได้ครอบครองพวกมันแล้วแต่เป็นเพราะ
ในหัวใจของเขานั้นสงบและมั่นคง มันได้ตรัสรู้ถึงวิถีดาบที่แท้จริง
เขาเชื่อสุดใจว่าในขณะนี้ ในวังร้อยบุปผา ความรู้เกี่ยวกับเรื่องดาบในตัวเขา ได้ก้าวข้ามผ่านตัวเขาในโลกก่อนหน้าไปแล้ว
ยามเมื่อพื้นฐานวรยุทธของเขากลับไปเป็นดั่งเมื่อครั้งเก่าก่อน และก้าวสู่ตำแหน่งนักดาบนิรันดร์ได้ ช่วงชีวิตอันโชติช่วงของเขาจะต้องผลิบานและยอดเยี่ยมกว่าที่เคยเป็นอย่างแน่นอน
........................................