ตอนที่ 84 ใกล้เข้ามาอีกนิด
ภายในพระราชวังร้อยบุปผา
ร่างของกู่ฉิงซานปรากฏขึ้นราวกับว่าเขาไม่ได้จากไปไหน
เขาเงยหน้าขึ้น เบนสายตาไปยังภาพเหตุการณ์ที่ยังคงฉายอยู่ในกระจกร้อยบุปผา
มารนกยูงโฉบไปเก็บศพเหล่ามารนักปราชญ์ ตามด้วยยกศพของจ้าวกระบี่ขึ้นมา ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า บินมุ่งหน้ามายังทิศทางแนวหน้าของมนุษยชาติ
บนบัลลังก์หมื่นบุปผา นางเซียนไป่ เซี่ยเต๋าหลิงกล่าว “กงซุนซีได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ร่างอวตารของข้าได้ลงมือช่วยเหลือแล้ว และเขาคงจะพ้นขีดอันตรายในไม่ช้า”
“ขอบพระคุณท่านอาจารย์” กู่ฉิงซานกล่าว
ทันใดนั้นจู่ๆ นางเซียนไป่ก็กล่าวขึ้นอย่างฉับพลัน “ให้เขาเข้ามา”
ไม่นานนัก เหลิงเทียนสิงก็เดินกะโผลกกะเผลกเข้ามาในพระราชวังร้อยบุปผา
ทันทีที่เขาเห็นกู่ฉิงซาน อีกฝ่ายก็ส่ายหัวอย่างท้อแท้
นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว “สิ่งที่เจ้าต้องรู้ก็คือ ข้าได้ทำตามข้อกำหนดของข้าแล้ว แต่เป็นเจ้าเองที่ไม่อาจผ่านมันไปได้”
เจตจำนงของเหลิงเทียนสิงดูจะอ่อนโทรมลง เขาเกร็งกำปั้นในมือแน่นและกล่าว “ผู้น้อยทราบแล้ว”
แต่จู่ๆ นางเซียนไป่ก็หัวเราะคิกคักออกมา “ทว่าศิษย์ข้ากล่าวว่าเจ้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับเขา เขาจึงร้องขอต่อข้า ดังนั้นแม้จะไม่เต็มใจแต่ข้าจะนับว่าเจ้าผ่านการทดสอบก็แล้วกัน”
ศิษย์?
เหลิงเทียนสิงหันไปมองรอบๆ และเห็นว่าทั่วทั้งห้องโถง นอกเหนือไปจากตัวเขาเอง ก็มีเพียงกู่ฉิงซานเท่านั้นที่ยืนอยู่
อย่าบอกนะว่าเขาได้กลายเป็นศิษย์ฝึกหัดของนางเซียนไป่ฮั่ว?
หัวใจของเหลิงเทียนสิงราวกับถูกคลื่นสมุทรอันล้นหลามม้วนตัวเข้าซัดสาดใส่ จนเกิดความรู้สึกตกตะลึงอันมิอาจอธิบายออกมาได้
นางเซียนไป่ฮั่วแห่งไตรภาคี จู่ๆ ก็ทำการรับศิษย์อย่างกะทันหัน!
หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป มันจะต้องสั่นคลอนทั่วทั้งโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ
คาดว่าในอีกไม่กี่วันข้างหน้า คงจะมีผู้คนจำนวนมาก มากกว่าแต่ก่อน แห่แหนกันมายังอาณาจักรร้อยบุปผาเพื่อเลือกรับรายการทดสอบ หมายมั่นที่จะได้สมหวังกลายเป็นศิษย์เหมือนกับผู้โชคดีคนนี้!
กู่ฉิงซานมองไปยังนางเซียนไป่ นักปราชญ์ผงกหัวเล็กน้อย เขาจึงรับรู้ได้ทันทีว่าเธอต้องการให้เขาสร้าง ‘เครือข่าย’ ของตนเองขึ้นมา
กู่ฉิงซานเดินไปตบบ่าเหลิงเทียนสิงและกล่าว “ทำไมไม่รีบพูดออกมาเล่า ว่านายต้องการร้องขออะไร?”
เหลิงเทียนสิงได้สติกลับคืน เขามองไปที่กู่ฉิงซานด้วยสายตารู้คุณ ก่อนจะกล่าวคำร้องขอของตนอย่างเร่งรีบ
นางเซียนไป่สั่งให้เขาปลดเสื้อคลุมออก และมองไปยังมารแมงมุม
“สายพันธุ์นี้นับว่าพบเจอได้ยากจริงๆ” นางเซียนไป่สะบัดมือไปยังมารแมงมุมและกล่าวเพียงสั้นๆ “จงมาหาข้า”
มารแมงมุมไม่มัวเสียเวลาลังเลเลยแม้แต่น้อย มันไต่ออกจากหน้าอกของเหลิงเทียนสิงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะวิ่งขึ้นไปบนบัลลังก์หมื่นบุปผา และม้วนตัวเป็นก้อนกลมๆ
“เจ้าจงทำลายการเชื่อมต่อกับตัวเขาเสีย และหลังจากนี้ หากเจ้าสัญญาว่าจะไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อพระราชวังร้อยบุปผา ในอนาคตเจ้าสามารถมาฝึกฝนที่นี่ได้” นางเซียนไป่คิดและกล่าว
มารแมงมุมเงยหน้าขึ้น มันผงกหัวครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะใช้ขาทั้งแปดของมันปีนลงจากบัลลังก์หมื่นบุปผา
ทันทีที่มารแมงมุมจากไป ทันใดนั้นทั่วทั้งร่างของเหลิงเทียนสิงก็สั่นไหวอย่างรุนแรง ต่อมา พลังวิญญาณก็พลันเอ่อล้นจากรอบกาย แรงดันวิญญาณของเขาพุ่งทะยานสูงขึ้น จนในที่สุดก็หยุดลงที่ด่านแก่นทองคำขั้นกลาง
นี่คือพื้นฐานวรยุทธดั้งเดิมของเขา ในที่สุดมันก็ไม่ถูกระงับอีกต่อไป… เขาได้มันกลับคืนมาโดยสมบูรณ์แล้ว!
“ขอบพระคุณท่านนักปราชญ์” เหลิงเทียนสิงกล่าวด้วยความสุขใจยิ่ง
“เรื่องเล็กน้อย ตอนนี้เจ้าก็ออกไปทางประตูหลักของห้องโถงได้แล้ว กงซุนซีกำลังรอเจ้าอยู่ข้างนอก” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว
“ท่านนายพลกงซุนก็มาที่นี่?”
เหลิงเทียนสิงค่อนข้างรู้สึกประหลาดใจ ขณะเดียวกันในหัวสมองก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย
เขากล่าวตอบรับคำหนึ่ง และถอยฉากเดินออกไป
ทว่าก่อนที่จะจากไป เขาได้หยิบยันต์สื่อสารขึ้นมาและยัดมันลงบนมือของกู่ฉิงซาน
ด้วยยันต์สื่อสารนี้ กู่ฉิงซานจะสามารถติดต่อกับเหลิงเทียนสิงได้ตลอดเวลา
รอจนกระทั่งเหลิงเทียนสิงเดินออกไป นางเซียนไป่จึงเอ่ยปาก “กงซุนซีได้รับการช่วยเหลือแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นร่างอวตารของข้าในแนวหน้า ยังได้เอ่ยพูดคุยกับเขาถึงเรื่องราวทั้งหมดจนกระจ่าง เวลานี้ คุณงามความสำเร็จของเจ้าช่างมากมายนัก ข้าเชื่อว่าไม่ช้า ทางกองทัพจะต้องมีคำสั่งปูนบำเหน็จเลื่อนยศให้เจ้าอย่างแน่นอน”
“ขอบพระคุณท่านอาจารย์” กู่ฉิงซานกล่าว
เขาเหลือบมองไปยังหน้าต่างระบบเทพสงครามและพบว่าภารกิจถูกเติมเต็มว่าเสร็จสมบูรณ์แล้ว
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เวลาที่สมควรจะมานั่งตรวจสอบมัน ความหนักอึ้งในหัวใจของกู่ฉิงซานผ่อนคลายลงและตัดสินใจว่าจะยังไม่ใส่ใจดูมันในเวลานี้
นางเซียนไป่เผยรอยยิ้มอันลึกลับออกมาและกล่าว “มีคนกำลังรอพบเจ้าอยู่หลังประตูข้างห้องโถง ส่วนอาจารย์จะขอไปดูอาการของกงซุนซีเสียหน่อย”
“เป็นใครกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
นางเซียนไป่จ้องมองเขาราวกับกำลังมองตัวโง่งม ก่อนจะกล่าว “ข้าให้นางไปรออยู่ในโถงข้างๆ แล้ว เมื่อไปถึงเจ้าก็จะรู้เอง”
“จงไปเสีย” นางเซียนไป่วาดแขนออก
สำหรับเจ้าศิษย์ฝึกหัดซื่อบื้อผู้นี้ อาจารย์คงช่วยเจ้าได้เพียงเท่านี้แหละ นางเซียนไป่ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ขบคิดอยู่ในจิตใจอย่างเงียบๆ
กู่ฉิงซานก้าวเท้าตรงไปยังห้องโถงข้างๆ แต่เพียงเดินไปได้แค่ครึ่งทางเข้าก็เกิดปฏิกิริยาตระหนักรู้
เนื่องจากกงซุนซีอยู่ที่ประตูหลัก แล้วคนที่เหลือก็ย่อมจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหนิงเยว่ฉาน
น่าแปลก แล้วทำไมสองคนนั้นต้องแยกกันรักษาตัวด้วย?
คงเป็นเพราะหนิงเยว่ฉานเป็นผู้ฝึกยุทธหญิงนั่นล่ะมั้ง เป็นธรรมดาที่บาดแผลบางส่วนที่ซ่อนอยู่หลังเนื้อผ้าจะไม่สะดวกให้คนนอกได้เห็น นางเซียนไป่จึงนำตัวเธอมารักษาที่ห้องโถงข้างๆ นี่คือข้อสรุปที่กู่ฉิงซานคิดได้
ใช่แล้ว ถูกต้อง มันต้องใช่แน่ๆ สมกับที่เป็นท่านอาจารย์ ดุลพินิจช่างเหมาะสมยิ่ง
ในหัวใจของกู่ฉิงซานเกิดความเข้าใจขึ้นในทันที
เขาเดินเข้าไปยังห้องโถงข้างๆ และก็พบกับร่างที่คุ้นเคย
หน้ากากเงิน กระบี่ยาวที่สาดประกายสดใสราวกับหิมะ ประกอบกับร่างเพรียวบางที่สวมใส่เกราะทองคำที่ดูสมส่วน ส่งผลให้องค์รวมของฉากนี้ช่างดูงดงามและประณีต
แม้หญิงงามนางนี้จะมิได้เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา แต่เพียงท่วงท่าและทรวดทรงของเธอก็นับว่าเป็นหนึ่งในผู้เลอโฉมอันดับต้นๆ ของโลก
“อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ท่านนักปราชญ์ได้รักษาให้ข้าแล้ว…แต่ก่อนหน้านี้บาดแผลเก่าๆ ส่วนหนึ่งก็ได้เจ้าช่วยรักษาไปก่อนแล้วล่ะนะ”
“งั้นก็ดีแล้วล่ะ นายพลกงซุนกำลังรอเจ้าอยู่ตรงประตูห้องโถงหลัก พวกเราไปกันเถอะ”
“เช่นนั้นเชิญนำทาง”
ทั้งสองเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันออกไปยังภายนอก
ระหว่างทาง บนพื้นถนนถูกปูเอาไว้ด้วยหยกเป็นทางยาว ผสานไปกับกลิ่นละมุนอันดูลึกลับ ลมเย็นสบายพัดโชย บรรยากาศโดยรอบช่างเป็นใจยิ่ง ทว่ากลับไม่มีใครเอ่ยคำใดออกมา
สายตาของหนิงเยว่ฉานจับจ้องไปยังกู่ฉิงซานไม่วางตา สุดท้ายเธอจึงเป็นฝ่ายเริ่มเอ่ยปาก “เวลานี้คงต้องทำให้มันถูกต้อง ข้าต้องขอขอบใจจริงๆ สำหรับหนี้ชีวิตที่เจ้าได้ช่วยเอาไว้”
กู่ฉิงซานโบกมือและกล่าว “ไม่จำเป็นต้องสุภาพหรอก ชีวิตเจ้าก็เหมือนชีวิตข้า มิตรภาพของพวกเราก่อเกิดจากการฝ่าช่วงเวลาแห่งชีวิตความตายมาด้วยกัน แล้วทำไมจะต้องไปพูดอะไรให้มากความด้วย”
มิตรภาพก่อเกิดจากการฝ่าช่วงเวลาแห่งชีวิตและความตาย ชีวิตเจ้าก็เหมือนชีวิตข้าอย่างงั้นเหรอ…หนิงเยว่ฉานทวนคำเอ่ยของเขาซ้ำออกมาอย่างเงียบๆ ก่อนที่สายตาของเธอจะไปตกลงบนดาบที่สะพายอยู่ตรงเอวของกู่ฉิงซานอย่างฉับพลัน
ในหัวใจของกู่ฉิงซานเต้นครึกโครม ซวยแล้ว เขาลืมไปเลยว่าตนพึ่งได้รับดาบพิภพมา
แน่นอนว่าในวินาทีถัดไป หนิงเยว่ฉานก็เอ่ยถามทันที “ดาบเล่มนี้”
กู่ฉิงซานชิงกล่าวตัดหน้า “นี่คือดาบของท่านนักปราชญ์ที่มอบมันให้เป็นรางวัลแก่ข้า”
เนื่องจากมันเป็นรางวัลของนักปราชญ์ ดังนั้นแล้วกู่ฉิงซานที่เป็นเพียงตัวตนเล็กๆ อย่างผู้ฝึกยุทธปราณปรับแต่งย่อมเป็นธรรมดาที่จะไม่กล้าปฏิเสธ
นอกจากนี้นักปราชญ์ยังออกหน้าลงมือเป็นการส่วนตัวเพื่อดับชีวิตเผ่ามาร ช่วยชีวิตเธอ แถมยังรักษาเธออีกด้วย
แล้วมีหรือที่หนิงเยว่ฉานจะกล้าหักหน้านักปราชญ์โดยการทุบตีเขาในเวลานี้?
นี่แหละ เหตุผลเท่านี้นับว่าเหมาะสมและเพียงพอ!
หนิงเยว่ฉานดูจะลังเลไปครู่หนึ่ง สุดท้ายเธอจึงยอมจำใจรามือไปโดยปริยาย
เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวลว่า “แม้หากมีโอกาสได้เรียนวิถีดาบ ก็จงอย่าร่ำเรียนมันเป็นอันขาด เข้าใจหรือไม่? ”
กู่ฉิงซานรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
อย่ามาล้อเล่นนะ ข้างๆ เขาเป็นถึงผู้ฝึกยุทธระดับก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์ มันเป็นระดับที่ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของกู่ฉิงซานไม่อาจต่อกรด้วยได้
เขายังไม่อยากคุกเข่าร้องขอความเมตตานะ!
หนิงเยว่ฉานกล่าวย้ำอีกครั้ง “หลังจากพวกเราแยกกัน เจ้าจะต้องพยายามฝึกฝนอย่างหนัก และเรียนรู้ถึงทักษะที่แท้จริงจากท่านนักปราชญ์ มิฉะนั้นหากพื้นฐานวรยุทธของเจ้าต่ำเกินไป สุดท้ายก็จะต้องตกอยู่ใต้การควบคุมของผู้อื่น”
“เข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว
“จำเอาไว้ให้ดี ห้ามคิดที่จะฝึกฝนวิถีดาบ” หนิงเยว่ฉานกล่าว
“แน่นอน” กู่ฉิงซานกล่าวรับประกัน
หนิงเยว่ฉานจ้องมองไปยังเขา และตัดสินใจบางอย่าง ทันใดนั้นเธอก็ถอดหน้ากากออก เผยให้เห็นถึงความงดงามที่อาจล่มเมืองลงได้
เธอกล่าว “หลังจากนี้หากมีเวลาว่าง โปรดมาเยือนนิกายเทียนจีในฐานะแขก โดยเอ่ยรายงานไปว่าเป็นข้าที่ชักชวน”
กู่ฉิงซานไม่แม้แต่จะมัวเสียเวลาคิดเกี่ยวกับมัน เขารีบรับคำทันที “ตกลง”
ได้ยินคำตกลงของฝ่ายตรงข้าม หนิงเยว่ฉานก็พลันฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ จู่ๆ ใบหน้าของเธอก็เริ่มรู้สึกร้อนผ่าว ก่อนจะรีบยกหน้ากากขึ้นมาปิดบังมันอย่างรวดเร็ว
โชคดีจริงๆ ที่สวมใส่มันได้ทัน มิฉะนั้นใบหน้าที่ท่วมไปด้วยริ้วแดงของเธอ จะต้องถูกฝ่ายตรงข้ามสังเกตเห็นได้อย่างแน่นอน
‘เอ...นี่มันจะไม่ดูเหมือนว่าฉันกำลังสงวนตัวเกินไปหน่อยหรือเปล่านะ’ เธอคิดอย่างเงียบๆ
ในเวลานั้นเอง กู่ฉิงซานก็จับสังเกตได้ถึงความผิดปกติ
หือ?
เมื่อครู่เหมือนว่าฉันจะเห็นอะไรบางอย่างนะ?
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้เอ่ยปากออกไปแล้วก็มิอาจเรียกคืนคำกลับมาได้อีก หนิงเยว่ฉานเริ่มมีท่าทีร้อนรน สับฝีเท้าเร็วขึ้น เร็วขึ้นอย่างเร่งร้อนจนแซงหน้าเขา กลายเป็นผู้นำทางไปเสียเอง
“โถ่! เจ้าลูกศิษย์คนนี้! นั่นมันช่วงเวลาสำคัญเลยนะ ทำไมถึงไม่ลงมือต่อเล่า!”
ขณะนี้บนบัลลังก์หมื่นบุปผา นางเซียนไป่ฮั่วตบฝ่ามือตนลงเสียงดังฉาด สบถด่าอย่างเสียอารมณ์ผสมปนเปกับความเสียดาย
........................................