ตอนที่ 72 ผมสีเงิน
ภายในพระราชวังร้อยบุปผา
นางเซียนไป่ที่อยู่บนบัลลังก์ค่อยๆ คลายฝ่ามือออก สลายเทคนิคลับอย่างช้าๆ
และทันใดนั้นผมยาวดำสลวยบางส่วนของเธอก็พลันค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นสีเงิน
นางเซียนไป่ดูเหมือนจะรู้สึกถึงมัน เธอเอียงคอก่อนจะรวบเส้นผมสีเงินกลับเข้าไปด้านหลังและปล่อยชายผมสีดำให้สยายออกมายังด้านนอกอย่างเงียบๆ ราวกับต้องการที่จะปกปิดมัน
กู่ฉิงซานไม่ได้เห็นถึงฉากนี้
เขากำลังตกตะลึงอยู่กับสายธารแห่งการหลงเลือนที่ค่อยๆ หายไปในสุดเส้นขอบฟ้า บื้อใบ้อยู่เป็นเวลานานไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมา
สกิลเทวะช่างเป็นความสามารถอันน่าตื่นตะลึงโดยแท้ ไม่ว่าผู้ฝึกยุทธคนใดที่พบเห็นก็จำต้องเกิดความประทับใจต่อมันอย่างลึกซึ้ง
นี่น่ะหรือคือสกิลเทวะระดับสูงสุด?
นางเซียนไป่เพียงโบกมือแต่กลับสามารถจัดการกับมารนักปราชญ์ที่อยู่ห่างออกไปหลายพันลี้ โดยที่เผ่ามารเหล่านั้นมิอาจแม้กระทั่งจะได้ยลโฉมหน้าของนางด้วยซ้ำ
ไม่น่าแปลกใจเลยที่เธอกล่าวออกมาว่า ‘ขอบเขตประทับเทพ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น’
ในตอนที่ฉันสามารถก้าวขึ้นไปถึงระดับนั้นได้ ฉันก็จะสามารถใช้ออกด้วยกระบวนท่าเช่นนั้นได้เหมือนกันใช่หรือไม่?
กู่ฉิงซานคิดอย่างเงียบๆ ขณะที่จู่ๆ เส้นแสงหิ่งห้อยก็พลันปรากฏขึ้นในสายตา
ในหน้าต่างระบบเทพสงคราม หิ่งห้อยบินวนไปมาก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นตัวอักษรขนาดใหญ่สีเลือด
“กระแสเวลายังคงผันผวนอย่างต่อเนื่อง ผู้เล่นจำเป็นที่จะต้องกลับไปยังต่างโลกด้วยตัวเองในทันที มิฉะนั้นมิติจะเกิดความผิดปกติขึ้นอย่างถาวร”
“หากผู้เล่นยังคงเลือกที่จะอยู่ในโลกของผู้ฝึกยุทธต่อไป ท่านจะไม่สามารถกลับไปยังโลกจริงของตนได้อีกตลอดกาล”
“จะอยู่ที่นี่ต่อหรือกลับไป โปรดทำการเลือกอย่างรอบคอบ”
นี่ยังต้องให้ฉันเลือกอีกอย่างงั้นเหรอ?
กู่ฉิงซานตบหน้าผากตน ก่อนถอนหายใจและกล่าว “แน่นอนว่าต้องกลับไป”
เขาเหลือบมองไปยังภารกิจแห่งโชคชะตา
ภารกิจแห่งโชคชะตายังคงมีป้ายกำกับแจ้งเตือนชัดเจนว่า ‘กำลังดำเนินการอยู่’
ดูเหมือนว่ากงซุนซีจะยังไม่พ้นขีดอันตราย
แต่ก็ยังดีที่เวลานี้นางเซียนไป่ออกหน้าด้วยตัวเองแล้ว กงซุนซีจะต้องสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้อย่างแน่นอน
และภารกิจแห่งโชคชะตาก็คงไม่สมควรจะเกิดอุบัติเหตุอื่นใดขึ้นอีก
ไว้รอให้กู่ฉิงซานกลับมายังโลกของผู้ฝึกยุทธในครั้งต่อไป แล้วค่อยมาเช็คเจ้าภารกิจนี้กันใหม่อีกครั้งก็ได้
ในเวลานั้นเอง เขาก็จะสามารถจบภารกิจได้อย่างสมบูรณ์
สุดท้าย กู่ฉิงซานก็จ้องมองไปยังสายธารแห่งการหลงเลือนที่ค่อยๆ หายไปอย่างช้าๆ
ความคิดบางอย่างปรากฏวาบขึ้นมาในจิตใจของเขา
หากในโลกใบนี้มี ‘หกวิถีสู่สังสารวัฏ’ อยู่แล้วล่ะก็ ถ้าอย่างงั้นในโลกจริงล่ะ?
ม่านแสงสว่างวาบ
และร่างของกู่ฉิงซานก็หายวับไปจากวังร้อยบุปผา
ณ สหพันธรัฐ รัฐบาลกลาง
ชานเมืองปักกิ่ง บริเวณโซนทุรกันดาร
ร่างของกู่ฉิงซานได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
ชุดของผู้ฝึกยุทธหายไป และทั้งหมดถูกนำไปเก็บเอาไว้ในถุงสัมภาระโดยสมบูรณ์
เขายังคงสวมชุดของสังคมสมัยใหม่
กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ
บริเวณโดยรอบคือภูเขาอันแห้งแล้ง เบื้องล่างเป็นป่าอันรกทึบ ส่วนบนฟ้านั้นว่างเปล่า ทำให้การจะมองหารถเหินเวหาซักคันย่อมไม่ใช่เรื่องยาก ทว่า รถเหินเวหาสะเก็ดไฟกลับไม่อยู่แล้ว
“เอ๋? แล้วแอนนาล่ะ?” กู่ฉิงซานรู้สึกประหลาดใจ
เขาคิดว่าแอนนาจะต้องรออยู่ในสถานที่เดิมอย่างแน่นอน และพอกู่ฉิงซานกลับมา เขาจะได้อธิบายว่าทำไมเขาจู่ๆ เขาถึงได้หายตัวไปในอากาศที่ว่างเปล่า
อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครั้ง แอนนานั้นเติบโตมาในตระกูลจักรพรรดิตั้งแต่วัยเด็ก เธอคงจะเคยได้พบเจอกับพลังอันแปลกประหลาดมามากมาย บางทีการที่จู่ๆเขาก็หายตัวไป แอนนาคงไม่อยากจะรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่นักก็ได้ล่ะมั้ง
แต่…แล้วเธอหายไปไหนกันนะ?
มันคงจะเป็นการดีกว่าที่จะมอบสิ่งล้ำค่าอย่างสัญญาชีวิตอันนี้กลับคืนให้แก่เธอ
เวลานี้ เขาได้ข้ามผ่านไปยังโลกของผู้ฝึกยุทธ และสามารถรอดชีวิตกลับมาได้ในที่สุด สามารถร้องขอนางเซียนไป่ให้ลงมือเป็นการส่วนตัว และได้เห็นกระทั่งสกิลเทวะ เพียงเท่านี้ก็พอจะประเมินได้ว่าภารกิจช่วยเหลือของเขาสามารถที่จะจบมันลงได้โดยสมบูรณ์แล้ว
สิ่งเดียวที่ต้องกังวลก็คือ ตัวเขาเองดันได้เข้าร่วมกับนิกายร้อยบุปผาที่มีชื่อเสียง และตอนนี้จำต้องใจเย็นๆ เข้าไว้ คิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับนิกายอันลึกลับนี้ เนื่องเพราะในชีวิตก่อนหน้าเขาแทบจะไม่ได้รับข่าวสารใดๆ เกี่ยวกับมันมาก่อนเลย
แต่ที่มั่นใจแน่ๆแล้วก็คือ ดูเหมือนว่าในอนาคตอันใกล้ ฉันคงไม่จำเป็นต้องใช้ประสบการณ์หรือความรู้ใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับนิกายอื่นๆ ในครั้งอดีตอีกแล้วล่ะนะ
ในเมื่อเลือกที่จะก้าวออกไปก้าวหนึ่งแล้ว ก็สมควรที่จะก้าวต่อไปเท่านั้น
กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นมองดวงตะวันสาดแสงจากเบื้องบน ก่อนจะหยิบสมองควอนตัมส่วนบุคคลของเขาขึ้นมา
“จากเมืองหลวงมีระยะทางห่างไกลกว่าสองร้อยกิโลเมตร คงมีเพียงแค่รถเหินเวหาอย่างสะเก็ดไฟเท่านั้นล่ะนะ ที่สามารถมาได้ไกลถึงขนาดนี้ในเวลาแค่ไม่ถึงสองนาที”
กู่ฉิงซานยิ้มอย่างขมขื่น ก่อนจะเริ่มย่างสองเท้า มุ่งตรงเข้าสู่ทิศทางในเมืองหลวง
แอนนาหายไปไหนกันนะ?
ในหัวใจของเขายังคงอดไม่ได้ที่จะขบคิดออกมาอีกครั้ง
ในความเป็นจริงแล้ว แอนนาก็ตั้งใจจะเฝ้ารอเขาอยู่ในจุดเดิมจริงๆนั่นแหละ
แต่เธอใช้เวลาช่วงที่ยังว่างๆ นั่งอ่านข้อมูลที่ผู้ใต้บังคับบัญชารวบรวมมา และพบว่าตัวเองดันลืมทำสิ่งที่สำคัญที่สุดไปซะได้ เลยจากไปเสียก่อน
ณ มหาวิทยาลัยในเมืองหลวง
บนดาดฟ้าตึกเรียน
แอนนายืนอยู่บนรั้วกั้น สองแขนของเธอไขว้ไปด้านหลัง สายตาจับจ้องไปยังเบื้องล่าง
ด้วยความอารมณ์ร้อนของเธอ เธอสามารถทนรอกู่ฉิงซานอยู่ในสถานที่เดิมได้แค่ยี่สิบนาทีเท่านั้น จากนั้นก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป
ในเมื่อไม่รู้ว่าเขาหายไปที่ไหน และไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ นอกจากนี้ยังมีบางอย่างในจิตใจของเธอที่ยังอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับใครคนหนึ่ง และจำต้องพบเจอกับเธอคนนั้นให้ได้ ดังนั้นแอนนาจึงไม่ลังเลที่จะขับรถเหินเวหากลับมา มุ่งตรงสู่มหาวิทยาลัยในเมืองหลวง
สามนักศึกษาสาว ในชุดเครื่องแบบมหาลัยใหม่เอี่ยม กำลังเดินลงมาจากทางเท้าของตัวอาคาร
หนึ่งในนั้นมีผิวขาวเป็นธรรมชาติ รูปลักษณ์ดูโดดเด่นและให้อารมณ์ความรู้สึกอ่อนโยน ส่งผลให้หัวใจของผู้คนรู้สึกอ่อนยวบตั้งแต่แรกเห็น
แอนนาจับตามองนักศึกษาสาวคนนั้นอย่างแทบคลั่ง ไม่ว่าจะเป็นดวงตา รูปปาก หรืออื่นๆเธอก็ดูจะพ่ายแพ้!
“เฮอะ! แต่อย่างน้อยหน้าอกฉันก็ใหญ่กว่านิดหน่อย ที่สำคัญฉันยังสูงกว่าอีกด้วย!”
เงาที่หลบอยู่ใต้ฝ่าเท้าของแอนนาเอ่ยปาก “ฝ่าบาท ท่านเป็นถึงเจ้าหญิง แต่นางนั้นเป็นแค่เพียงหลานสาวของจ้าวมณฑล ด้วยสถานะนี้ จะนำมาเปรียบเทียบกับท่านได้อย่างไร”
สามนักศึกษาสาวเดินทะลุผ่านอาคารเรียน และในไม่ช้าทั้งสามก็หายลับไปในสุดเส้นทาง
“โง่หน่า เรื่องสถานะมันจะเอามาเปรียบเทียบกันได้อย่างไร? เขาไม่ใช่คนประเภทที่มักจะประจบประแจงคนที่ทรงอำนาจเสียหน่อย” แอนนากล่าว
“ท่านต้องการจะพูดอะไรกันแน่?” เงาที่อยู่เบื้องล่างรู้สึกว่าสมองของเขาเริ่มสับสน
“ฉันมาสายไปน่ะสิ เธอเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับเขาในสมัยมัธยมมาตั้งสามปี นั่นคือข้อด้อยของฉันที่ไม่อาจนำไปเปรียบเทียบได้” แอนนากะพริบตาด้วยความอ้างว้าง
นานแค่ไหนกันนะ ที่เธอไม่ได้รู้สึกอ้างว้าง ทว่าเพียงพริบตาเดียวมันก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ ตัวเธอกลับมากระตือรือร้นขึ้นอย่างรวดเร็ว
เธอเหยียดนิ้วเรียวงามขึ้นมาลูบคางเบาๆ ทันใดนั้นก็เอ่ยถามออกมา “ฟอร์ด บอกฉันมาตามตรง ถ้าฉันท้าสู้กับเธอตัวต่อตัว ติดว่าเธอจะยอมหลีกทางให้ฉันไหม?”
เงาไตร่ตรองอย่างรอบคอบจริงจังอยู่พักหนึ่ง จึงกล่าว “นี่ ไม่อาจตัดสินได้อย่างแน่ชัด แต่สิ่งที่สามารถตัดสินได้อย่างแน่นอนเลยก็คือ สถานการณ์นั้นจะนำไปสู่ข้อพิพาททางการทูตขั้นรุนแรงในระหว่างสองประเทศ”
แอนนาผละมือออกและเริ่มไตร่ตรอง “ถ้างั้นทำไมเราไม่ทำให้มันดูเหมือนเป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการต่อสู้ล่ะ”
แม้จะมองไม่เห็น แต่ก็พอจะบอกได้ว่าเงาเบื้องล่างกำลังยกมือขึ้นปาดเหงื่ออย่างเงียบๆ เขารีบเอ่ยในทันที “เอ่อ แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการต่อสู้ ก็พอจะได้อยู่ แต่… ”
สายตาของแอนนาพลันเปล่งประกาย “นั่นหมายความว่าคุณเห็นด้วยกับฉันใช่ไหม? ฉันจะไม่ใช้พลังต่อสู้กับเธอ แต่จะวัดแพ้ชนะกับด้วยมือเปล่า!”
เงาตะโกนขึ้น “ฝ่าบาท นั่นมันมิได้ต่างอันใดกับการต่อสู้เลย”
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่ ทันใดนั้น หญิงสาวที่กำลังถูกกล่าวถึง ก็เดินออกมาบนถนนพร้อมสมองควอนตัมในมือ
“นายกำลังเรียนกับครูคนไหนอยู่งั้นเหรอ แล้วมีกิจกรรมอะไรบ้างล่ะ” ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยผ่านสมองควอนตัมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ทว่าขณะที่กำลังเดินคุยอยู่นั้นเอง จู่ๆ ซูเซี่ยเอ๋อก็หายตัวไปอย่างฉับพลัน
“เอ๋?”
ทั้งสองบนดาดฟ้าอาคารเรียนเกิดการตื่นตัวขึ้นในทันที
“ฟอร์ด?”
“กระหม่อมสัมผัสได้ถึงสนามพลังบางอย่าง”
“หรือว่าจะเป็นการลอบสังหาร?”
“โปรดรอสักครู่ ขอกระหม่อมยืนยันให้แน่ใจก่อน”
เงาวาบผ่านออกไป และวูบกลับมาอย่างรวดเร็ว
“เป็นคนจากสมาคมจูซิงสมาคมนองเลือด พวกมันขวางทางกระหม่อมเอาไว้”
“สมาคมจูซิง? เจ้าพวกสกปรกนั่น ดูเหมือนคิดจะทำการลอบสังหารจริงๆ”
ดวงตาของแอนนาหรี่แคบลง
“ไปกันเถอะ ไปช่วยเหลือเธอกัน” แอนนาสะบัดมือไปมาและกล่าว
“ฝ่าบาท มิใช่ว่าท่านมองเธอเป็นศัตรูหรอกหรือ? ทำไมพวกเราถึงไม่เลือกที่จะเฝ้าดูอย่างเงียบๆ ล่ะ”
“เจ้าผู้ใช้เทคนิคเงาบ้านี่ อยากให้ร่างจริงไหม้เกรียมเป็นสีดำกลมกลืนกับเงาไหม?” แอนนาหันมาจ้องมองเงาด้วยสายตาเย็นชา
ผมแดงเพลิงปลิวไสวไปตามลม ดวงตาอันงดงามของเธอกะพริบปริบๆ ด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
เปลวเพลิงอันรุนแรงคำรามก้อง มันปรากฏขึ้นเป็นเส้นสาย ก่อนที่พวกมันจะหมุนวนเป็นวงกลมใต้ฝ่าเท้าเบื้องล่างของเธอ
“ฉัน! หากต้องการสิ่งใด! ฉันจะต่อสู้เพื่อให้ได้มันมาด้วยตัวเอง!!” แอนนาย่ำลงบนเงาเบื้องล่าง ขณะที่มันหลบวูบไปด้านข้าง “เรื่องยืมมือคนอื่นอย่างการเฝ้าดูอีกฝ่ายถูกฆ่าตายอย่างหมดหนทางน่ะ ฉันไม่นับหรอก!”
เธอกระโจนขึ้น ปากตะเบ็งเอ่ยร้อง “ฟอร์ด พวกเราลุยกันเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
แอนนาทะยานลงหามือลอบสังหาร ส่วนกู่ฉิงซานขณะนี้พึ่งเดินมาได้เพียงไม่กี่กิโลเท่านั้น
จู่ๆ เขาก็หยุดฝีเท้าลง
ในถิ่นทุรกันดารที่รกร้างแห่งนี้กลับปรากฏเรือรบลำเล็กๆ จอดรอเขาอยู่เบื้องหน้า และประตูของมันก็เปิดออก
ใครกันที่กำลังเฝ้ารอเขาอยู่?
ในหัวใจของกู่ฉิงซานเกิดคำถามขึ้น
ทันใดนั้นสมองส่วนบุคคลของเขาก็สว่างวาบ
พร้อมกับเสียงของเทพธิดากงเจิ้งที่เปล่งออกมา
“ผู้นำสูงสุดแห่งรัฐบาลกลาง กู่ฉิงซาน ตามลำดับอำนาจของพลเมืองในรัฐบาลกลาง ฉันมีหน้าที่จะต้องแจ้งให้ทราบถึงสถานการณ์ความคืบหน้าล่าสุดแก่คุณ”
.......................................