ตอนที่ 71 สกิลเทวะ
จ้าวกระบี่จ้องค้างไปยังสายธารที่กำลังใกล้เข้ามามากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ และอดไม่ได้ที่จะถาม “มารสามตา สิ่งที่แลคล้ายกระแสธารจากแม่น้ำฮวงโหนี่คือสิ่งใดกัน?”
มารสามตาที่พึ่งสบประมาทนางเซียนไป่ บัดนี้ไม่หลงเหลือความจองหองอีกต่อไป สองตาของเขาเบิกกว้าง จับจ้องไปยังสายธารบนฟากฟ้า
“กระทั่งข้าก็ยังไม่เคยพบเห็นมันมาก่อนเลย แล้วจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าสิ่งนี้คือ…”
ทันใดนั้นเองมารสามตาดูเหมือนจะพลันตระหนักได้ถึงบางสิ่ง ใบหน้าของมันสั่นสะท้านและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว จนไม่สามารถเอ่ยต่อได้
ราชามารฮวงที่ถูกขโมยอาวุธไป ในหัวใจของเขาฟุ้งไปด้วยเจตนาฆ่า ปากอ้าเปล่งเสียงคำรามลั่น “ไม่ว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไร ข้าจะจัดการทลายมันอย่างเต็มกำลัง! จากนั้นก็จะตามล่าเซี่ยเต๋าหลิง คิดบัญชีกับนางให้สาสม!”
มารมังกรกล่าว “ถูกต้อง! ไม่ว่าสายธารนี้จะดูยิ่งใหญ่เพียงใด แต่มันคงไม่แคล้วเป็นเทคนิคมนตราเทคนิคใดเทคนิคหนึ่งเป็นแน่ ขอเพียงพวกเราประสานโจมตีร่วมกัน ก็จะสามารถทะลวงฝ่ามันออกไปได้”
มารตนอื่นๆ ขบคิด และสรุปในจิตใจว่ามันสมควรเป็นเช่นนั้น ทั้งหมดจึงกระตุ้นรีดพลังวิญญาณออกมา เตรียมลงมือ
ทว่าวินาทีต่อมาพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไป
เนื่องเพราะจู่ๆ ก็ปรากฏท่วงทำนองที่ฟังดูคลุมเครือดังออกมาจากความว่างเปล่า
ท่ามกลางละอองหมอก ปรากฏเจ้าของเสียงที่เป็นหญิงนางหนึ่ง รูปร่างเพรียวบาง ทว่ากลับสวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้า กำลังแล่นเรืออยู่ท่ามกลางสายธารยักษ์
สองมือของหญิงสาวยังคงพายต่อไป ขณะเดียวกันก็เอ่ยปากคอยขับคลอ ร้องท่วงทำนองที่ให้ความรู้สึกลี้ลับ
“เป็นผู้ใดกัน?” จ้าวกระบี่อดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา
“นางกำลังตรงมายังพวกเรา นี่มันไม่ถูกต้อง มนุษย์จะปรากฏตัวขึ้นจากเทคนิคมนตราได้อย่างไรกัน?” คิ้วของมารมังกรขมวดมุ่นเป็นครั้งแรก
มารทั้งหลายบังเกิดความขุ่นข้องบางอย่างขึ้นในจิตใจ
จากประสบการณ์และความเข้าใจของพวกเขา ที่แทบจะเคยพบเห็นเทคนิคมนตราทั้งหมดในโลกใบนี้มาแล้วไม่เว้นกระทั่งเทคนิคลับ
แต่ฉากในปัจจุบันนี้ มันได้ทำลายประสบการณ์ความรู้ของพวกเขาไปโดยสมบูรณ์
เจ้าสิ่งนี้ ทำเอาพวกเขาไม่อาจสัมผัสได้ถึงร่องรอยหรือเงื่อนงำใดๆ เลย
เรือที่ผุดมาจากมิติอันว่างเปล่า หญิงสาวที่ยืนจ้วงฝีพายอยู่หลังท้ายเรือ แม้จะไม่เห็นใบหน้าแต่ก็พอจะบอกได้ว่าเธอกำลังจับจ้องมายังพวกเขา
หลังจากกวาดสายตาไปยังเรือนร่างของหญิงสาว ลึกลงไปในคู่ดวงตาของมารมังกรก็พลันปรากฏร่องรอยแห่งความปรารถนา
“แม่หนูน้อยคนนั้น แท้จริงแล้วก็แลดูน่าขยี้ไม่”
เอ่ยได้เพียงแค่ครึ่งประโยค จู่ๆ เสียงของมารมังกรก็แหบแห้งและจางหายไป
เนื่องเพราะผ้าคลุมที่บดบังใบหน้าพลันสยาย เผยให้เห็นเพียงหัวกะโหลกเงาวับแวววาว
บนกะโหลก ภายในคู่หลุมลึกทะมึนของดวงตา ปรากฏรังสีแสงมรกตสองดวงกำลังจดจ้องมายังเหล่ามารอย่างเงียบๆ
แม้บางตนจะเป็นถึงราชามาร แต่เมื่อเห็นฉากนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความหวาดกลัวบางอย่างขึ้นในจิตใจ
กว่าที่จะประสบความสำเร็จเฉกเช่นทุกวันนี้ได้ พวกเขาย่อมล้วนเคยข้ามผ่านทะเลเลือดและภูเขาโครงกระดูกมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน ฉะนั้นโครงกระดูกธรรมดาย่อมไม่มีทางระคายตาพวกเขา
อย่างไรก็ตาม โครงกระดูกหญิงงามเบื้องหน้านี้ กลับปลดปล่อยกระแสอากาศอันเย็นสะท้านอย่างไม่อาจอธิบายได้ออกมา
นี่คือเทคนิคมนตราที่ไม่เคยได้พบได้เห็นมาก่อน! โครงกระดูกหญิงงามตรงหน้าก็คือสัตว์ประหลาดที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในโลกใบนี้เช่นกัน!
เมื่อเผชิญหน้ากับความรู้สึกไร้กำลังคล้ายจะสิ้นหวัง ความหวาดกลัวในจิตใจของทั้งหมดก็ทะยานสูงขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
“นังผีร้ายจากนรกโลกันต์ จงตายเสีย!”
มารมังกรตะคอกคำหนึ่ง ยกมือขึ้นและระเบิดเทคนิคเต๋าออกไป
เทคนิคเต๋านี้ช่างรวดเร็วและรุนแรง ทว่ามันยังไม่ทันจะพุ่งไปถึงโครงกระดูกหญิง เทคนิคนี้ก็ถูกกวาดกระจัดกระจายกลืนหายไปในสายธารยักษ์เสียก่อน
มารมังกรแม้กระทั่งในหมู่มวลมารนักปราชญ์ด้วยกัน เขาก็ยังนับว่าอยู่ในระดับสูง และการใช้ออกด้วยเทคนิคเต๋าเมื่อครู่ ก็เพียงพอแล้วที่จะล่มเมืองทั้งเมืองลง
ทว่าตอนนี้พลังที่พึ่งระเบิดออกไปอย่างเต็มกำลัง มันกลับกระจัดกระจายสลายหายไปอย่างเงียบๆ
เหล่ามารนักปราชญ์เผยถึงความตกใจในแววตา ทั้งหมดต่างหันมามองหน้ากันและกัน
หญิงโครงกระดูกมิได้โจมตีสวนกลับ หากแต่เธอยังคงยืนอยู่อย่างเงียบๆ ราวกับว่ากำลังเฝ้ารอบางสิ่งบางอย่าง
“สายธารแห่งการหลงเลือน…ใช่แล้ว นี่มันจะต้องเป็นสายธารแห่งการหลงเลือนเป็นแน่!” สีหน้าของมารสามตาเปลี่ยนเป็นซีดขาว
“เจ้าว่าอะไรนะ? เกรงว่าเจ้าคงเข้าใจผิดเสียมากกว่า สายธารนั่นมันอยู่ในนรกโลกัลต์ต่างหาก” สองตาของราชามารฮวงกะพริบไหว
เขาใช้ชีวิตอยู่บนโลกแห่งผู้ฝึกยุทธมานาน แถมยังได้สั่งสมประสบการณ์จากในโลกเทวะ แน่นอนมันจึงทำให้เขาได้รับรู้ว่า ในห้วงจักรวาลนี้ ยังมีการดำรงอยู่ของอีกหลายโลก และทั้งหมดสามารถเชื่อมต่อกันและกันได้
แต่วงจรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสังสารวัฏ ดังเช่นนรกโลกัลต์ที่เต็มไปด้วยผีร้ายที่หิวโหย มันย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่
เว้นเสียแต่ว่าจะตกตายลงเสียก่อน จิตวิญญาณแยกจากกายหยาบ จึงจะเป็นไปได้ที่จะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสังสารวัฏ
นี่คือ ‘หกวิถีแห่งสังสารวัฏ’ คือหลักการของสวรรค์แห่งเต๋า เป็นสิ่งที่ไม่มีทางแปรเปลี่ยนไปได้
อย่างไรก็ตาม มารสามตากลับบอกว่านี่คือสายธารแห่งการหลงเลือนจากนรกโลกัลต์ที่ว่านั่น?
สายธารแห่งการหลงเลือนในตำนานจะปรากฏขึ้นบนโลกใบนี้ได้อย่างไร?
มันจะเป็นไปได้กระนั้นหรือ?
เหล่ามารนักปราชญ์เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อถึงสิ่งที่กล่าวนี้
มารมังกรหัวเราะหยันและกล่าว “ข้าว่าเจ้าคงจะหวาดหวั่นในตัวของเซี่ยเต๋าหลิง จนเกิดกลัวตายขึ้นมาเสียมากกว่า”
มารสามตาจับจ้องตรงไปยังหญิงงามหัวกะโหลกและกล่าวด้วยร่างที่สั่นสะท้าน “ไม่ นี่ดูท่าจะไม่ผิดพลาดแล้ว”
มารมังกร “ผายลม! ข้าเป็นนักปราชญ์ที่ตระหนักรู้มามากกว่าพันปี แม้ว่าประสบการณ์ความรอบรู้จะไม่อาจเทียบเคียงเจ้า แต่อย่างน้อยก็ยังสามารถตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า ต่อให้ใช้ออกด้วยเทคนิคมนตราที่ทรงพลังมากเพียงใด มันก็ยังไม่อาจเชื่อมต่อระหว่างทั้งสองโลกได้!” *โลกสังสารวัฏกับโลกผู้ฝึกยุทธ*
มารสามตาสะบัดหัวไปทางมารมังกรอย่างแรง แววตาอันชั่วร้ายจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย “หากนี่มิใช่เทคนิคมนตราเล่า?”
มารมังกร “มิใช่เทคนิคมนตรา เช่นนั้นมันคือ”
ทันใดนั้นเองเขาก็ต้องหุบปากลง
เหล่ามารนักปราชญ์หันมามองหน้ากันราวกับตระหนักได้แล้วถึงบางสิ่ง ต่างฝ่ายต่างเห็นร่องรอยของความตกตะลึงในแววตาของอีกฝั่ง
และเสียงของหญิงสาวอันไพเราะเสนาะหูก็ดังขึ้น “ถูกต้อง อย่างที่พวกเจ้าคิดนั่นแหละ มันคือสกิลเทวะ หากต้องการจะเชื่อมต่อระหว่างสองโลกจำต้องใช้ออกด้วยสกิลเทวะเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นจำต้องเป็นสกิลเทวะระดับสูงอีกด้วย”
ผู้ที่เอ่ยออกมาคือมารตนสุดท้ายที่สวมผ้าคลุมหน้าและปิดปากเงียบมาโดยตลอด ทว่าบัดนี้นางได้ดึงมันออกแล้ว เผยให้เห็นถึงโฉมหน้าอันงดงาม
หนึ่งในมารนักปราชญ์ มารนกยูง
มารนกยูงมิได้เอ่ยกับคนอื่นๆ ต่อ แต่กลับหันตรงไปยังทิศทางของวังร้อยบุปผาที่อยู่ห่างไกลออกไปและกล่าว “นางเซียน ข้ายินดียิ่งที่ได้พบกับท่าน และหวังว่าจะได้พบกันอีกครั้ง ไม่ทราบว่าท่านจะสามารถรับฟังคำร้องขอของข้าได้หรือไม่”
“เจ้าว่ามา”
เซี่ยเต๋าหลิงที่่นั่งอยู่บนบัลลังก์หมื่นบุปผา สองมือประกบแนบระหว่างนิ้วประสานด้วยผนึกมนตรา จนขนคิ้วของเธอขมวดมุ่น เอ่ยปากกล่าว
มารนกยูงเอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อมและสุภาพ “มารมังกรจับตัวบุตรสาวที่น่ารักของข้าไป และบีบบังคับให้ข้าร่วมหัวจมท้าย ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วข้าหาได้เต็มใจไม่”
“ตั้งแต่ที่ได้พบเห็นการมาถึงของสกิลเทวะ ข้าก็ตัดสินใจแล้วว่าจะร้องขอให้นางเซียนช่วยชีวิตบุตรสาวของข้า และนับจากนี้ไปในอนาคต ข้าก็ยินดีจะปฏิบัติตามที่นางเซียนต้องการเท่านั้น”
เซี่ยเต๋าหลิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากพี่สาวแค่เพียงถูกบังคับฝืนใจให้กระทำ เช่นนั้นเรานักปราชญ์ย่อมมิอาจตำหนิได้”
“มารนกยูง! เจ้าไม่อยากให้บุตรสาวเจ้ามีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้วสินะ!” มารมังกรคำรามลั่น พร้อมกับดึงบางสิ่งบางอย่างออกมาเตรียมที่จะบดขยี้
“ไม่นะ!” ใบหน้าอันงดงามของมารนกยูงแปรเปลี่ยนเป็นซีดเซียว
“จงใช้ออกอย่างเต็มกำลังโจมตีไปที่เจ้าโครงกระดูกนั่นซะ ไม่อย่างนั้นละก็ ข้าจักฆ่าบุตรสาวของเจ้าเดี๋ยวนี้ล่ะ!” มารมังกรเอ่ยอย่างเย็นชา
มารนกยูงมองไปยังทิศทางของวังร้อยบุปผา ขณะนี้มันเป็นการยากเหลือเกินที่จะตัดสินใจเลือก ทั้งร่างสั่นสะท้าน ก่อนที่จะคุกเข่าลงกลางอากาศอย่างช้าๆ
เธออ้อนวอน “นางเซียนได้โปรดเถิด”
เผ่ามารที่อยู่ในขอบเขตประทับเทพยอมคุกเข่าลงต่อหน้านักปราชญ์แห่งมนุษยชาติ แม้จะอยู่ห่างออกไปหลายหมื่นลี้ก็ตามที ทว่านี่กลับทำให้สีหน้าของมารนักปราชญ์ทั้งหมดในที่นี้ถึงกับแปรเปลี่ยนไป
เซี่ยเต๋าหลิงถอนหายใจอย่างแผ่วเบา พลังวิญญาณเอ่อล้น ตรงหน้าอกเปล่งแสงสีมรกตเรืองรองอันน่าอัศจรรย์ใจ
ได้ยินเพียงเสียงเธอกระซิบอย่างแผ่วเบา “สกิลเทวะ สายธารแห่งการหลงเลือน”
แสงเรืองรองอันน่าอัศจรรย์ใจพลันตอบสนองต่อคำกล่าว มันวิ่งวูบไหวออกจากวังร้อยบุปผา บินทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
ภายใน แนวหน้า
แสงสีเขียวมรกตตกทะลุชั้นเมฆลงมา กระทบลงบนร่างโครงกระดูกสาว
ไฟสีเขียวในโพรงดวงตาของโครงกระดูกสาวพลันลุกพรึบ นางเอ่ยถามขึ้นทันใด “ต้องการให้ผู้ใดข้ามไปยังอีกฝั่งปรภพ?”
ในวังร้อยบุปผา นางเซียนไป่เอ่ย “นอกเหนือไปจากมารนกยูง และวิญญาณที่อยู่กับมารมังกรแล้ว ทุกสิ่งอย่างเป็นของเจ้า จงนำพวกมันไปเผาผลาญใช้งานดั่งไส้ตะเกียงเป็นเวลาสามหมื่นปี จากนั้นจึงค่อยปล่อยพวกมันลงสู่ขุมนรก”
“ขอบน้ำใจเจ้ามากและ…ตามที่เจ้าปรารถนา”
หญิงงามโครงกระดูกกล่าว ก่อนจะหันไปมองรอบๆ โค้งตัวเอ่ยทักทาย “โปรดขึ้นมาบนเรือด้วย”
สิ้นเสียง ร่างเงาทะมึนพลันถูกดึงดูดลอยออกมาจากหัวของเหล่ามารนักปราชญ์ ทั้งหมดถูกส่งตรงเข้ามาบนเรือที่กำลังแล่นอยู่ท่ามกลางสายธารแห่งการหลงเลือน
พวกเขาพยายามสะบัดมือไม้ต่อสู้ดิ้นรนด้วยความสยองขวัญ
อย่างไรก็ตาม เมื่อถูกแยกออกจากกายหยาบ กระบวนการทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเทคนิคลับใดๆ ก็ล้วนไม่อาจใช้ออกได้ ทั้งหมดทำได้เพียงพยายามตะเกียกตะกายกลับไปยังกายหยาบทว่าสุดท้ายก็ถูกลากลงมาในเรือ พร้อมถูกนำพาข้ามปรภพไปในที่สุด
ปุกๆ...เสียงหนักทึบดังขึ้น ก่อนที่กายเนื้อของเหล่ามารนักปราชญ์จะตกลงจากท้องฟ้า ร่วงกระแทกผืนดินเบื้องล่างจนกลายเป็นหลุมลึก
โครงกระดูกสาวฮัมท่วงทำนองเพลงจากใต้พิภพอย่างรื่นรมย์ สองมือจ้วงฝีพาย เลี้ยวหัวเรือกลับไปยังอีกฟากฝั่ง หายลึกเข้าไปในสายธารแห่งการหลงเลือน ก่อนจะมิอาจมองเห็นได้อีกต่อไป
.........................................