ตอนที่ 68 ลงมือ
กู่ฉิงซานกำลังคิดว่าที่เธอเอ่ยกล่าวถามอาจจะเป็นเพราะเธอไม่เคยมีประสบการณ์ดังกล่าวจึงอยากจะรับรู้เรื่องราวพวกนี้ใช่หรือไม่?
เขานึกคิดเช่นนั้นโดยไม่รู้เลยว่า แม้นางเซียนไป่มีพรสวรรค์โดยกำเนิดอันแสนโดดเด่น และเป็นถึงหญิงงาม แต่ทว่านิกายที่อยู่กลับถูกทำลายลง เหลือทิ้งไว้แค่เธอเพียงลำพัง หลงทางอยู่ในโลกอันซับซ้อนและมักจะหลบซ่อนตัว ผ่านร้อนผ่านหนาว ข้ามผ่านทะเลเลือดและน้ำตา ไม่น้อยไปกว่ากู่ฉิงซานเลย
จิตใจของนางเซียนไป่กำลังหวั่นไหวอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกเมื่อมองลงไปยังชายหนุ่มที่กำลังเล่าเรื่องราวอยู่เบื้องหน้า
บนร่างกายของเจ้าหนูนี่มีกลิ่นเหม็นบางอย่างที่ดูคลุมเครือ แต่หากลองสังเกตและวิเคราะห์ดูสักเล็กๆ น้อยๆ จะรู้ว่ามันเป็นกลิ่นของมาร
กลิ่นเหม็นนี่จะต้องถูกใช้เพื่อขับไล่มารตนอื่นๆ ไม่ให้เข้ามาใกล้เป็นแน่
นางเซียนไป่ก็เคยก้าวเดินออกมาจากทะเลเลือดที่เต็มไปด้วยซากศพเช่นกัน แม้จะไม่ใช่กลิ่นเฉกเช่นเดียวกันกับกลิ่นเหม็นนี้ แต่ก็ให้ความรู้สึกคล้ายกัน กลิ่นเหม็นที่โชยออกมาจากกู่ฉิงซานไม่ได้ทำให้หัวใจของเธอรู้สึกเกลียดชัง ในทางตรงกันข้าม มันกลับทำให้รู้ว่า กว่าเจ้าหนูนี่จะมาถึงที่นี่ได้นับว่าไม่ง่ายเลยจริงๆ
หากสังเกตอย่างรอบคอบจะพบว่าขาของเขายังชุ่มไปด้วยเลือดสดๆ ที่ยังไม่แข็งตัว ตรงเอวปรากฏรอยกัดจากเขี้ยวมารอันแหลมคมและชิ้นเนื้อส่วนหนึ่งบริเวณไหล่ก็มีร่องรอยถูกตัดออกไป ตรงจุดนี้อาจจะเป็นรอยที่เกิดจากกรงเล็บมาร
เด็กคนนี้นับว่าเป็นตัวตนที่น่าสนใจที่สุดในรอบปีเลยทีเดียว นี่มันน่าทึ่งจริงๆ
นอกจากนี้ เด็กคนนี้ยังได้รับการยอมรับจากดาบที่เป็นมรดกตกทอดของนิกายอีกด้วย
ดาบพิภพเป็นดาบที่มีจิตวิญญาณ อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นทั้งเพื่อนและอาวุธของเขาในคราวเดียว มันจะอยู่กับเขาแม้กระทั่งในวันที่ยากลำบาก…ลองคิดดูสิว่าหากตัวดาบไม่ชมชอบเขาจริงๆ มันจะยอมไปอยู่กับเขาอย่างนั้นหรือ?
นางเซียนไป่หลับตาลงเล็กน้อย ก่อนจะลืมขึ้นอีกครั้งและเอ่ยอย่างแผ่วเบา “หากข้าหวังจะให้เจ้ามาเข้ากับนิกายร้อยบุปผา จะเป็นไปได้หรือไม่?”
หัวใจของกู่ฉิงซานเต้นครึกโครม
คำถามนี้คือคำถามที่ผู้ฝึกยุทธและผู้เล่นมากมายนับไม่ถ้วนต่างก็ใฝ่ฝันถึง
เรื่องเซอร์ไพรส์เช่นนี้ กู่ฉิงซานไม่ได้คาดคิดเลยว่าจะเกิดขึ้น
ในชีวิตก่อนหน้า เขาไปทำการทดสอบประจำปีมากมาย แต่กลับไม่มีนิกายใดต้องการเขาเลย
จนในที่สุด เขาก็ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อมีชีวิตรอด และลอบเข้าไปในอาณาเขตของมาร เพื่อขุดน้ำยาวิญญาณออกมาขายเพื่อที่จะนำเงินมาใช้ประมูลเทคนิคดาบ
ทว่าในตอนนี้ เขากลับถูกเชื้อเชิญด้วยตัวเอง?
เชื้อเชิญเข้านิกายร้อยบุปผา!
กู่ฉิงซานระงับความตื่นเต้นที่พุ่งสูงขึ้นในจิตใจ และพยายามตอบอย่างสงบว่า “ผู้น้อยเต็มใจ”
ประโยคนี้เปล่งออกไปโดยไร้ซึ่งความลังเลและสำนึกเสียใจ
ในชีวิตก่อนหน้ามีผู้เล่นเพียงสองคนเท่านั้นที่โชคดีได้กลายเป็นศิษย์ของน้อมสวรรค์ซวนหยวนและนักพรตเป่ยหยวน
ตั้งแต่ต้นเกมจนถึงวันสิ้นโลกกลับไม่มีผู้เล่นคนใดที่ได้กลายเป็นศิษย์ของนางเซียนไป่ฮั่วปรากฏขึ้นมาก่อน
ในเวลาเดียวกัน จนกระทั่งนางเซียนไป่ตกตายลง ผู้คนจึงทราบว่าประชากรเกือบทั้งหมดในอาณาจักรร้อยบุปผานิรันดร์แท้จริงแล้วเป็นร่างอวตารของเธอ
ในทางกลับกันนางเซียนไป่เป็นคนที่มีวิสัยทัศน์สูงส่งมาก คนที่จะสามารถเข้าตาเธอได้ และได้ร่วมมือกับเธอนับว่ามีน้อยนิดยิ่ง
นอกจากนี้สำหรับกู่ฉิงซานนี่นับได้ว่าเป็นโชคดีในโชคร้าย
เนื่องเพราะหากกู่ฉิงซานไม่บังเอิญไปพบเจอกับกงซุนซีและหนิงเยว่ฉาน จากนั้นก็ได้รับภารกิจช่วยเหลือ เขาก็คงจะไม่มายังที่แห่งนี้เพื่อเลือกรายการทดสอบดาบ และทำการล้มหญิงรับใช้ทั้งสองลงได้
หากไม่ใช้ออกด้วยฝ่าวารีเชี่ยว จนดาบแตกสลายลง นางเซียนไป่ก็คงไม่เห็นใจ และเขาคงไม่ได้รับโอกาสที่จะได้เลือกดาบเล่มใหม่เป็นการชดเชย
นอกจากนี้เขาก็ยังได้เล่าประสบการณ์ภูมิหลังของครอบครัว จากนั้นก็ตอบคำถามที่นางเซียนถามได้อย่างสมบูรณ์แบบ
และสิ่งนี้ก็นำไปสู่การดลใจความคิดของนางเซียนไป่
เงื่อนไขทั้งหมดนี้ หากมีชิ้นส่วนใดชิ้นส่วนหนึ่งขาดหายไป เกรงว่านางเซียนไป่คงไม่เอ่ยปากขอรับเขาเป็นลูกศิษย์เช่นกัน
หากไม่จบเงื่อนไขเหล่านี้โดยสมบูรณ์ ในยามหน้า ต่อให้กู่ฉิงซานเรียกคืนสถานะของนักดาบนิรันดร์กลับคืนมาได้ นางเซียนไป่ฮั่วก็คงไม่คิดจะเหลือบแลเขาแม้หางตา
มีผู้แข็งแกร่งมากมายต้องการอยู่ภายใต้นักปราชญ์ แต่นักปราชญ์ที่นั่งอยู่บนจุดสูงสุดของผู้ฝึกยุทธนับหลายสิบล้านย่อมไม่อาจเบนสายตามายังผู้คนเหล่านั้นได้โดยง่าย
“ยอดเยี่ยม”
แม้ใบหน้าของนางเซียนไป่จะถูกปกปิดด้วยผ้าคลุมหน้า ทว่าน้ำเสียงของเธอดูจะมีความสุขยิ่ง แม้กระทั่งกู่ฉิงซานก็ยังสัมผัสได้
“ธนูของเจ้า มันเรียกว่าเย่หยู?” เธอเอ่ยถามขึ้นอย่างฉับพลัน
คำถามอันไม่คาดคิดนี้ทำให้กู่ฉิงซานชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะทบทวนความทรงจำ
เขาจำได้ว่าในตอนที่กำลังข้ามแม่น้ำ เขาได้นำธนูเย่หยูออกมายิงใส่มอนสเตอร์ปลา
แต่ละคำถามของนางเซียนไป่ ช่างดูคล้ายกลอุบายที่ต้องการทำให้ผู้ถูกถามรู้สึกสับสนเสียจริงๆ
เขากล่าวตอบกลับไป “เป็นเช่นนั้น”
นางเซียนไป่หลุดเสียงหัวเราะคิกคัก ในดวงตาของเธอปรากฏร่องรอยบางอย่างที่ดูลึกซึ้ง
“นั่นคือธนูของนักบุญหนิงเยว่ฉาน?” เป็นธนูที่ดี เหมาะสมจะเป็นของกำนัลให้แก่ศิษย์คนใหม่ของนักปราชญ์เสียจริงๆ
…กู่ฉิงซานถึงกับพูดไม่ออก
“จริงสิ เจ้าเป็นผู้ฝึกดาบมิใช่หรือ เหตุใดนางถึงยังไม่ทุบตีเจ้าอีกล่ะ?”
“…ผู้น้อยช่วยชีวิตนางเอาไว้ และดูเหมือนว่านางจะยังไม่รู้ว่าผู้น้อยเป็นผู้ฝึกดาบ”
“ฮ่าๆๆ ที่แท้เป็นเช่นนี้ เรื่องราวช่างฟังดูลึกลับซับซ้อน วิเศษยิ่ง!”
นางเซียนไป่หัวเราะออกมา ตัวเธอในตอนนี้ดูจะแตกต่างกับก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง
ดูเหมือนว่าเธอจะมองว่าบุคคลตรงหน้าเป็นศิษย์ไปแล้ว จึงอยู่ในสภาวะผ่อนคลาย…กู่ฉิงซานคิดอย่างเงียบๆเกี่ยวกับเรื่องนี้
ผู้คนภายนอกต่างก็กล่าวกันว่านางเซียนไป่กำลังทุ่มฝึกฝนทั้งกายใจ และหมกมุ่นอยู่กับเทคนิคมนตรา ไม่เคยจะถามไถ่ถึงเรื่องราวของโลกภายนอก
แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าจริงๆ แล้วเธอค่อนข้างจะชอบเรื่องราวซุบซิบนินทามากทีเดียว มิเช่นนั้นคงไม่มีทางรู้เรื่องที่หนิงเยว่ฉานชอบทุบตีผู้ฝึกดาบเป็นแน่
“เจ้าเป็นศิษย์คนที่สี่ของข้า ฉะนั้นข้าสมควรมอบสมญานามให้เจ้า ควรเรียกว่ากระไรดี?”
นางเซียนไป่พึมพำกับตัวเอง
“เป็นคนที่สี่ แถมยังเป็นผู้ฝึกยุทธชาย สมควรจะเรียกว่าอะไรดีล่ะเนี่ย เอาที่เวลาได้ยินมันจะรู้สึกน่าพึงใจ?”
มองไปยังนางเซียนไป่ที่ยังคงคิดหนักเกี่ยวกับเรื่องที่ดูจะไร้สาระ กู่ฉิงซานเริ่มเป็นกังวลเล็กน้อย
กู่ฉิงซานเอ่ยเสียงแผ่ว “ท่านนักปราชญ์ ไม่สิ ท่านอาจารย์ กงซุนซีกับหนิงเยว่ฉานกำลังรอการช่วยเหลือของท่านอยู่”
เมื่อถูกเรียกว่าอาจารย์ ท่าทีและทัศนคติของนางเซียนไป่ดูเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
เธอพยักหน้าและกล่าว “อาจารย์เผลอลืมเรื่องนี้ไปเลย นี่ก็ได้เวลาแล้วที่จะช่วยพวกเขา”
สองมือของนางเซียนไป่ประกบเข้าหากัน ก่อนจะจีบออกเป็นสัญลักษณ์ผนึกมนตราและเอ่ยอย่างอ่อนโยน “พลังเทวะ อวตารแยกร่าง!”
ปรากฏสามร่างแยกของนางเซียนไป่ออกมาจากตัวเธอ ก่อนที่ทั้งสามจะร่อนลงในห้องโถง
“ข้าจะไปช่วยคนทั้งสองคนเอง”
หนึ่งในร่างอวตารกล่าว ก่อนจะโบกมือจนแขนเสื้อคลุมยาววูบไหว และทั้งคนทั้งร่างก็หายไปในความว่างเปล่าในพริบตาเดียว
ร่างอวตารนางเซียนไป่อีกคนพยักหน้าและกล่าว “มีคนระดับสูงในมนุษยชาติเป็นสายลับคนทรยศ ข้าจะไปปรึกษาเรื่องนี้กับเป่ยหยวน”
อีกหนึ่งพยักหน้าและกล่าว “เรื่องโลกเทวะ คิดว่าเจ้าซวนหยวนคงจะยินดีออกหน้าเป็นผู้บุกเบิกด้วยตัวเอง ข้าจะไปตามหาเขา”
สองร่างอวตารใช้ออกด้วยกระบวนท่าลับ และหายวับไปจากห้องโถงหลัก
บนบัลลังก์หมื่นบุปผา นางเซียนไป่กล่าวขึ้นอย่างฉับพลัน “นานเท่าไรกันหนอที่ข้าไม่ได้ไปเล่นสนุกกับพวกเผ่ามาร”
“เทคนิคลับ กระจกร้อยบุปผา”
เธอสะบัดมือออกไปแบบส่งๆ และภาพในห้องโถงก็หายวับไปทันที
กู่ฉิงซานพบว่าบริเวณโดยรอบเขากลายเป็นพื้นที่รกร้าง และทัศนียภาพโดยรอบก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วราวกับเขากำลังนั่งอยู่บนเครื่องบินเจ็ทและมองวิวภายนอกผ่านทางกระจก
ในที่สุดทิวทัศน์โดยรอบก็ค่อยๆ ชะลอความเร็วลงอย่างช้าๆ
วิสัยทัศน์นี้เป็นของร่างอวตารของนางเซียนไป่ที่จากไปตนแรก
ในเวลาเพียงไม่กี่สิบนาที เธอก็ได้มาถึงพื้นที่แนวหน้า
ห่างออกไปไม่กี่สิบลี้ ปรากฏรามสูรไร้พักตร์ยืนอยู่เหนือชั้นเมฆและเผ่ามารหลายตนที่แผ่กลิ่นอายสยองขวัญกำลังลอยอยู่ในอากาศ
บนพื้นดิน กองทัพมารนับไม่ถ้วนกำลังรายล้อมสองผู้ฝึกยุทธและเริ่มตีวงแคบเข้าไปเรื่อยๆ
เผ่ามารที่ยืนอยู่กลางอากาศบางครั้งก็ฉวยโอกาสพุ่งลงไปโจมตีอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็เร่งถอยฉากกลับมาเฝ้าดูดังเดิม
สองผู้ฝึกยุทธหนึ่งชายหนึ่งหญิงทั้งร่างท่วมไปด้วยเลือด และกำลังดิ้นรนต่อสู้ สนับสนุนซึ่งกันและกัน
สายตาของกู่ฉิงซานจดจ้องอย่างตั้งใจ บัดนี้ร่างของทั้งสองท่วมไปด้วยเลือดจนแทบจะแยกไม่ออกแล้วว่าใครเป็นใครหากไม่สังเกตที่อาวุธ
ในชีวิตก่อนหน้าพวกเขาก็ตายลงในสภาพและสถานการณ์เช่นนี้สินะ?
ในตอนนั้นเอง ลึกขึ้นไปบนชั้นฟ้าที่ห่างไกลออกไปก็ปรากฏเสียงระเบิดคำรามลั่นอย่างฉับพลัน
“มีเผ่ามนุษย์ที่แข็งแกร่งกำลังใกล้เข้ามา! ไม่ต้องยั้งมือแล้ว พวกเจ้าทั้งหมดจงเร่งมือฆ่ามันเสีย!”
ได้ยินคำสั่งนี้ ทันใดนั้นเผ่ามารทุกตัวก็พลันคลุ้มคลั่ง และโถมโจมตีอย่างสุดกำลัง
กงซุนซีพ่นหมอกเลือดออกมา และมุ่งสมาธิเพื่อกระตุ้นดิสก์ค่ายกล
หนิงเยว่ฉานกวัดแกว่งกระบี่ยาวในมือ ก่อนจะเกิดประกายสาดแสงนับไม่ถ้วนไปรวมกันอยู่ที่คมกระบี่
“นี่คือการทุ่มโจมตีสุดท้าย ฉันจะฆ่าพวกแกให้ได้มากที่สุด!” หนิงเยว่ฉานกล่าว
“ฮ่าๆ ต้องอย่างงั้นสิ! มาวัดกันว่าใครกันจะฆ่าพวกมันได้มากกว่า! ” กงซุนซีกหัวเราะร่า
เหนือพวกเขาขึ้นไป ปรากฏเทคนิคมนตราอันโกลาหลของเผ่ามารที่ปกคลุมทั้งผืนฟ้า บดบังทั้งแสงตะวัน ค่อยๆ โถมลงกดดันทั้งสอง
ภายในวังร้อยบุปผา
“อ๊า! มันสายเกินไปแล้วงั้นหรือนี่!” กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะโพล่งออกมา
ในสายตาของร่างอวตารนางเซียนไป่ กงซุนซีและหนิงเยว่ฉานยังคงอยู่ห่างออกไปหลายลี้ ทว่าเผ่ามารที่ทรงพลังทั้งหมดกลับโถมโจมตีอย่างเต็มกำลังชนิดที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
มวลมารเลือกที่จะร่วมแรงร่วมใจกันใช้ออกด้วยเทคนิคมนตราเดียวกันเพื่อสร้างประสานการโจมตีที่ทรงพลานุภาพมากที่สุด!
ด้วยความรุนแรงของการโจมตีดังกล่าวนี้ กล่าวได้ว่าทั้งสองไม่มีโอกาสรอดอีกต่อไปแล้ว
“อย่าตื่นตระหนกไป”
บนบัลลังก์หมื่นบุปผา นางเซียนไป่นั่งเอามือเท้าคางอย่างเกียจคร้าน
หากที่ใดก็ตามที่จิตสัมผัสเทวะของเธอกวาดไปถึง ไม่ว่าจะสิบลี้หรือหมื่นลี้ ไม่ว่าไกลแค่ไหน หรือเทคนิคมนตราของเผ่ามารบนท้องฟ้าจะทรงพลังเพียงใด มันก็แลดูจะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อเธอเลยแม้แต่น้อย
ในขณะเดียวกัน
ร่างอวตารของนางเซียนไป่ก็หยุดเคลื่อนไหวกลางอากาศ ก่อนจะโบกสะบัดฝ่ามือจนแขนเสื้อคลุมปริวไสวสวนทางกับกระแสลม
พลังเทวะ! โอบกอดฟ้าดิน!
ห่างออกไปหลายลี้ ในค่ายกลป้องกันของกงซุนซีแสงสว่างทั้งหมดก็พลันดับวูบ พลังของมันพลันจางหาย
สีหน้าของกงซุนซีแปรเปลี่ยนกลับกลาย “ค่ายกลล้มเหลว นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
จากนั้นทั้งเขาและหนิงเยว่ฉานก็ราวกับจะถูกผูกมัดไว้โดยบางสิ่ง ทำให้ทั้งพลังวิญญาณและเทคนิคมนตราไม่สามารถใช้ออกได้อีกต่อไป
พริบตาเดียว พลังอันทรงพลานุภาพก็ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน มันโอบกอดทั้งสองอย่างไม่อาจต้านทานหรือขัดขืน โอบกอดนี้ข้ามผ่านระยะทางหลายสิบลี้ มันดึงทั้งสองออกจากจุดดังกล่าว และหากสังเกตดูดีๆ จะพบว่าแขนที่จะใช้โอบกอดนั้นกำลังสวมทับไว้ด้วยเสื้อคลุมแขนยาวของร่างอวตารนางเซียนไป่!
ในวินาทีต่อมา การโถมโจมตีอย่างเต็มกำลังด้วยเทคนิคมนตราก็ทุ่มลงมายังตำแหน่งที่กงซุนซีและหนิงเยว่ฉานเคยยืนอยู่ และพื้นดินบริเวณดังกล่าวก็กลายเป็นหลุมลึกอย่างไม่อาจมองเห็นก้นบึ้งของมันได้…
........................................