webnovel

0055 อ๊า! ดาบของฉัน

ตอนที่ 55 อ๊า! ดาบของฉัน

กู่ฉิงซานโน้มตัวลงไปยังเบื้องหน้า ในมือถือดาบชี้ออกไปในแนวขนาน ก่อนจะเริ่มวิ่งอีกครั้ง

เบื้องหลังเขา มือของเหลิงเทียนสิงทำสัญลักษณ์ของเทคนิคลับ จากนั้นก็สะบัดออกไปเปลี่ยนเหล่ามารที่ไล่หลังให้กลายเป็นรูปสลักน้ำแข็ง

ทว่าบางตัวก็เล็ดลอดโดยการหลบเลี่ยงไปทางข้าง ก่อนจะรีบกระโจนไปยังเบื้องหน้าเพื่อขวางทางกู่ฉิงซาน แต่เมื่อต้องเผชิญกับรังสีดาบของเขา ร่างของพวกมันก็แยกเป็นหลายส่วนถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นชิ้นเนื้อสด!

พวกเขาอยู่ท่ามกลางดงทะเลมาร แต่ก็ยังคงสามารถมุ่งหน้าต่อไปได้เรื่อยๆ

ทันใดนั้นเหลิงเทียนสิงจู่ๆ ก็กล่าวออกมา “ฉันจะไม่ไหวแล้ว ฝืนได้อย่างมากที่สุดก็อีกสิบลมหายใจ”

กู่ฉิงซานเหลียวหลังมองย้อนกลับไป และเห็นว่าเผ่ามารนับไม่ถ้วนกำลังไล่หลังมาอย่างกระชั้นชิด ไล่ติดตามมายังตลอดเส้นทางที่ทั้งสองวิ่งผ่าน

จำนวนของเผ่ามารที่ไล่ล่าและต้องรับมือค่อยๆ เพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี ทว่าด้วยพื้นฐานวรยุทธของทั้งสอง หนึ่งใกล้จะเอื้อมถึงระดับก่อตั้ง อีกหนึ่งใกล้จะก้าวเข้าสู่แก่นทองคำ อย่างไรก็ตามด้วยเทคนิคมนตราของเหลิงเทียนสิง แม้จะไม่สามารถฆ่ามารได้ทั้งหมด แต่ก็สามารถชะลอความเร็วของพวกมันไม่ให้เข้ามาใกล้จนเกินไปได้

ทว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่ ด้วยตัวเหลิงเทียนสิงที่เริ่มเหนื่อยล้า ไม่นานเขาจะหมดแรงและต้องตกตาย!

หากเขาตาย กู่ฉิงซานที่โดดเดี่ยวเดียวดาย ย่อมมีโอกาสน้อยนิดที่จะไปถึงสถานที่หลบภัย

“คุณมียันต์ไหม?” กู่ฉิงซานคิดอย่างรวดเร็วและเอ่ยถาม

“มี แต่เหลือไม่มากแล้ว” 

“งั้นเปลี่ยนตำแหน่งกัน คุณไปอยู่แนวหน้า ถนอมพลังวิญญาณเอาไว้ แล้วใช้ออกด้วยยันต์โจมตีเปิดเส้นทาง ไม่ต้องหวังถึงขั้นจัดการพวกมารจนถึงแก่ชีวิตก็ได้” 

“คุณจะมาอยู่แนวหลัง?” เหลิงเทียนสิงเอ่ยถาม 

“อ่า ใช่ ก็ประมาณนั้น”

“…ตกลง!”

เหลิงเทียนสิงมองลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย

ด้วยสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ หากไม่สามารถไปถึงสถานที่หลบภัยได้ คนที่อยู่แนวหลังย่อมมีโอกาสตกตายก่อน

ทว่าด้วยการกระทำของกู่ฉิงซาน ส่งผลความนับถือที่เหลิงเทียนสิงมีต่ออีกฝ่ายเพิ่มขึ้นไปหลายส่วน

ในช่วงเวลานี้ ในจิตใจของเขาได้นับว่ากู่ฉิงซานเป็นสหายที่เคียงบ่าเคียงไหล่กันแล้วอย่างแท้จริง

“เตรียมตัวนะ”

กู่ฉิงซานกล่าว ขณะเดียวกันก็เอื้อมมือไปสำรวจเกราะหนังที่สวมใส่

เส้นทางเบื้องหน้าได้ถูกเปิดออกแล้ว และเกราะหนังกองพันทหารม้ารุ่นมาตรฐานของเขาก็เสียหาย กู่ฉิงซานจึงกระชากมันออก และโยนเกราะหนังที่ส่งกลิ่นซากเน่าเหม็นลอยไปยังดงเผ่ามารที่อยู่เบื้องหลัง

เหล่ามารพวกนี้ไล่ติดตามกลิ่นเลือดและเนื้อสดๆ มานาน แม้พวกมันถูกชะลอลงด้วยเทคนิคมนตราของเหลิงเทียนสิง แต่ก็ค่อยๆ ก้าวเขยิบมาใกล้มากขึ้นทีละนิด ทีละนิด

อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องพบเจอกับเกราะหนังที่ถูกชโลมไปด้วยเมือกเหม็นเน่ากำลังลอยตรงมา เพียงเสี้ยววินาที มวลมารทั้งหมดก็พากันยกมือขึ้นปิดจมูกและกระโจนหนีกระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศทาง

มันเหม็นจริงๆ เหม็นมากเกินไป แม้กระทั่งเหลิงเทียนสิงที่เป็นนายน้อยที่เยือกเย็นอยู่เสมอ ยังถึงขั้นแทบคุมสติไม่อยู่ และเรียกใช้พลังวิญญาณส่วนหนึ่งที่สมควรนำมาใช้ในการต่อสู้มาปกคลุมจมูกแทน เพื่อที่จะไม่ให้ได้กลิ่นของมัน

“เปลี่ยนตำแหน่ง!”

กู่ฉิงซานคำรามต่ำ หนึ่งชะลอฝีเท้าถอยฉากไปเบื้องหลัง อีกหนึ่งย่ำจนพื้นดินแตกร้าวทะยานไปเบื้องหน้า สลับสับเปลี่ยนตำแหน่งกันอย่างรวดเร็ว

เหลิงเทียนสิงคว้าจับยันต์ออกมาปึกหนึ่ง ก่อนจะใช้สองนิ้วเกี่ยวมันออกมาและเหวี่ยงไปยังเผ่ามารที่เริ่มทยอยกันมาขวางทางเบื้องหน้าอีกครั้ง เมื่อเข้าสู่ระยะโจมตี ยันต์ที่ใช้ออกก็พลันเปล่งแสงสว่างจ้า ตามมาด้วยเกิดการระเบิดส่งพวกมารลอยกระเด็นออกไป

ด้วยเจ้าสิ่งนี้ หากคิดใช้มัน ก็แค่ปลดปล่อยพลังวิญญาณออกไปกระตุ้นเล็กน้อยเท่านั้น ด้วยในกรณีนี้ จะทำให้สามารถใช้ออกด้วยการโจมตีอย่างรวดเร็ว ทว่าแน่นอนข้อเสียของมันคือการใช้ออกเช่นนี้เปรียบได้ดั่งการโยนเงินจริงๆ ทิ้งลงเตาเผา

ทว่าสิ่งที่เหลิงเทียนสิงไม่ขาดแคลนเลยก็คือเงิน ด้วยปัจจุบันที่คนภายในทีมของเขาตกตายลงหมดแล้ว และเหลือเพียงสองหน่อ สถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ ต่อให้เป็นยันต์ที่ฟุ่มเฟือยขนาดไหน เขาย่อมนำมันออกมาใช้ทั้งหมดได้โดยไม่ลังเล

การเปลี่ยนตำแหน่งของทั้งสองไม่เพียงขับไล่เผ่ามารไปได้มากขึ้น แต่ทว่ายังช่วยให้มุ่งไปยังเบื้องหน้าได้ไกลขึ้นอีกหลายสิบเมตรอีกด้วย

“ฉันไม่คิดเลยจริงๆ ทว่าเจ้ากลิ่นเน่าเหม็นนั่นจะมีประโยชน์มากมายขนาดนี้” เหลิงเทียนสิงคิดในใจ

แต่หากในช่วงเวลานั้นเขาเลือกที่จะประนีประนอม ทั่วทั้งร่างของเขาก็จะถูกปกคลุมด้วยของเหลวเน่าเหม็นของมารชิฝู…

“ตอนนี้เริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมาแล้วงั้นเหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“ไม่...ไม่เลย” เหลิงเทียนสิงเอ่ยซ้ำๆ”

ทั้งสองทะยานมุ่งไปตามทิศทางอย่างรวดเร็ว

ในทิศทางที่ไกลออกไป ด้วยเหตุที่เกราะหนังเน่าเหม็นถูกโยนออกไปแล้ว กลิ่นที่คอยปกปิดกลิ่นอายของมนุษย์ก็จึงค่อยๆ จางหายไปเช่นกัน

ในไม่ช้าเผ่ามารมากมายก็จะทยอยกันวิ่งมาไล่ล่าสังหารพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง

“เผยขุนเขา!”

กู่ฉิงซานระเบิดคำรามก้อง สองมือกระชับด้ามดาบโดยมั่น แรงกดดันจากทั่วทั้งร่างลุกพรึบเป็นฟืนไฟ

สับลงด้วยดาบเดียว

‘เปรี้ยง!’

เผ่ามารที่สูบสับกระแทกด้วยคมดาบนี้ ร่างของพวกมันทั้งหมดถูกสับแยกออกเป็นหลายส่วน ร่วงลงกลิ้งกระเด็นไปบนพื้น ยากที่จะต้านทานเทคนิคอันทรงพลังและไร้คู่เปรียบนี้ได้

ตลอดเส้นทางโรยราไปด้วยศพ และเศษซากเผ่ามารตนแล้วตนเล่า

เผยขุนเขา เป็นเทคนิคที่มีความรุนแรงยิ่ง หากศัตรูไม่สังเกตเห็นว่าคู่ต่อสู้กำลังใช้ออก ด้วยเทคนิคนี้ พวกมันย่อมต้องสูญเสียครั้งใหญ่ ทว่าการใช้ออกมันในแต่ละครั้งมิเพียงส่งผลให้ศัตรูต้องรับน้ำหนักกระบวนท่าถึง หนึ่งพันจินเท่านั้น แต่ตัวดาบยังต้องแบกรับภาระนี้ไปด้วย 

อย่างไรก็ตามการใช้ออกด้วยกระบวนท่านี้มันเชื่องช้าและง่ายต่อการหลีกเลี่ยง

ผู้ฝึกดาบทั่วไป ย่อมไม่คิดใช้ออกด้วยกระบวนท่าที่มีข้อบกพร่องเช่นนี้เป็นแน่

คงมีเพียงแค่ผู้ฝึกดาบที่เขลาที่สุด และผู้ฝึกดาบที่เฉลียวที่สุดเท่านั้นที่กล้าจะใช้ออกด้วยเทคนิคดาบเทคนิคนี้

เห็นแค่เพียงคมดาบที่กรีดร้องคำรามลั่น แต่ละการโจมตีปรากฏสายหมอกขาวเป็นเส้นสายไหลเอื่อยในอากาศราวกระแสน้ำ และทุกการโจมตีระเบิดส่งเผ่ามารลอยกระเด็นออกไปตัวแล้วตัวเล่า

ทว่าทุกการโจมตีกลับมีเศษชิ้นส่วนของคมดาบตามติดไปด้วย แต่ละเศษบ่งบอกถึงวิกฤตที่กำลังจะมาถึงทีละน้อย ทีละน้อย

ทั้งสองราวกับต้นไผ่ที่กำลังลู่ลมท่ามกลางห่าฝน ส่ายเอนไปมาตามแรงลมกรรโชก และเกือบจะถูกกลืนกินโดยเผ่ามารที่เปรียบดั่งห่าฝนอยู่หลายครั้ง

กู่ฉิงซานยังคงไม่มีทีท่าว่าจะใส่ใจ เขายังคงใช้ออกด้วยเผยขุนเขาอย่างต่อเนื่องและสมบูรณ์แบบ 

ท่ามกลางสถานการณ์ในตอนนี้มวลเผ่ามารเปรียบดั่งคลื่นทะเลที่ซัดถาโถม ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงการปะทะและหลีกเลี่ยง เพียงแค่โบกสะบัดอาวุธในมือกวาดฝ่าคลื่นตรงหน้าที่โถมเข้ามาให้พอผ่านไปได้ก็เพียงพอแล้ว

เทคนิคดาบเผยขุนเขา ได้เผยประสิทธิภาพของมันออกมาถึงขีดสุดเมื่อถูกใช้ออกโดยกู่ฉิงซาน

“ตามฉันมา เร็วเข้า” เหลิงเทียนสิงตะโกน

“พยายามอยู่!” กู่ฉิงซานกวัดแกว่งไปอีกหลายคมดาบ แต่เขาไม่คิดต่อสู้ยืดเยื้อ รีบพุ่งทะยานไปยังเบื้องหน้าโดยไม่เหลียวหลัง

ขณะนี้ทั้งสองร่วมมือกันต้านทานเผ่ามารที่รายล้อมในทิศทางเดียวกัน ก่อนจะพุ่งฝ่าออกไป แล้วหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว

ทว่าด้วยจำนวนมารที่มีมากเกินไป และมัวแต่มุ่งโจมตีไปยังทิศทางข้างหน้า ทำให้ตำแหน่งหลังเกิดช่องว่าง ปล่อยโอกาสให้พวกมารฉวยจังหวะโจมตีกู่ฉิงซาน

ไม่นานนัก ร่างของกู่ฉิงซานก็ท่วมไปด้วยเลือด ไม่ต่างอะไรจากร่างกายของวูจินและหม่าหลิว

กู่ฉิงซานยังคงฝืนทนต่อไปอย่างเงียบๆ กวัดแกว่งดาบออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง

“เผยขุนเขา!”

เขาคำรามต่ำ

คมดาบที่หนักทึบราวกับขุนเขา กดทับลงตรงไปยังเผ่ามาร

นี่คือช่วงเวลาแห่งชีวิตและความตาย เขาจะถอยหลังกลับไม่ได้!

มารหลายตนถูกโจมตีโดยกู่ฉิงซาน พวกมันไม่เพียงต้องเผชิญกับการโจมตีขั้นร้ายแรง แต่ยังไม่อาจฝืนต่อต้านได้อีกด้วย

ห้วงเวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว และพริบตาเดียวทั้งสองก็ข้ามพ้นมายังจุดที่ห่างไกลออกไป

ในที่สุดก็ใกล้จะถึงจุดหมายปลายทางแล้ว

กู่ฉิงซานไม่ได้อยู่ในสภาพร่างกายที่สมบูรณ์อีกต่อไป เลือดเนื้อของเขาตามส่วนต่างๆ บนร่างกายถูกเผ่ามารกัดกินไปไม่น้อย แต่ละบาดแผลเอ่อล้นทะลักไปด้วยเลือด

ด้วยจำนวนบาดแผลที่มากขึ้น มากขึ้นเรื่อย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่คือสถานการณ์ที่ความตายกำลังคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ

อย่างไรก็ตาม สีหน้าของกู่ฉิงซานยังคงสงบ กวัดแกว่งร่ายรำดาบยาวในมืออย่างไม่รู้จบราวกับตัวเขาไม่ได้รับผลกระทบใดๆเลย

เหลิงเทียนสิงกวาดจิตสัมผัสเทวะออกไปดู ในหัวใจของอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน

หลังผ่านพ้นไปอีกห้าลมหายใจ กู่ฉิงซานก็เอ่ยอย่างฉับพลัน “อีกไกลแค่ไหน?”

“อีกสามสิบ เมตรสุดท้าย ตอนนี้ฉันเห็นปากถ้ำแล้ว!” เหลิงเทียนสิงกล่าวอย่างวิตกกังวล

“งั้นก็ดี”

กู่ฉิงซานเบนร่างซีกหนึ่งไปเบื้องหน้า สองมือจับกุมดาบไว้แน่นและชี้ปลายของไปยังดงทะเลมารเบื้องหน้า และเอ่ยเสียงเบาราวกระซิบ

“เทคนิคลับ”

เสี้ยววินาทีนั้นเอง พลังวิญญาณจากตันเถียนพลันพลุ่งพล่าน ไหลอาบลงมายังสองแขนที่จับกุมดาบยาวเอาไว้แม่นมั่น

ดาบยาวสั่นสะเทือนราวกับมันกำลังส่งเสียงกรีดร้อง

กู่ฉิงซานคำนวณพลังวิญญาณของเขาอย่างแม่นยำ และเก็บมันไว้เพื่อเตรียมที่จะใช้ในสถานการณ์นี้

หลงเหลือพลังวิญญาณเพียงพอที่จะใช้ออกด้วยเทคนิคลับ!

รูม่านตาของเหลิงเทียนสิงที่กำลังมองฉากนี้หดวูบลงอย่างฉับพลัน

ด้วยจิตสัมผัสเทวะของเขา จึงสามารถตรวจจับพลังงานของสกิลดาบนี้ได้โดยธรรมชาติ

‘นี่มันสกิลดาบอะไรกัน ทำไมฉันถึงไม่เคยได้พบได้เห็นมันมาก่อน’

เหลิงเทียนสิงจะค้นไปในความทรงจำของเขา แต่ก็พบว่าไม่มีเทคนิคดาบใดๆ เลยที่ตรงกับกระบวนท่าเบื้องหลังนี้

หรือว่านี่จะเป็นเทคนิคลับ?

พลังศักดิ์สิทธิของผู้ฝึกดาบ ที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเอื้อม

ในหัวใจของเหลิงเทียนสิงสั่นด้วยความตื่นตะลึง เขามิอาจต่อต้านความปรารถนาที่จะมองย้อนกลับไป และใช้จิตสัมผัสเทวะเพ่งเล็งไปยังอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิด

ในพริบตานั้น แรงกดดันที่ท่วมท้นออกมาจากร่างของกู่ฉิงซานก็พลันทะยานขึ้นถึงขีดสุด

ดาบเชี่ยนฉีที่กำลังสั่นสะเทือนราวกำลังกรีดร้องก็พลันสงบลง

จิตสังหารเอ่อล้นอยู่รอบตัวดาบ ส่งผลให้จิตใจของผู้ที่เฝ้ามองรู้สึกสั่นสะท้าน

“ใช่แล้วล่ะ นั่นจะต้องเป็นเทคนิคลับแน่ๆ เขาครอบครองเทคนิคลับจริงๆ!”

เหลิงเทียนสิงเกือบที่จะกรีดร้องออกมา จนต้องยกมือขึ้นจิกแขนตัวเองให้เงียบ

เศษเสี้ยวความทระนงของเขาในจิตใจได้มลายหายไป เมื่ออยู่ต่อหน้าคมดาบนี้

ตรงข้ามกู่ฉิงซาน เผ่ามารทะลักล้น เบียดเสียดวิ่งกันตรงเข้ามาราวกับน้ำป่า พวกมันแทบจะอดใจไม่ได้ที่จะเหยียบร่างของผองเพื่อนเพื่อที่จะตรงไปเบื้องหน้าได้เร็วขึ้น หมายจะเอื้อมไปฉีกกระชากเนื้อสดตรงหน้า

เผ่ามารกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าดาหน้าเข้ามาจนฉากนี้ดูคล้ายกับกำแพงยักษ์กำลังเคลื่อนที่ และกำลังร่วงหล่นลงทับพวกเขาทั้งสอง

“ฝ่าวารีเชี่ยว!”

กู่ฉิงซานคำรามลั่น พร้อมกับดาบยาวที่แทงตรงไปยังเบื้องหน้า

หากห้วงเวลาเชื่องช้าลง และคุณได้มองมันอย่างใกล้ชิด ขณะนี้คุณจะพบว่ารังสีดาบ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่รังสีกำลังหลอมรวมกันในดาบเชี่ยนฉีจนแลคล้ายลูกกลมๆ

ในพริบตาเดียว รังสีดาบก็ไม่สามารถวัดคำนวณได้อีกต่อไป มันวิ่งทะยานไปยังเบื้องหน้าราวกับกระแสธารไหลเชี่ยว ที่ล้นทะลักมาจากเขื่อนแตก

ในขณะที่ตัวดาบแลดูจะไม่อาจแบกรับกระบวนท่านี้ได้อีกต่อไป ใบดาบอันบอบบางและแหลมคมของมันเริ่มปรากฏรอยแตกร้าว

รอยร้าวจำนวนนับไม่ถ้วนลดเลี้ยวคดเคี้ยวไปทั่วค่อยๆ แผ่ปกคลุมใบดาบทั้งหมด

ทว่าก่อนที่ดาบยาวจะแตกสลาย

ทั่วทั้งสวรรค์และโลกพลันเงียบสงบ

ทันใดนั้นเอง

เฉกเช่นเดียวกันกับเสียงกลองรบของยักษ์ใหญ่ในสมัยบรรพกาล ห้วงเวลาที่หยุดนิ่งพลันกลับคืน

‘ตูมๆ!’

รังสีดาบระเบิดออกจากใบดาบเชี่ยนฉี มันส่องประกายระยิบระยับราวกับต้องแสงตะวัน ถาโถมไปยังเบื้องหน้าพร้อมกับส่งเสียงอึกทึก

กำแพงยักษ์ที่เบียดเสียดไปด้วยเผ่ามารราวกับถูกปัดเป่าด้วยเปลวเพลิงที่คำรามก้อง พวกมันถูกหลอมละลายกลายเป็นขี้เถ้าลอยฟุ้งในอากาศ ส่วนพวกที่ยังเหลือรอดบ้างร่วงฟุบลงกับพื้นในสภาพไม่สมประกอบ บ้างถูกแรงปะทะลอยคว้างในอากาศ กระเด็นถอยหลังลอยละลิ่วออกไป

ประหนึ่งเผ่ามารทั้งหมดถูกธารกระแสเชี่ยวพัดพาไป เปิดเผยให้เห็นถึงพื้นดินที่แห้งแล้งราวทะเลทรายที่อยู่เบื้องหน้า

พื้นดินถูกปกคลุมไปด้วยแขนขา กลางอากาศก็ถูกปกคลุมไปด้วยแขนขาเฉกเช่นเดียวกัน แต่ที่มากที่สุดก็คงไม่พ้นหมอกเลือดที่แผ่กระจายไปทั่ว

เผ่ามารที่ยืนอยู่ห่างไกลออกไปบังเกิดความหวาดกลัวและสยองขวัญขึ้นบนใบหน้าของพวกมัน และไม่กล้าแม้แต่จะก้าวตรงไปพื้นที่ๆ บัดนี้กลายเป็นโล่งกว้างด้วยคมดาบอีกแม้เพียงครึ่งก้าว

เพียงดาบเดียว ก็เพียงพอแล้วที่จะหยุดกระแสธารอันเชี่ยวกราก สะบั้นตัดผ่านเปิดทางเดินข้ามผืนน้ำ

ทรงพลังสมกับที่มันถูกเรียกว่า ฝ่าวารีเชี่ยว!

‘เปรี๊ยะ…!’

เสียงแตกหักที่ฟังดูนุ่มนวลดังออกมาจากดาบเชี่ยนฉีที่ไม่อาจแบกรับเทคนิคลับได้อีกต่อ มันร้าวลึกก่อนจะแตกสลายร่วงลงบนพื้นกลายเป็นประกายระยับ

สิ่งเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่คือด้ามจับของมันที่อยู่ในมือของกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานกัดฟันกรอด การสูญเสียในครั้งนี้ไม่อาจเอ่ยอธิบายได้เลยว่าสาหัสเพียงไร

มันไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลยที่จะได้รับดาบเล่มหนึ่งมา ทว่าด้วยเทคนิคลับนี้ มันกลับถูกทำลายลงในครั้งเดียว

เขาผลักด้ามดาบออกจากมือ และวิ่งมุ่งหน้าต่อไปอย่างรวดเร็ว

วิสัยภูผา!

กู่ฉิงซานพุ่งไปเบื้องหน้าเพื่อป้องกันเหลิงเทียนสิงจากมารผู้หิวโหยที่กำลังจะงับลงบนคอของเขา

“เร็วเข้า พวกเราจะฝ่าออกไป!” ฉิงซานตะโกนก้อง

“ระ…รับทราบ!”

เหลิงเทียนสิงรับรู้ได้ว่าสถานการณ์ได้มาถึงห้วงเวลาสุดท้ายแล้ว ขณะที่ความรู้สึกช็อกภายในจิตใจยังไม่จางหาย ยันต์ในมือใบแล้วใบเล่าถูกกระตุ้นออกด้วยพลังวิญญาณ ราวกับไม่เกรงว่ามันจะเป็นการถลุงกระเป๋าเงินจนแห้งเหือด

........................................