ตอนที่ 39 ความลับที่สามารถสั่นสะเทือนสวรรค์
ในขณะนี้ สกิลที่กู่ฉิงซานครอบครองทั้งหมดได้แก่ กังหันลม ติดตัว ร้อยก้าวผ่านหยาง ยิงระเบิด ยิงต่อเนื่อง และระบำผันผวน ขั้นต้น ทั้งหมดห้าสกิล
ในส่วนของร้อยก้าวผ่านหยางกล่าวได้ว่าเป็นสกิลแม่นยำระดับสูง สกิลกังหันลมเป็นสกิลติดตัวมีส่วนช่วยให้เพิ่มความเร็วของลูกศรระหว่างที่ยิงออกไป ส่วนยิงต่อเนื่องและยิงระเบิดเป็นสกิลที่เหมาะแก่การใช้งานเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับระบำผันผวน มันเป็นสกิลวิวัฒที่ไม่เหมือนสกิลอื่น ในอนาคตหวังว่ามันจะยกระดับขึ้นจนก้าวสู่ ‘สกิลเทวะ’
สกิลเหล่านี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นสกิลที่ ‘บางสิ่งอาจได้มาด้วยโชค ไม่ใช่การออกไปค้นหา’
แม้กระทั่งเหล่าผู้ฝึกยุทธระดับนายพล บางทีก็ยังไม่อาจครอบครองสกิลระดับสูงเหล่านี้ได้เลย
ทว่าหลังจากทั้งหมดนี้ กู่ฉิงซานพึ่งเข้ามาในเกมได้เพียงไม่นาน พื้นฐานวรยุทธก็ต่ำต้อย แต่เขากลับสามารถได้เรียนรู้และครอบครองพวกมันทั้งหมด!
มารกระหายเลือดตัวหนึ่งหลุดออกมาจากยอดภูผาทั้งห้า มันม้วนลงไปตามทางลาด จนลงมาถึงพื้นได้ในที่สุด ทว่าเมื่อมันเงยหน้าขึ้น มันกลับพบว่าบริเวณนี้ยังอยู่ในอาณาเขตของค่ายกล จึงเร่งวิ่งออกไปอย่างบ้าคลั่ง
นับว่าโชคยังดีที่มันไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรง และยังหลงเหลือกำลังรบอยู่กว่าเจ็ดถึงแปดส่วน ซึ่งสำหรับการต่อสู้รอบต่อไปที่กำลังจะมาถึง นี่นับว่าอยู่ในจุดที่ดีเยี่ยม
กู่ฉิงซานยกธนูเย่หยูขึ้นพร้อมสูดหายใจลึก
กังหันลม!
ยิงระเบิด!
ร้อยก้าวผ่านหยาง!
ลูกศรพลันเปล่งประกายราวกับกระแสน้ำที่สะท้อนแสง มันผละออกจากคันธนู และก่อนที่มารกระหายเลือดจะทันได้รู้สึกตัว สกิลยิงระเบิดก็ปักลงบนตัวมันเสียแล้ว
พริบตานั้นเลือดก็สาดกระจาย มารกระหายเลือดถูกระเบิดกระเด็นไกลออกไปกว่าหลายสิบเมตร ก่อนจะปะทะเข้ากับต้นไม้สูงตระหง่านและกระอักหมอกโลหิตออกมา
กู่งฉิงซานถึงกับตกตะลึงจนลืมเตรียมยิงศรดอกต่อไป
มารกระหายเลือดมีความทนทานเปรียบได้กับผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในขอบเขตแก่นทองคำ
ทว่าพลังโจมตีจากลูกศรของเขากลับสามารถก้าวกระโดดข้ามสองขอบเขตใหญ่และสร้างความเสียหายต่อมารกระหายเลือดได้!
ฝีมือยิงธนูระดับนี้ กล่าวได้ว่าทรงพลังมากชนิดฝืนลิขิตสวรรค์
กู่ฉิงซานฝืนบังคับตัวเองให้สงบลง และเริ่มคำนวณพลังวิญญาณที่ใช้ออกไปอย่างเงียบๆ
ศรดอกนี้ ใช้พลังวิญญาณของเขาไปกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์
แบบนี้ไม่ดีแน่ พลังวิญญาณที่ต้องจ่ายออกมันมากเกินไป
ด้วยพลังวิญญาณทั้งหมดที่กู่ฉิงซานมีในตอนนี้ การที่จะทำการโจมตีอย่างรุนแรงแบบเมื่อครู่ เกรงว่าคงสามารถนำออกมาใช้ได้มากที่สุดแค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
หลังจากนั้น เขาก็ทำได้เพียงเฝ้ารอการถูกสังหาร
ในความเป็นจริง ‘ยิงระเบิด’ นั้นเป็นสกิลที่ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับผู้ฝึกยุทธระดับแก่นทองคำ และมีเพียงผู้ฝึกยุทธระดับก่อกำเนิดเท่านั้นที่จะสามารถแสดงพลังของ ‘ยิงระเบิด’ ออกมาได้อย่างเต็มที่
แม้เขาจะสามารถเรียนรู้สกิลระดับสูงของนักธนูได้ล่วงหน้า ทว่าพลังวิญญาณระดับปราณปรับแต่งก็ยังไม่อาจสนับสนุนมันได้อยู่ดี นั่นทำให้กู่ฉิงซานไม่อาจต่อสู้อย่างยาวนานได้
แม้กระทั่งกงซุนซีก็ยังอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองกู่ฉิงซานด้วยความประหลาดใจ
“เอ๋? พรสวรรค์ในฝีมือธนูของเจ้าหนูนี่ร้ายกาจขนาดนี้เชียว? น่าสนใจดีนี่”
ในหัวใจของกงซุนซีแอบลอบประเมินเขาอย่างลับๆ
มารกระหายเลือดทั้งร่างท้วมไปด้วยโลหิต มันคำรามลั่น ก่อนจะฝืนลุกขึ้นยืน และพุ่งปราดไปยังมนุษย์ผู้น่ารังเกียจ! ผู้ที่ทำให้มันต้องตกอยู่ในสภาพนี้! เจ้ามนุษย์ต้องถูกฉีกเป็นชิ้นๆ
ลูกศรหลายดอกถูกยิงตามออกมาอย่างต่อเนื่อง ปะทะเข้ากับร่างของมารกระหายเลือดอย่างไม่รู้จบ จนฝีเท้าของมันค่อยๆชะลอลง หรืออาจเรียกได้ว่าแทบหยุดจะนิ่ง
ทว่าในครั้งนี้ กู่ฉิงซานไม่ได้ใช้ ‘ยิงระเบิด’
ฝีมือการยิงธนูของเขาได้มาถึงระดับสูงขึ้น ทำให้แม้กระทั่งการแผลงศรธรรมดาก็ยังมีพลังอำนาจมาก
โดยทั่วไปแล้วกู่ฉิงซานที่เป็นเพียงระดับปราณปรับแต่ง เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของมารกระหายเลือด
อย่างไรก็ตามมารกระหายเลือดได้รับบาดเจ็บจากค่ายกลในตอนแรก แถมยังอยู่ห่างไกลจากกู่ฉิงซาน และถูกลอบโจมตีด้วยสกิลธนูอันทรงอำนาจของเขา แม้มันจะยังไม่ตายและพุ่งตรงเข้ามาหวังจะทำร้ายเขา แต่ก็ยังถูกขัดขวางไว้ด้วยห่าลูกศรจนไม่อาจก้าวไปข้างหน้าได้อยู่ดี
ความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดของมารกระหายเลือดนั้นน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง ทว่าจุดอ่อนของมันคือไม่ได้ครอบครองธาตุทั้งห้าและไม่มีความสามารถในการโจมตีระยะไกล
ในสายตาของมารกระหายเลือด เหลืออีกเพียงไม่กี่ก้าวมันก็จะหลุดพ้นจากค่ายกลป้องกันของกงซุนซีแล้ว ตัวมันจึงอดไม่ได้ที่จะกระตือรือร้นหมายที่จะพุ่งปราดออกไป
ทว่าแรงกระแทกจากลูกศรที่เจาะเข้ามาในร่างดอกแล้วดอกเล่าโดยไม่ทีท่าว่าจะพลาดเป้า ทำให้อาการบาดเจ็บของมารกระหายเลือดค่อยๆทวีความเจ็บปวดมากขึ้นจนแม้กระทั่งตัวมันเองก็ยังเริ่มรู้สึกหวาดกลัว
แบบนี้ไม่ดีแน่ ฝีมือธนูของเจ้ามนุษย์ผู้นี้ร้ายกาจเกินไป จำเป็นที่จะต้องต่อสู้ด้วยพลังทั้งหมดที่มี!
มารกระหายเลือดม้วนร่างจนกลม ชั่วพริบตาต่อมา บรรยากาศชั่วร้ายก็แผ่นออกมาจากร่างของมัน
เมื่อเห็นฉากนี้ หางตาของกู่ฉิงซานก็กระตุกเล็กน้อย
สีหน้าของกงซุนซีแปรเปลี่ยนไป สองมือของเขากดลองบนดิส์ค่ายกลและจัดวางค่ายกลป้องกันอย่างรวดเร็ว
กงซุนซีกล่าวเสียงดัง “ระวังตัวให้ดี มันกำลังจะใช้ ‘พายุไฟหยิน’ ”
พายุไฟหยิน คือเทคนิคมนตราที่ดึงพลังหยินจากธาตุทั้งห้าขึ้นมาจากใต้พิภพ อานุภาพของมันรุนแรงมาก เพียงระเบิดเดียวก็เพียงพอที่จะสร้างช่องโหว่ให้กับค่ายกลได้
มารกระหายเลือดนั้นถือกำเนิดขึ้นมาจากใต้พิภพ ดังนั้นมันจึงมีพลังหยินสะสมเอาไว้อยู่ในร่างกาย จนกระทั่งเมื่อวันหนึ่งที่มันต้องการต่อสู้ชนิดที่ว่ายอมแลกชีวิต มันจึงจะใช้ออกด้วยเทคนิคมนตรานี้
หากพลังหยินจากใต้พิภพจะถูกจุดชนวนโดยเทคนิคมนตรา หลังจากนั้นก็...ตู้ม!
มารกระหายเลือดจะใช้ออกด้วยเทคนิคดังกล่าว เมื่อพวกมันกำลังจะตายเท่านั้น!
ซึ่งในการต่อสู้ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา การกระทำนี้ของพวกมันทำให้กงซุนซีปวดหัวเป็นอย่างมาก
กู่ฉิงซานหยิบศรเขี้ยวงูขึ้นมา แนบลงบนคันธนูเย่หยูและแผลงมันออกไป
ร้อยก้าวผ่านหยาง!
ระบำผันผวน!
ศรห้าดอกแปรเปลี่ยนเป็นเงาสีเทา ตัดข้ามผ่านอากาศอย่างรวดเร็ว เลื้อยลดคดเคี้ยวอย่างไม่อาจคาดเดาทิศทางได้ ก่อนจะโค้งไปด้านข้าง และม้วนกลับเข้ามาเจาะทะลุหลังหัวของมารกระหายเลือด
ปุ
ลูกศรโฉบเข้าเป้าหมายในเวลาเดียวกัน ทำให้เสียงกระทบเป้าหมายดังขึ้นเพียงแค่หนึ่งเท่านั้น
เลือดสีเขียวเข้มไหลเยิ้มออกมาจากรูหูของมารกระหายเลือด
ตามมาด้วยเสียงครวญเล็กน้อย พร้อมกับร่างของมารกระหายเลือดร่วงลงกระแทกพื้น พลังหยินจากใต้พิภพก็ค่อยๆสลายหายไป
“สังหารมอนสเตอร์ระดับสูง มารกระหายเลือด ได้รับพลังวิญญาณสามสิบแต้ม แต้มพลังวิญญาณปัจจุบัน : สามสิบส่วนเจ็ด”
หลังจากที่ได้รับมาอีกสามสิบแต้ม กู่ฉิงซานก็คิดเกี่ยวกับมันและพบว่าตัวเองไม่มีสกิลอะไรที่จะใช้เรียนรู้ได้อีกแล้ว
กงซุนซีมองเขาด้วยความประหลาดใจ ก่อนกล่าวยกย่อง “ฝีมือธนูอันยอดเยี่ยม! การที่คุณสามารถเรียนรู้กระบวนท่าสังหารเหล่านี้ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ยามเมื่อพื้นฐานวรยุธสูงส่งขึ้น ก็เพียงพอแล้วที่จะคว้าตำแหน่งนายพล”
กู่ฉิงซานยกธนูเย่หยูและศรเขี้ยวงูขึ้น ก่อนจะกล่าว “สิ่งพวกนี้มันง่ายที่จะใช้งาน ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะค่ายกลป้องกันของผู้อาวุโสต่างหาก”
เขี้ยวงูนั้นมีอยู่จำกัด หนึ่งดอกสมควรนำกลับมาใช้ซ้ำใหม่หลายๆครั้ง แต่ทว่าช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญเช่นนี้ กู่ฉิงซานไม่อาจเดินไปเก็บมันได้ตลอดเวลา
กงซุนซีส่ายหัว “คุณคู่ควรสำหรับคำชมนี้ ในตอนที่ฉันยังอายุเท่าคุณ ฉันสามารถใช้ได้เพียงค่ายกลขั้นต้นเท่านั้น ซึ่งมันเทียบไม่ได้เลยกับฝีมือธนูของคุณในเวลานี้”
ปัง!
เหนือชั้นเมฆขึ้นไปปรากฏฟ้าคะนองดังกึกก้อง
กงซุนซีและกู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้น ก่อนจะเห็นหนิงเยว่ฉานล่าถอยลงมาจากบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว เกราะทองบางเบาสะท้อนแสงระยิบ ชุดคลุมหิมะโบกสะบัดราวกำลังร่ายรำไปตามสายลม
กู่ฉิงซานครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยถาม “นายพลกงซุน คุณมีวิธีอื่นที่ใช้ติดต่อกับโลกภายนอกได้บ้างไหม?”
เมื่อกงซุนซีถูกถาม เขาก็รู้สึกอับอายเล็กน้อยข้างในหัวใจ
หากตอนแรกเขาไม่ลังเล บางทียันต์สื่อสารอาจจะถูกส่งออกไปแล้วก็ได้
และทันทีที่นักปราชญ์มาถึง ก็กล่าวได้ว่าไม่มีอะไรสามารถคุกคามชีวิตของพวกเขาทั้งสามได้อีกต่อไป
ตอนนี้รามสูรไร้พักตร์ปรากฏตัวขึ้นแล้ว และมันมีความสามารถในการดูดซับพลังวิญญาณ เกรงว่าจะไม่สามารถส่งสารออกไปได้
กงซุนซีลังเลเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจและกล่าว “เหลือเพียงวิธีเดียวเท่านั้น นั่นคือการไปยังโลกเทวะ ที่ซึ่งพวกเราได้ทำการติดตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายเอาไว้ที่นั่น”
โลกเทวะ?
มันคืออะไรกัน?
กู่ฉิงซานมองไปยังอีกฝ่ายอย่างฉับพลัน
ทันใดนั้นชั้นเหงื่อเย็นก็เริ่มปกคลุมบนร่างกายของเขา
ช่วงเวลานี้ดูเหมือนว่าเขากำลังถูกกงซุนซีนำพาไปยังเรื่องราวที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังประวัติศาสตร์ ความลับที่อาจสั่นสะเทือนได้แม้กระทั่งสวรรค์!
กงซุนซี “ถึงมันจะชื่อว่าโลกเทวะ แต่บางทีคุณอาจจะยังไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วมันเป็นโลกที่ถูกทำลายล้าง”
กู่ฉิงซานสูญสิ้นเสียงจนไม่อาจเอ่ยออกไปทำได้แค่เพียงคิด “นอกเหนือจากโลกใบนี้ ยังมีอีกโลกหนึ่ง?”
ในช่วงชีวิตก่อนหน้า จวบจนกระทั่งวันสิ้นโลก เขาก็ไม่เคยได้ยินได้ฟังถึงเรื่องของโลกอื่นมาก่อนเลย
เมื่อเกมเปิดตัวขึ้นในโลกจริง มันก็ถูกเรียกว่า “หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์” แล้ว
ในตอนแรกชื่อนี้ก่อให้เกิดความกังวลและข้อโต้เถียงขึ้นเป็นวงกว้าง
ทว่าสิ่งที่ผู้คนรู้กลับมีเพียงแค่ว่าโลกในเกมที่กู่ฉิงซานกำลังอยู่นี้มีชื่อว่า ‘โลกของผู้ฝึกยุทธ’ และมันเชื่อมต่อแค่กับโลกจริงเท่านั้น
มีเพียงสองโลก แต่ทำไมถึงถูกเรียกว่า ‘หมื่นสวรรค์?’
ในเวลาต่อมาผู้คนก็เริ่มคุ้นเคยกับการเดินทางข้ามไปมาระหว่างสองโลก แต่ก็ยังไม่พบคำตอบของคำถามเกี่ยวกับเรื่อง ‘หมื่นสวรรค์’ ประกอบกับในทุกคืนวันหลายหมื่นคนตกตายลงด้วยน้ำมือเผ่ามาร สถานการณ์เลวร้ายลงเรื่อยๆ
ดังนั้นจึงไม่มีใครที่จะมาสนใจศึกษาปัญหาอันน่ารำคาญนี้อีก
กงซุนซีกล่าว “ถูกต้อง มันมีเสี้ยวกระแสความว่างเปล่าอยู่เบื้องหลังตำหนักราชันมาร ที่จะนำไปสู่โลกที่ถูกทำลายล้าง”
กู่ฉิงซาน “แล้วคุณได้เข้าไปในนั้นรึเปล่า?”
กงซุนซี “แน่นอน พวกเราเข้าไปอีกโลกหนึ่ง ก่อนจะพบกับซากร่างของตัวตนอันทรงอำนาจนับหลายสิบร่างในโลกใบนั้น จากการณ์ตรวจสอบเบื้องต้น ทำให้สามารถตัดสินได้ว่าซากร่างเหล่านั้นเป็นหวูเต๋าที่อยู่ในขอบเขตระดับสูงสุด”
หวูเต๋าระดับสูงสุด นั่นมันระดับ ‘เทพยุทธ!’
เทพยุทธนับว่าเป็นตัวตนระดับโคตรตำนาน แม้กระทั่งในโลกของผู้ฝึกยุทธ ตัวตนระดับนี้ก็ยังเป็นการดำรงอยู่ที่แข็งแกร่งที่สุดและหาได้ยากยิ่ง
ในบรรดาสามนักปราชญ์ ก็มีคนหนึ่งอยู่ในระดับเทพยุทธ
แม้กระทั่งกู่ฉิงซานที่เคยพบเห็นความน่าสะพรึงกลัวของวันสิ้นโลกมาแล้วด้วยตาตัวเอง ในตอนนี้เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกราวกับสูญเสียตัวตนไป
เขาเอ่ยกับตัวเองว่า “ซากศพหลายสิบร่างของเทพยุทธ…ตัวตนที่แข็งแกร่งขนาดนั้น กลับอยู่ในโลกที่ถูกทำลาย…”
กงซุนซีถอนหายใจ “ใช่ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมราชามารถึงปิดบังเรื่องนี้กับพวกเรามานาน และไม่ยินยอมให้พวกเราพบเจอกับผู้ใดเพื่อเปิดเผยความลับนี้”
เขาจ้องมองมายังกู่ฉิงซานและกล่าวด้วยเสียงทุ้มลึก “แต่ราชามารคงต้องผิดหวัง นั่นเพราะพวกเราได้พบกับคุณแล้วนั่นเอง”
........................................