webnovel

0001 บ่อกักศพ

ตอนที่ 1 บ่อกักศพ

ท่ามกลางพายุฝนที่โหมกระหน่ำตลอดทั้งวันคืน มือข้างหนึ่งค่อยๆ ตะกายโผล่ขึ้นมาจากบ่อกักศพ

เมื่อเห็นฉากนี้ ทหารลาดตระเวนได้เหลียวหลังกลับห้อตะบึงด้วยความหวาดกลัว และมุ่งตรงกลับไปยังค่ายทหาร

หลังจากได้รับรายงานดังกล่าว สิบโทก็กล่าวว่าเขาจะเป็นคนไปดูเอง ก่อนที่จะคว้าดาบยาวกับตะเกียงไฟเดินออกจากค่ายไป

ไกลออกไปจนสุดสายตา สิบโทเห็นร่างๆ หนึ่งกำลังนั่งอยู่ข้างบ่อกักศพ

สิบโทยื่นตะเกียงไฟไปเบื้องหน้า

แสงตะเกียงไฟที่วูบไหว เผยให้เห็นถึงเกราะหนังของกองทัพรุ่นมาตรฐานที่ขาดวิ่น ขณะเดียวกัน อีกฝ่ายก็เหลียวหลังมาทางแสงไฟเช่นกัน

ดาบยาวในมืออีกข้างของสิบโทกำแน่นขึ้นโดยสัญชาตญาณ และเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ใครอยู่ตรงนั้น?”

ท่ามกลางเสียงสายฝนโถมกระหน่ำ มันทำให้เสียงที่ตอบกลับมาค่อนข้างคลุมเครือ “ทหารกองหน้าคนนี้ยังไม่ตาย(คือคนเดียวกับที่ยื่นมือขึ้นมาจากบ่อกักศพ) แต่เขาบาดเจ็บสาหัส และไม่อาจขยับร่างกายได้”

ไม่อาจขยับร่างกายได้...?

สิบโทเพ่งพินิจชายปริศนาที่อยู่เบื้องหน้าอย่างช้าๆ ดาบในมือยื่นออกไปพลางกล่าวว่า “เดิมทีกองพันแนวหน้ากับกองพันของเราก็เหมือนพี่น้องกัน มาเถอะ ขอฉันดูอาการของเขาหน่อย”

“ขอบคุณ”

“ด้วยความยินดี…ไปลงนรกซะ!”

ดาบยาวกวาดผ่านสายฝน เหล็กบนใบมีดสาดประกายเย็นเยียบ หวดไปตรงคอของชายปริศนา

ดาบของสิบโทช่างดุดันและรุนแรง มันวูบผ่านคอของชายปริศนา จนอีกฝ่ายร่วงตกลงไปในบ่อกักศพ

สังหารในดาบเดียว!

มุมปากของสิบโทยกสูงขึ้น เขาทำท่าสะบัดเลือดที่ติดอยู่ตรงคมดาบโดยไม่รอให้น้ำฝนชะล้าง จากนั้นค่อยเตรียมเก็บมันกลับเข้าฝัก แต่ทันใดนั้น มือของเขาก็พลันชะงักงัน นั่นก็เพราะคมดาบที่ควรจะได้สูบเลือดของอีกฝ่ายกลับว่างเปล่า!

เมื่อเห็นฉากตรงหน้า สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป “อะไร”

ไม่ทันจะหายสงสัย ร่างที่เดิมถูกลอบฟันจนร่วงตกลงไป จู่ๆ ก็พุ่งพรวดขึ้นมา และกวัดแกว่งบางสิ่งที่สาดประกายเย็นเยียบในมือของเขา และสับลงไปยังแขนข้างที่ถืออาวุธของสิบโท!

ทั้งแขนทั้งอาวุธถูกตัดจนแยกออกจากลำตัว มันลอยเคว้งขึ้นไปบนอากาศ หมอกโลหิตที่สาดกระจายไปทั่ว แต่มันก็ถูกสายฝนในยามค่ำคืนกลืนหายไปในพริบตา

ความเจ็บปวดเริ่มแผ่ซ่าน สีหน้าของสิบโทเผยให้เห็นถึงความไม่น่าเชื่อ สายตาของเขาสะท้อนกับร่างที่กระโจนขึ้นมาตรงหน้า

และก็เป็นวินาทีเดียวกับที่มีดสั้นถูกขว้างพุ่งตรงเข้าทะลุเบ้าตาของเขา

ความเจ็บแปลบเกิดขึ้นแค่เพียงชั่วพริบตา จากนั้นทุกอย่างก็จมลงสู่ความมืด

ไม่กี่ลมหายใจต่อมา

ชายปริศนาก็ดึงมีดสั้นของตนออกมาจากเบ้าตาของอีกฝ่ายพร้อมกับเอี้ยวตัวหลบออกไปทางด้านข้าง

และปล่อยให้เดชไอ้ด้วนที่บัดนี้ดูราวกับร่างไร้กระดูกมิอาจควบคุมแข้งขาให้ยืนไหว ร่วงตกลงไปในบ่อกักศพที่เต็มไปด้วยโคลนตม

ชายปริศนาถือมีดสั้นเอาไว้และยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ

สายฝนยามค่ำคืนที่โถมกระหน่ำลงมาจากฟากฟ้าค่อยๆ ชะล้างโคลนที่ปกปิดใบหน้าของชายปริศนาออก มันเผยให้เห็นถึงใบหน้าที่อ่อนเยาว์ และคู่ดวงตาที่ใสกระจ่าง

แต่พริบตาเดียว ดวงตาใสกระจ่างนั้นก็พลันเปลี่ยนเป็นคมกริบ

ร่างที่พึ่งไร้ซึ่งเรี่ยวแรงเมื่อครู่ จู่ๆ ก็เริ่มโป่งพองขึ้น พร้อมกับเสียงแปลกประหลาดดังกุกกักในท้องของเขา

ชายหนุ่มสูดหายใจลึกพลางกระชับมีดในมือแน่น จากนั้นก็ยกมันขึ้นเหนือหัว…จ้วง! จ้วงแทงลงไปยังท้องของสิบโทเต็มกำลังแบบไม่ยั้ง!

พริบตานั้น เสียงกรีดร้องหวีดแหลมอันน่าหวาดหวั่นที่มิใช่เสียงของมนุษย์ดังลอดออกมา พร้อมๆ กับเลือดที่พุ่งออกมาตามรูที่ถูกมีดจ้วงแทงจนเป็นชั้นหมอกสีดำ ท้องของสิบโทเดี๋ยวก็ยุบจนตัวลีบ เดี๋ยวก็โป่งพองขึ้นจนบวม…มันดูราวกับว่ามีบางสิ่งที่อยู่ภายในนั้นกำลังดิ้นรนขัดขืน

แคว่ก!

วินาทีนั้นเอง จู่ๆ ท้องของสิบโทก็ถูกกรีดออกจากภายใน พร้อมกับกรงเล็บสีดำทมิฬที่ยื่นออกมา!

ไม่รั้งรอให้กรงเล็บที่น่าหวาดหวั่นราวกับมารร้ายนั้นแผลงฤทธิ์ ชายหนุ่มใช้มือทั้งสองข้างจับมีด และจ้วงแทงลงไปก่อนที่จะเริ่มบิดคว้านอย่างโหดร้าย

“ตายซะ!”

ชายหนุ่มเอ่ยออกมาเพียงสั้นๆ

ทันใดนั้นท้องของสิบโทที่กำลังยุบๆพองๆอย่างบ้าคลั่งก็หยุดนิ่ง พร้อมกับกรงเล็บของมารร้ายที่แหวกออกมาค่อยๆ หยุดนิ่งร่วงลงไปตามแรงโน้มถ่วง และไม่ขยับเขยื้อนอีกเลย

ทุกอย่างจมลงสู่ความเงียบ

เลือดสีดำไหลทะลัก ออกมาจากศพของสิบโทอย่างช้าๆ

เมื่อเห็นเลือดสีดำที่หลั่งริน ชายหนุ่มก็ดูจะผ่อนคลายลงเล็กน้อย และดึงมีดสั้นเล่มนั้นออกมา

เขาก้มลงไปมองศพที่บัดนี้บิดเบี้ยวจนดูแปลกประหลาดบนพื้นดินและเอ่ยพึมพำกับตนเองว่า

“ ‘ฉาก’ นี้น่าแปลกเสียจริง ไม่รู้ว่ารางวัลจากภารกิจนี้จะเป็นอะไร”

ชายหนุ่มตะโกนออกไปเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่เจือความคาดหวังสามส่วน “ระบบ!”

หนึ่งลมหายใจ…สองลมหายใจ…สามลมหายใจ

เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างสงบ แต่กลับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

ท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิด มีเพียงเสียงสายฝนและสายลมที่โหมกระหน่ำอันไร้ที่สิ้นสุด

สายตาไปยังทหารอีกคนหนึ่งที่พึ่งมาถึง บัดนี้เจ้าตัวอยู่ในสภาพสั่นกลัวจนนั่งงุดอยู่บนพื้นดิน ริมฝีปากของเขาสั่นสะท้าน

“น่าแปลก”

ชายหนุ่มเอียงคอด้วยความฉงน ก่อนที่จะเหลือบกลับมามองร่างของมารไร้วิญญาณที่นอนแน่นิ่งอยู่ในบ่อกักศพ

ชายหนุ่มเอ่ยออกมาด้วยความสับสน “หรือว่าภารกิจยังไม่จบ?”

ระบบยังคงไร้ซึ่งการตอบสนองใดๆ…เป็นเครื่องหมายยืนยันว่าภารกิจยังไม่จบลงโดยสมบูรณ์

ชายหนุ่มจ้องมองไปยังทหารคนดังกล่าว และในตอนนั้นเอง เขาก็รู้สึกว่าตนเองได้พลาดอะไรบางอย่างไป

ชายหนุ่มครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่สักพักหนึ่งพลางเดินก้าวไปมาอย่างเหม่อลอย

ก่อนหน้านี้ จิตใจของชายหนุ่มมุ่งความสนใจไปกับการสังหารมาร แต่สำหรับช่วงเวลานี้ อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ เริ่มกลับมาอีกครั้ง เขารู้สึกว่าร่างกายเริ่มขยับได้อย่างเชื่องช้า ความเจ็บปวดเริ่มขยายออกไปทุกหนแห่ง เจ็บปวดราวกับจะตาย

ขาทั้งสองราวกับถูกยึดไว้ด้วยตะกั่ว ทุกย่างก้าวรู้สึกอ่อนล้าจนแทบจะต้องเค้นพลังทั้งหมดมาใช้

มีบางอย่างผิดปกติ

ในช่วงเวลาวันสิ้นโลก เขาพยายามอย่างยิ่งจนสุดท้ายก็สามารถสังหารจอมมารลงได้ แต่ผลลัพธ์คือเขาไม่สามารถล็อกเอาท์ออกจากเกม ตรงกันข้าม กลับมาโผล่ในสถานที่ประหลาดแห่งนี้แทน

ที่นี่มันที่ไหนกันแน่?

ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น ก่อนที่จะเดินไปยังทหารที่นั่งอยู่บนพื้น และทักทายแบบทหารโดยการตะเบ๊ะ

“ฉัน กู่ฉิงซาน จากกองพันทหารม้า รายงานตัว”

“หน่ะ...นาย…นายฆ่าหัวหน้า!” ทหารคนนั้นกล่าวอย่างตะกุกตะกัก

“เขาไม่ใช่มนุษย์” กู่ฉิงซานจ้องสำรวจทหารอย่างละเอียดแล้วเอ่ยปากสวนกลับไป

ทหารคนนี้สวมเกราะหนังรุ่นมาตรฐานที่ล้าสมัย ชุดหนังนี้ไม่มีแม้แต่ ‘พลังวิญญาณ’ คอยขับเคลื่อน กล่าวง่ายๆ คือ ในบรรดาเหล่าทหารทุกคนที่กู่ฉิงซานรู้จัก ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียวที่ใส่เจ้าของโบราณไร้ค่านี้

กู่ฉิงซานก้มลงมองดูเครื่องแบบของตนเอง และก็พบว่ามันเป็นรุ่นโบราณเช่นกัน อุปกรณ์เดิมที่เขาเคยสวมใส่หายไป

นี่มันน่าแปลกเกินไป

นายทหารได้เบนสายตาไปยังหัวหน้าของเขาที่นอนอยู่ในบ่ออย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ เนื่องจากสภาพศพถูกฝนและโคลนกลบจนเกือบมิด

เขาจึงเอ่ยออกมาอย่างลังเลว่า “แต่...แต่นายฆ่าเขา! นายรู้ได้ยังไงว่าเขาไม่ใช่มนุษย์?”

กู่ฉิงซานตอบสวนกลับไปทันที “ตอนแรกฉันก็ไม่แน่ใจ จนกระทั่งเขาเป็นฝ่ายเปิดฉากลงมือก่อน”

กล่าวจบ กู่ฉิงซานก็เดินไปยังศพที่อยู่เบื้องหน้าของทหาร แล้วดึงมันขึ้นมาจากบ่อเพื่อให้ทหารมองใกล้ๆ

“เห็นนี่ไหม นี่มันเป็นแค่เปลือกนอกที่มีไว้กักเก็บสายเลือดมาร”

จากนั้น กู่ฉิงซานก็ใช้มีดสั้นผ่าท้องของสิบโท และคว้านมือเข้าไปข้างในก่อนจะลากร่างสีดำหมึก ที่มีรูปร่างแปลกประหลาดสะดุดตา น่าขยะแขยงราวมอนสเตอร์ออกมา

เมื่อได้เป็นสักขีพยานในการพบพานร่างของมอนสเตอร์ด้วยตาตนเอง นายทหารที่ตกใจอยู่แล้วก็ตกใจยิ่งกว่าเดิมจนแทบสิ้นสติ

แต่เมื่อนายทหารย้อนนึกไปถึงเหล่าพวกพ้องที่ค่อยๆ ทยอยกันตายลงอย่างลึกลับในช่วงหลายวันมานี้ คู่ดวงตาของเขาก็เผยให้เห็นถึงความหวาดกลัวในจิตใจ ก่อนที่สุดท้ายจะเรียกสติกลับมาแล้วรู้สึกขอบคุณชายหนุ่มเบื้องหน้า

เมื่อจิตใจกลับมามั่นคงแล้ว เขาจึงเริ่มเอ่ยถามออกไป “นายเรียกว่ากู่ฉิงซาน?”

“ถูกต้อง”

“กองพันทหารม้า?”

“ถูกต้อง”

“บัตรยืนยันตัวตนล่ะ?”

กู่ฉิงซานหยิบบัตรประจำตัวออกมา ก่อนที่จะจ้องมองมันแล้วโยนไปให้อีกฝ่ายตรวจสอบ

บัตรใบนี้ดูจะมีน้ำหนักมากกว่าที่เขาคิด

ด้วยเทคโนโลยีการหลอมกลั่นในปัจจุบันนี้ บัตรประจำตัวทหารจึงสมควรที่จะสามารถถูกปรับแต่งจนบางเบาราวกับกระดาษ อย่างไรก็ตาม บัตรใบนี้กลับหนักเสียยิ่งกว่าแผ่นเหล็ก

ในใจของชายหนุ่มเกิดความสับสนและงงงวยขึ้นเรื่อยๆ

นายทหารรับบัตรประจำตัวมาแล้วเพ่งมองมันอย่างรอบคอบ พื้นที่ทั้งหมดของบัตรเขียนเอาไว้ว่า ‘กองพันทหารม้า กู่ฉิงซาน’ เพียงหกตัวอักษรจีนสั้นๆ

บัตรประจำตัวที่ใช้ยืนยันนี้เป็นของจริง

นายทหารถอนหายใจยาว ความตึงเครียดบนใบหน้าของเขาจางหายไป เผยให้เห็นถึงเพียงความเหน็ดเหนื่อย “ในที่สุดก็มีคนจากกองพันอื่นมาเสียที มาเถอะ เราไม่ควรที่จะอยู่ข้างนอกนานจนเกินไป นายควรตามฉันกลับไปยังค่ายทหาร”

ที่เขาพูดมาก็จริง กู่ฉิงซานพยักหน้าและเอ่ยเสียงเรียบ “ตกลง”

นายทหารคืนบัตรประจำตัวกลับไป จากนั้นก็หันหลังเดินนำกลับไปยังค่าย

กู่ฉิงซานรับมันกลับมา พลางก้มลงมองอย่างละเอียด

บัตรใบนี้ไม่ใช่เพียงแค่หนัก แต่เนื้อวัสดุทั้งหมดมันทำจากบรอนซ์ ตัวอักษรก็ดูจะสลักเอาไว้แบบหยาบๆ ดูน่าเกลียดและล้าสมัยโดยสมบูรณ์

ล้าสมัย…

กู่ฉิงซานรู้สึกว่ามีแสงสว่างวาบเข้ามาในหัว พร้อมกับความหวาดกลัวที่เริ่มจู่โจมขึ้นในจิตใจ

เขาเชิดหน้าขึ้นอย่างแรง สายตาจ้องเขม็งไปยังแผ่นหลังของทหารที่เดินนำอยู่เบื้องหน้า

เกราะหนังโบราณ...

คำตอบของฉากอันแปลกประหลาดทั้งมวล คือความคิดที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกไปเสียงดังว่า “เฮ้สหาย นี่มันปีอะไรงั้นหรอ”

นายทหารเหลียวหลังกลับมาพลางเหลือบมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ “ราชวงศ์เฉิงปีที่หกร้อยแปดสิบเอ็ด”

กู่ฉิงซานสะดุ้งโหยง

ฉับพลันนั้นเอง แสงสีฟ้าที่บรรจุไว้ซึ่งข้อมูลต่างๆ ก็หลั่งไหลออกมาอย่างบ้าคลั่ง ดังคลื่นทะเลที่โถมกระหน่ำ ลึกเข้าไปดวงตาที่เปล่งประกายของกู่ฉิงซาน

ปัง!

เสียงจักรกลเย็นเยียบเปล่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน

“เวลานี้คือ ช่วงราชวงศ์เฉิงปีสุดท้าย”

“การสะพัดของเวลามีความเสถียร…ยืนยัน , การฝ่ามิติและห้วงเวลา…ยืนยัน”

“พิพากษา : การหลบหนีจากวันสิ้นโลกเสร็จสมบูรณ์!”

“รีเซ็ตอัตลักษณ์…เสร็จสมบูรณ์ , สถานะปัจจุบัน : กองพันทหารม้า แห่งกองกำลังพิทักษ์มนุษยชาติ”

ในที่สุดเสียงจากระบบก็ดังก้องขึ้นในหัวของกู่ฉิงซาน แน่นอน หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะรู้สึกสุขใจที่ได้ยินเสียงนี้ แต่ในตอนนี้สีหน้าของเขากลับมีเพียงความไม่อยากจะเชื่อ

ราชวงศ์เฉิงปีสุดท้าย…ปลายราชวงศ์เฉิง! มันเป็นปีที่เกมยังไม่เริ่ม!

นี่เป็นช่วงเวลาที่เบื้องหลังและประวัติศาสตร์ของเกมยังไม่เป็นที่ล่วงรู้ มนุษย์ในโลกจริงยังไม่ได้รับรู้ถึงความน่ากลัวของต่างโลก...ของเกมๆ นี้!

ซึ่งพวกเขาจะรู้ถึงมันก็ต่อเมื่อ…อีกหนึ่งปีต่อจากนี้!

นี่ฉันย้อนเวลากลับมาก่อนที่เกมจะเริ่มขึ้นอย่างนั้นหรือ?

ถ้าอย่างนั้นแล้วในโลกจริงเล่า? หมายความว่าในโลกจริงฉันก็จะถูกส่งกลับมายังอดีตเหมือนกันใช่ไหม?

หัวใจของกู่ฉิงซานรู้สึกหนักอึ้งจนอดไม่ได้ที่จะแหงนหน้าแล้วหันไปมองรอบๆ

เบื้องหน้าเขา นายทหารยังคงเดินนำต่อไป จนในที่สุดก็มาถึงประตูค่าย

ตรงประตูค่ายมีพลังวิญญาณวิบวับที่เกิดจากข่ายอาคมอำพรางโผล่มาปะทะสายตาบ้างเป็นครั้งคราว

หากมองจากภายนอก เลยออกไปจะเป็นเพียงที่รกร้าง กันดาร เต็มไปด้วยความมืดมิด ทว่าก็ยังสามารถมองเห็นพายุฝนที่กำลังเกรี้ยวกราดได้

กู่ฉิงซานค่อยๆ ยกมือของตนขึ้นมาอย่างช้าๆ และงับมันอย่างแรง

รอยฟันเรียงรายปรากฏขึ้นชัดเจนตรงบริเวณที่กัด คมของมันจมลึกจนเลือดไหลซึมออกมา

เจ็บ!

นี่มันไม่ใช่ความฝัน!

กู่ฉิงซานยืนนิ่งค้างไปราวกับรูปปั้น หยุดยืนอยู่ท่ามกลางพายุ ปล่อยให้สายลมและสายฝนจากฟากฟ้าปะทะผ่านร่างกาย

........................................