webnovel

ในสายตาผู้อื่น เจ้าชายมังสามเกียดเป็นเช่นไร ๑

ท้องฟ้าเบื้องบนเป็นสีแดงฉาน หมอกหนาละอองฝุ่นคละคลุ้ง ทั่วสารทิศเต็มไปด้วยเสียงคมอาวุธ เจ้าชายอยู่บนหลังช้างทรง เสียงกระสุนน้อยใหญ่แผ้วผ่านเหมือนอสุนีบาศฟาดกลางสมรภูมิ ฉับพลันทุกสรรพสิ่งก็เคลื่อนไหวเชื่องช้าลงแทบจะหยุดนิ่ง ร่างเงาดำทมิฬปรากฏที่ปลายหางพระเนตร

พระนเรศเจ้ายกพระแสงของ้าวชี้คมหันมายังพระองค์ ดวงพักตร์เขม็งตึงหมายพิชิตการศึก น่าเกรงขาม น่าพรั่นพรึง...

ราชันย์แห่งหงสาชะงักงัน พระหัตถ์สั่นสะเทิ้ม รับรู้ชั่วขณะจิตว่าตัวกำลังฝัน และในฉับพลันนั้นเองเสียงปืนก็ดังกึงก้อง ร่างพระองค์ต้องกระสุนจนร่วงหล่นจากหลังพญาคชสาร กลิ้งลงทางลาดเศษดินโคลนเลอะเปื้อนอาตมชวนเวทนา

ปลายพระเนตรเจ้าชายเห็นพระนเรศขยับมาใกล้ทีละก้าว เจ้าชายพยายามลุกพระองค์ขึ้นยืนหยัดอีกครา แต่กลับเป็นว่าร่างบัดนี้หวนคืนสู่วัยเยาว์ กำลังวังชาพาลอัตรฐานหายไป ไม่นานนักร่างของเจ้าชายน้อยก็มิอาจยืนหยัด จนเซไปชนเข้ากับบุรุษผู้หนึ่งเข้าแล้วล้มบนพื้นอีกครั้ง ในมือบุรุษผู้นั้นถือผ้าผืนหนึ่ง เป็นอาภรณ์งามที่หญิงในห้วงฝันคราก่อนสวมใส่แต่มันกลับเต็มไปด้วยคราบเลือด เจ้าชายมองผ้าผืนนั้นแล้วเงยหน้ามองร่างอีกฝ่าย ซึ่งพระองค์ต้องตกตะลึงไม่แพ้คราวประสบพระนเรศและห้วงมรณาถาโถม

"ลูกครั่นคร้ามมันกระนั้นฤๅ เมงจีสวา ..."

...

'เจ้าชาย ตื่นเถิดพระองค์...'

เสียงหนึ่งดังคล้ายพูดอยู่ใกล้หู เจ้าชายทรงรับรู้ได้ว่าเป็นนาถะยา ดวงเนตรเริ่มเปิดขึ้นแต่ยังสู้แสงสว่างมิได้จึงมีวิสัยมองเห็นเลือนราง ระคนไปกับเสียงขับขานลำนำกล่อมนอนเนื้อความแสนคุ้นหู

'เจ้า...นาถะยา...เจ้าอยู่ที่ไหน'

'มือพระองค์...'

เจ้าชายชำเลืองพระเนตรเพ่งพิศไปยังสองหัตถ์ นาถะยาอยู่นอกพระแท่นใกล้ฝ่ามือข้างขวา ดวงจิตคู่คิดกุมพระหัตถ์ไว้อยู่แนบแน่นด้วยสีหน้าเป็นกังวล ด้านเจ้าชายร่างเยาว์ไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นแต่อย่างได้ หากแต่เป็นหนักอึ้งคล้ายถูกทับจึงเร่งชักมือออกมา ในสายตาของผู้อื่นก็เหมือนทรงสะดุ้งตื่นจากนิทรากาล

"โบกมือเช่นนั้น เป็นเพราะฝัน แมลงหรือฝุ่นมาตอมเจ้าฤๅ น้องมังสามเกียด"'

เสียงขับกล่อมเพลงหยุดลงก่อนเป็นเสียงถามไถ่ เจ้าชายพระเนตรเบิกกว้างขึ้น จึงเห็นถนัดว่านอกจากนาถะยาและเหล่าบริวารข้าใช้ ก็มีเจ้าหญิงพระพี่นางองค์โตอยู่ที่ห้องของพระองค์ด้วย

"พี่หญิงเมงอะจี้..." มังสามเกียดรู้สึกโล่งอก ถอนหายใจแล้วจ้องนาถะยาเชิงนึกเอ็ดไปพลางตอบข้อสงสัยเจ้าหญิงผู้พี่ "พระเจ้าค่ะ เป็นแมลงร้ายก่อกวนมือให้รำคาญใจ"

นาถะยาบุ้ยปากพร้อมขมวดคิ้ว 'เรารึอุตส่าห์ห่วง นึกจะช่วย ทำคุณบูชาโทษโดยแท้'

"สงสัยเอเช้งทำนองของพี่คงไล่แมลงได้ไม่ถนัดกระมัง คงต้องให้พี่เลี้ยงของน้องมาแทนเสียแล้วซิ เป็นผู้ใดดีเล่า... เชงมาหรือว่าหน่องจา ? "

เจ้าชายส่ายพระพักตร์ก่อนรับสั่ง "ขอเป็นพี่หญิงเถิด ข้าอยากฟังเสียงเอเช้งพี่หญิงกล่อมมากกว่า..." เจ้าชายตรัสจบด้วยความเพลียและเหนื่อยล้าหนักหนาจากภารกิจเก่าก่อนจึงทิ้งกายลงหมอนอีกครา

ฝ่ายเจ้าหญิงเมงอะจี้ก็มองร่างน้องชายอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะเริ่มร้องลำนำเอเช้งขับกล่อมไปพลางที่นาถะยาเข้ามาใกล้ กระซิบเป็นคำในกระแสจิต

'เจ้าชาย ทรงรู้สึกสัมผัสนาถะยาได้กี่มากน้อยฤๅ...'

หลานหลวงราชาพยายามข่มตาหลับ ด้วยเคืองผู้ถามจึงถามกลับไปแทน 'เล่นพิเรนทร์กระไรมือของข้า'

'ก็พระองค์กำลังเหงื่อโซมตัวดุจพิรุณเทพพรมน้ำใส่ร่าง ดีที่นาถะยาฟื้นสติก่อน จึงทราบว่าฝันร้าย จังหวะหันไปเห็นพี่หญิงพระองค์มาร้องเพลงกล่อมพอดี นาถะยาเลยต้องหาทางปลุกพระองค์ แต่อิทธิฤกษ์นาถะยาก็ช่างอัตคัดเหลือใจ ก็ได้แค่พยายามเขย่ามือพระองค์นั่นแล ก็แค่นั้น...'

'อย่ามาจับอีกเจ้าผีอำ แค่นี้ก็ปวดหัวปวดจิตจนอยากหมากอยากสูบจริงหนอ'

นาถะยาเลิกตามองบนพลางเท้าสะเอว 'อ้ายเทือกเหล่านั้นมิได้ช่วยฟื้นฟูจิตพระองค์ให้แช่มชื่นระรื่นหรอก...' นาถะยาบ่นจบด้วยจิตที่สื่อถึงกัน ความง่วงจึงเริ่มรุกคืบนาถะยา เจ้าตัวจึงทราบว่าคู่คิดผล็อตหลับไปเสียแล้ว 'ชะอ้าว หลับจริงเสียอย่างนั้น...เหลือจะเชื่อ พาลให้ง่วงตามไปด้วย'

ตอนที่ดวงจิตเริ่มสะลึมสะลือ หามุมปลายเตียงเพื่อสัปหงกด้วย เสียงของบริวารและพระพี่เลี้ยงก็เอ่ยขึ้น นาถะยาไม่ได้สนใจนักเพราะความง่วงจึงฟังไม่ค่อยถนัด ดวงตาเห็นแต่ภาพเลือนวูบไปมา พระพี่นางเมงอะจี้หยุดร้องเอเช้งก่อนสักพักร่างผู้หนึ่งก็เข้ามาในห้อง

"...พี่หญิงจี้ น้องสาม!"

น้ำเสียงร่าเริงดังขึ้นพร้อมก้าวมาหาในห้องหับ เจ้าหญิงองค์โตส่งเสียงจุ๊ปากให้เงียบ "น้องมังสามเกียดของเราเพิ่งจะหลับเมื่อครู่ พี่เพิ่งกล่อมเอเช้งจบไป...ครานี้น้องขอให้พี่กล่อมด้วยหนา"

เจ้าหญิงมังอะถ้วยเม้มริมฝีปาก ย่องมาหาพี่สาวคนโตพลางกระซิบเสียงเบา "จริงฤๅ ชะรอยวันนี้ฝนจะตกใหญ่แล้วเป็นแน่กระมัง มังสามเกียดพูดเช่นนั้นได้ ปรกติชอบบอกว่าทำนองเอเช้งของพี่หญิงร้องช้าไปไม่เร้าใจ" บุตรคนกลางแซว

"ช่างแปลกจริงหนา ปรกติน้องมังสามเกียดหาได้พูดจาช่างอ้อนแบบนี้ไม่" เจ้าหญิงผู้พี่ที่อาวุโสที่สุดนึกสงสัย "แลพักหลังมานี้ กิริยาท่าทางก็ผิดแผก แตกต่างไปจากเมื่อก่อนนัก กระทั่งเจ้าแม่กับเจ้าย่าก็ยังก็เคยออกปากกันบ่อย หญิงเล็กมิสังเกตเห็นเช่นนั้นหรือไร"

สองดรุณีจ้องมองร่างเจ้าชายเขม็ง นาถะยาที่งัวเงียก็เลิกลั่กขึ้นทันใด

'บรรลัยแล้วเจ้าชาย...นาถะยาหาทางปลุกให้ตื่นบรรทมแก้ต่างดีกว่า' พูดจบเจ้าตัวก็หาทางเขย่าพระองค์ แต่ก็ไม่อาจขยับเขยื้อนอะไรในสายตาผู้อื่นซึ่งมองไม่เห็น

"คร้านจะเรียบร้อยเอางานหรือเอาแต่ใจก็เรื่องปรกติของน้องสามนี่เพคะ น้องเองก็เคยเป็น แต่น้องสามพักหลังคงตระหนักถึงหน้าที่ในวังกับฐานะหลานหลวงมากขึ้นก็เป็นได้กระมัง"

"อืม...ถึงจะแปลกแต่เห็นน้องมังสามเกียดมีขอร้องออดอ้อนให้พี่ร้องกล่อมบ้าง พี่ก็โล่งอก กลับสบายใจขึ้นมา" เจ้าหญิงเมงอะจี้มองหญิงผู้น้องก่อนอมยิ้มแล้วจึงผินพักตร์มาทางน้องชายคนเล็กที่หลับสนิท "อย่างน้อยก็สมวัย หาใช่ปุบปับเติบโตจนน่าใจหาย"

"อย่างไรก็เป็นน้องชายคนเดียวของพวกเรานี่หนา" เจ้าหญิงเมงอะถ้วยเสริมพลางหัวเราะคิกคักกับพี่สาวคนโต

นาถะยาก็โล่งใจเมื่อรู้ว่าความคงไม่แตก ห้วงบรรทมที่สื่อจิตกันก็แผลงอาการ วิญญาณเริ่มหาวหวอด ศีรษะแนบขอบเตียง ใกล้หลับไปด้วยเต็มทน ตาปิดแต่หูยังฟังอยู่แม้ว่าบางทีจะจับความไม่ค่อยถนัด

"จริงสิ เรื่องคณะแขกเมือง..." เจ้าหญิงผู้พี่เอ่ยขึ้น มองน้องนางเพื่อถามไถ่เรื่องราว เจ้าหญิงมังอะถ้วยก็กระเถิบองค์มาใกล้พี่หญิง กระซิบด้วยเสียงอันเบา

"เพคะ อย่างที่ตกลงกัน เป็นการมาส่วนตัว จากนี้คงไปมาหาสู่ง่ายขึ้น โล่งใจหนักหนาที่ทุกอย่างลุล่วงเป็นปรกติสุข นอกจากเราสอง แลผู้ใหญ่ในวังหลัง กับทางฝั่งโน้นก็คงหาผู้ใดใครทราบเรื่องไม่ ขนาดน้องสามก็ยังมิรู้เรื่อง"

"พี่ยังนึกว่าน้องจะบอก"

"มิบอกหรอกเพคะ ให้ลับจนถึงแก่กาลเถอะ"

"ดีแล้ว ทางนั้นก็อยากให้ทุกสิ่งเป็นไปตามปรกติ รู้น้อยก็ดี"

'ง่วงจริงแท้...แต่ เอ๊ะ? อะไรกันหนะ' นาถะยาเผลอหลับไปวูบ แต่ได้ยินเสียงเจ้าหญิงสนทนาแววจึงสะดุ้งเล็กน้อย เนื้อความจึงฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ไม่ปะติดปะต่อ

"น้องสามมิได้ก่อเรื่องใช่ไหม ยินว่าเทียวไปเทียวมาพบคนไปทั่ว ซ้ำยังไปพบเจ้าน้ามินเลตยาอีก" เจ้าหญิงผู้พี่ฉายพระเนตรเพ่งพิศ น้ำเสียงถามน้องหญิงชัดและห่วงใยขึ้นกว่าแต่ก่อน

"ถึงมีเหตุวิวาทแต่ไม่มีผู้ใดในหมู่เราเป็นอันใด แต่กับเจ้าน้าก็สนทนากันแต่เพียงสอง น้องไม่รู้ว่าคุยกระไรกัน ซ้ำก็ประหลาดหวาดหวั่นอยู่ลึก ๆ ไม่รู้สนิทชิดเชื้อกันมาแต่หนใด น้องสามแต่เดิมก็ไม่น่าถูกชะตากับใครแปลกหน้า กับลักษณะอย่างเจ้าน้าก็มิน่าเข้าใกล้"

"พี่ว่าเจ้าน้าน่ากลัวมากกว่า เล่าลือว่าแปลกนักจนบวชเป็นภิกษุมิได้ ชอบดื่มสุราต่างชาติเมรัย ถือเพศคบหาทั้งชายและหญิง เห็นที่เราสองต้องเตือนน้องเสียแล้วเรื่องการเข้าหาผู้คน ว่าผู้ใดเหมาะผู้ใดไม่ควร"

"ลางทียิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุเพคะ"

"ก็อาจจะจริง...เหมือนเรื่องปืนของน้อง หากห้ามจะยิ่งกว่าที่เห็นเป็นแน่ เสด็จแม่เคยรับสั่งเช่นนี้"

นาถะยาได้ยินเสียงเจ้าหญิงสนทนาจบก็สรวลกันมื่นชื่น ดวงจิตนึกพิจารณาความเท่าที่ได้ยินมาก็พึมพำว่า 'เห็นทีต้องหาวิธีปลุกหรือสะกิดเตือนเจ้าชายใหม่ที่ได้ผลเสียแล้วกระมัง... ' ว่าแล้วเจ้าตัวก็ทดลองหลายวิธีจนสักพักเขาก็หลับตามเจ้าชายไปในที่สุด

次の章へ