'ต่อไปห้ามเจ้าทำอะไรกระไรกับมือข้าอีก'
เจ้าชายแค่นเสียงตรัสอย่างขุ่นเคืองผ่านกระแสจิตกับนาถะยา ตอนนี้ผีร้ายไม่ได้จำแลงกายเป็นเจ้าชายดุจยามปรกติ ไม่ได้โผล่ล่องลอยอยู่หนไหน เขาอยู่ในร่างของเจ้าชาย เมื่อครู่เจ้าตัวลองหลายวิธีเพื่อขยับแขนเล็กของเด็กชายขัตติยะหงสาจนสิ้นแรง
กล่าวให้ชัดนาถะยาก็เหมือนหลบอยู่ที่ไหนสักแห่งที่ซึ่งสนทนาในใจต่อกันได้ เจ้าชายมังสามเกียดทรงกุมพระหัตถ์ขวามาบีบนวด ขณะที่ทรงดำเนินพร้อมพระราชมารดาและพระพี่นางทั้งสองไปพลาง
'แต่พระองค์ นาถะยาอยู่ในจิตและจิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว หากนั่นเป็นวิธีปลุกให้ทรงตื่นบรรทม นาถะยาก็จะทำหากจำเป็น'
ดวงจิตนิ่งไปครู่ก่อนเอ่ยถึงต่อ
'เราจะไปที่ใดกันฤๅพระองค์'
'รับเสด็จ' เจ้าชายตรัสตอบห้วน ๆ
พระเจ้าบุเรงนองพร้อมด้วยมหาอุปราชามังชัยสิงห์ใช้เวลาร่วมสัปดาห์เพื่อเสด็จกลับกรุงหงสาวดี เชงมาเล่าว่าพระองค์เสด็จประพาสหัวเมืองไทใหญ่ทั้งหลาย อัญเชิญคณะสงฆ์เผยแพร่พระศาสนา ฝ่ายหน่องจาก็เสริมว่าในคราวนี้ยังมีการเคลื่อนกำลังกองทหารม้าซึ่งขุนศึกบิดาของเขาเองก็ย้ายไปประจำการพื้นที่เพื่อดูแลความสงบอีกด้วย
พิธีต้อนรับถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ที่ท้องพระโรงตะวันตก ในคราวนี้มีบรรดาเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงที่พำนักในหงสาวดี มเหสีจากทั้งวังสามตำหนัก เจ้าหญิง เจ้าชาย พระญาติพระวงศ์ชั้นหลานมาพร้อมเพรียงกัน
เจ้าหญิงเมงอะจี้ เจ้าหญิงมังอะถ้วยและเจ้าชายมังสามเกียดแม้ตามศักดิ์จะอยู่ในสถานะหลานหลวง โดยปรกติตำแหน่งจะอยู่ด้านหลัง หากแต่ด้วยเป็นสายเลือดใกล้ชิด แลพระชายาเมงพยูผู้เป็นมารดาก็ซึ่งสืบสายมาแต่กษัตริย์รัชกาลก่อน ทั้งสามจึงได้ประทับเคียงพระมารดา ตำแหน่งด้านหน้ามากขึ้น
นาถะยามีกำลังมากพอให้ออกมาจากร่างของมังสามเกียดผ่านทางเงา เงาก่อตัวเป็นรูปร่างตามวัยเจ้าชายที่เขาผูกจิต แม้นทุกอย่างจะเกิดขึ้นในท้องพระโรงนาถะยาก็หยักไหล่ไม่ยี่หระเพราะเชื่อว่าอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดเห็นตน นาถะยาลอยตัวสูงเพื่อมองทุกสรรพในภาพรวม สูงจนเกือบเสมอปทุมาสนบัลลังก์สลักลายบัวที่พระนางมหาเทวีเจ้าทรงนั่งประทับอยู่เป็นประธานต้อนรับ นาถะยาหวั่นใจเมื่อเห็นแววเนตรคมของเจ้าย่าองค์ชาย เขาจึงลอยล่องหลีกเลี่ยงไปอีกทาง
ดวงตาของนาถะยาจ้องมองบรรดาเจ้าชายพระญาติทั้งหลาย บางพระองค์ก็เคยเสด็จมาหาพระองค์เพื่อร่ำเรียนเขียนอ่านด้วยกัน สีหน้าพวกเขาจ้องมองมาทางเจ้าชายด้วยความฉันมิตร หรืออย่างน้อยก็มากกว่าแต่ก่อน บางพระองค์ไม่เคยมาแม้นเทียบเชิญ อาจด้วยถือสถานะตนเป็นพระโอรสกษัตริย์ ฐิทิ ฤๅด้วยข่าวลือพระอารมณ์แลวีรกรรมเก่าก่อนก็มิอาจทราบ บ้างกระซิบกันเบา ๆ นาถะยายิ้มกรุบกริบก่อนร่อนลงไปแทรกตรงนั้น
'เจ้าชายสองพระองค์นี้พูดถึงพระองค์อยู่จริงด้วยซิหนา นาถะยาว่าแล้วไม่ผิด!' ดวงจิตฟ้องพลางตบตัก
มังสามเกียดนั่งนิ่งข้างพระพี่นางและพระมารดา สายตามองพระที่นั่งซึ่งอยู่ทางอื่นในในพระหฤทัยก็ลอบสนทนาในใจ 'กระซิบว่ากระไร'
'ในสายตาผู้อื่นเจ้าชายมังสามเกียดเป็นเช่นไรก็ถูกพูดถึงเช่นนั้น...ใช่ พระองค์เปลี่ยนไปในทางที่ดี พวกเขาใคร่จะมาร่ำเรียนกับพระองค์ด้วย'
มุมโอษฐ์เจ้าชายคลี่ออกเล็กน้อย 'กระนั้นฤๅ' ทรงรับสั่งก่อนสักพักหลังฟังนาถะยาสืบเสาะดูกิริยาท่าทีบรรดาเจ้าชายน้อยใหญ่แล้ว ก็เริ่มแยกออกเป็นกลุ่ม ใครภักดี ใครยังวางตัวเป็นกลางและใครไม่มาพบปะด้วยเพื่อหาทางวางแผนต่อไป
นาถะยาชะโงกศีรษะไปทางก่อนถามด้วยเสียงสดใส 'ดูฝั่งเจ้าชายแล้วให้นาถะยาไปดูฝั่งเจ้าหญิงเจ้านางด้วยฤๅไม่พระองค์'
รอยสรวลเจ้าชายหายไปทันใด 'ไม่ต้องเลย กลับมาได้แล้ว'
'นาถะยามิได้จิตใจอกุศลหรอกหนา นาถะยาก็แค่ไปสอดส่องว่าผู้ใดพูดถึงพระองค์ว่าอย่างไร เพราะมีพระนางรึเหล่าเจ้านางน้อยมองพระองค์อยู่มิใช่น้อย...อุเหม่ เจ้าชายวายร้ายของนาถะยาช่างมีเสน่ห์ไม่เบา หากนิสัยไม่แย่ แลมีแต่ใบหน้างดงามปานเทพบุตรนี่คงพิชิตใจชายหญิงได้ทั้งวัง'
'นาถะยา มานี่!'
'เจ้าข้าพระองค์ เจ้าข้า นาถะยาเป็นคู่คิดหรอกหนามิใช่หมา ไม่เห็นต้องรับสั่งเสียงเข้ม...'
นาถะยาลอบมองซ้ายขวาเสียสองสามรอบ ก่อนจะบินลอยกลับมายังมังสามเกียด เขาบินวนอยู่ครู่หนึ่งเพื่อหาตำแหน่งเลือกยืนข้าง ๆ เจ้าชาย เมื่อกลับมายืนเคียง นาถะยาก็เฉลียวใจตรงหางตา---เขาเหลือบหันไปเห็นแววตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองตรงมาทางเขา
'พระองค์ เป็นไปได้ไหมที่จะมีคนเห็นผีหรือกระแสจิตเทือกนี่ในท้องพระโรง' นาถะยารีบถาม
ดวงเนตรเจ้าชายเบิกกว้างขึ้น 'หา...กระไรของเจ้านะ ...ผู้ใดกัน'
'จ้องมองตาไม่กะพริบ เขาเห็นนาถะยาแน่แท้' ผู้ถูกเห็นก้มลงรายงานเสียงกระซิบ พลางผ่ายมือบอกทิศ 'เจ้าชายฟากโน้นพระองค์ ไม่รู้เห็นนาถะยาหรือจ้องมาทางพระองค์กันแน่ แต่แววตาคู่นั้นนาถะยาอ่านไม่ออกเลย'
เสียงมโหรีดังขึ้นเป็นจังหวะสัญญาณว่าราชันหงสาแลยุพราชมาถึง บรรดาผู้มารับเสด็จรีบขยับวรกาย บางพระองค์หมอบ หมอบพระองค์ลงจากเก้าอี้มาคุกเข่า ด้านเจ้ามังสามเกียดก็อาศัยช่วงเวลานี้ลอบสังเกตว่าฟากโน้นของนาถะยาคือผู้ใด
...และดวงเนตรของมังสามเกียดเบิกกว้างสบกับเจ้าชายผู้นั้นพอดี
พระสังขทัต ราชโอรสองค์เล็กของพระมเหสีตำหนักกลาง