webnovel

นกแก้วส่งสาร

'น้าฤๅษีของพระองค์ดูท่าเข้าด้วยยาก การจะดึงมาเป็นพวกคงมิง่าย' นาถะยากระซิบ ชะโงกหัวไปมอง เพ่งพิศ แล้วย้อนหันกลับมา 'น้าท่านหัวเราะกระไรก็ไม่รู้ด้วย นาถะยาเห็นเมื่อกี้ ชะรอยเราตกเป็นขี้ปากแน่แล้วพระองค์'

เจ้าชายมังสามเกียดหยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ 'ก็ดูกันว่าจักทนลูกตื้อเราได้สักกี่น้ำ...สีหน้าฟ้องอยู่ทนโท่ ข้าไม่โง่ยอมรามือก่อนดอก'

'ถึงขนาดมาหาเองให้ได้ เขาเป็นกำลังที่สำคัญต่อพระองค์ขนาดนั้นเชียวฤๅ'

หลานหลวงกษัตริย์หยักหน้าเล็กน้อยแล้วสนทนาต่อในใจ

'บางที หากว่าโชคเข้าข้างให้เป็นเหมือนเดิม ท่านน้าจะเป็นขุมกำลังสำคัญ อยู่เบื้องหลังราชสำนักหงสาของเรา ผู้ที่รู้มีเพียงเสด็จปู่ เสด็จพ่อแล้วก็พวกขุนนางผู้ใหญ่กับเหล่าราชองครักษ์เท่านั้น...ซึ่งกว่าข้าจะรู้ก็สมัยรับตำแหน่งมหาอุปราชาเมงจีสวานั่นแล'

นาถะยาเลิกคิ้วสงสัย เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าบุรุษผมขาวท่าทางเจ้าเล่ห์ แลถือเพศนักบวชแปลกตาผู้นั้นจะเป็นขุมกำลังของหงสาวดีด้วยวิธีการใด 'คนสำคัญป่านนั้นออกมาทำอะไรข้างนอกกัน' ดวงจิตสะท้อนรูปร่างเจ้าชายกล่าวพึมพำ

'ถึงจะพิลึกพิลั่น...แต่อาจทำงานได้สะดวกกว่าอยู่ในวังกระมัง'

ระหว่างที่เจ้าชายมังสามเกียดและนาถะยาพูดคุยสนทนาความอย่างสัพเพเหระ ในสายตาผู้ร่วมขบวนกลับมองว่าเจ้าชายน้อยกำลังครุ่นคิดบางอย่าง หน้านิ่วคิ้วขมวด นิ่งเงียบจนผิดวิสัย ด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบพระองค์เลือกเสด็จมาหาเสด็จน้าของพระองค์ มินเลตยาเป็นผู้มีข่าวลือหนาหูมากมาย ทั้งในแง่รูปโฉมงามดุจดั่งอดีตกษัตริย์รัชกาลก่อน ทั้งในแง่หลงใหลสุรานารีหรือกระทั่งบุรุษ เจตนาของเจ้าชายคือสิ่งใดไม่มีใครทราบและไม่มีใครกล้าถามในเวลานี้

เชงมากับหน่องจาในฐานะพระพี่เลี้ยงรู้สึกฉงนและกดดัน เหมือนพวกตนเองกำลังอุ้มไหใส่ดินประสิว ผู้เป็นนายเหมือนเชื้อไฟที่รอเวลาปะทุ หน่องจาใช้ศอกกระทุ้งสหาย หวังให้เชงมาเป็นผู้ถ่ถามความสักประการ แต่อีกคนรอจังหวะจึงเกี่ยงกันไปมา

"เจ้าชายมังสามเกียด เมื่อสักครู่ข้าขอบน้ำใจท่านที่ช่วยตอนชลมุ่นวุ่นวาย"

"น้องสามแข็งแรงดีจริง เหมือนชำนาญการต่อสู้มาเป็นสิบปีเลย"

ผู้ที่เข้ามาทำลายห้วงเวลาแห่งความเงียบงันคนแรกกลับเป็นเมยะ ตามมาติดๆก็คือเจ้าหญิงมังอะถ้วย เจ้าชายกลับไม่ได้ยินดีกระไรกับคำกล่าวเหล่านั้น ว่ากันตามตรงเจ้าชายก็ชำนาญการต่อสู้ ในกาลก่อนไหหรือโถใบเท่านั้นก็สามารถยกได้ด้วยแขนข้างเดียว สิ่งที่เกิดในวันนี้ย้ำเตือนพระองค์เรื่องการฝึกให้หนักยิ่งขึ้น

"หากมีสิ่งใดให้ข้าตอบแทน ..."

"สถานการณ์พาไป มิต้องขอบใจ" มังสามเกียดตอบ มองนายน้อยวาณิชผิวเข้มครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อ "ฤๅหากเจ้าสำนึก เพลาหน้าซึ่งคงไม่มีวันมาถึง หากข้าได้ยากเจ้าก็ตอบแทนน้ำใจข้าแล้วกัน"

เมยะยิ้มเล็กน้อยก่อนค้อมตัวแทนคำขอบคุณ เขาถอนกลับไปที่ตำแหน่งเดิมโดยมีเจ้าหญิงพระพี่นางสนทนาครู่หนึ่งเป็นระยะ นาถะยามองเห็นกิริยาได้ถนัดเนื่องจากลอยเหมือนก้อนเมฆไล่หลังเจ้าชายผู้นำหน้า เขาจึงคอยกระซิบความดุจเป็นตาหลังให้ฟังโดยที่เจ้าชายไม่ต้องหันไปมอง

'พระพี่นางท่านดูสนิทสนมกับเมยะ ข้าหันไปก็เห็นทั้งสองสนทนาความอยู่เนือง'

มังสามเกียดเชิดหน้าเล็กน้อย ลอบชำเลืองไปดูแล้วหันกลับมา

'ก็ไม่เห็นจะแปลก กับแม่นางมารีอาก็เช่นเดียวกัน วันหน้าการค้าในวังหลังก็ต้องอยู่ในการดูแลของพวกเจ้าพี่ หน้าที่สานสัมพันธ์ของกิจการเสด็จย่าก็ปล่อยให้พี่หญิงจัดการไปเถิด ไม่เกี่ยวกับข้าและเจ้า นาถะยา เอาเรื่องเราให้รอดไปได้ก่อน อย่าไปยุ่งเรื่องผู้อื่นให้มาก'

นาถะยารู้สึกเหมือนถูกด่าว่าจุ้นจ้าน เขาจึงนิ่วหน้าเดาะลิ้นบุ้ยปากทำหน้ามุ้ย 'เจ้าข้า...พระองค์ แล้วจะกระไรต่อเล่าพระองค์' นาถะยาลากเสียงถาม

'ฝึกร่างกายให้หนัก' เจ้าชายนึกพลางบีบนวดฝ่ามือ 'อ้ายพวกวิชาการคร่ำครึก็ร่ำเรียนเพื่อเจอมิตรสหายเส้นสาย พบปะพวกขุนนางกับพ่อค้า แล้วเวลาว่างที่เหลือก็ขอออกนอกวังมาพบเจ้าน้า...เบื้องต้นเป็นเช่นนี้ก่อน'

- - - - - - - - - - - - -

สักพักใหญ่เมยะและผู้ติดตามก็ได้กล่าวล่ำลาแล้วแยกขบวนจากออกมา มารีอาเป็นผู้รีบมารับกลับไป หลังจากยืนส่งเจ้าชายเจ้าหญิงหงสากลับสู่วังหลวงแล้ว บทสนทนาของทั้งสองก็เริ่มขึ้น

"เป็นกังวลยิ่งนัก เพราะยินมาว่ามีการวิวาท...แต่ดูท่าทางคู่ค้าจะดีเกินที่เล่าลือมาล่ะซี"

"ความนัยกระไรของเจ้า มารีอา" เมยะปรายตาไปยังคู่สนทนา แสร้งเป็นไม่สนใจก่อนเดินกลับเข้าที่พัก มารีอาก็รุดตามมาเดินขนาบข้าง

"สีหน้าแววตาบ่งบอกว่าประทับใจ" มารีอาสังเกตสีหน้าอีกฝ่ายไปพลางพูดพร้อมยกยิ้มไปพลาง "ชะรอยการขี่ม้าชมเมืองจะทำให้เห็นว่าชาวหงสานิสัยใจคอเป็นเช่นไร"

"ก็มิต่างกระไรกับที่ไหนดอก..." เมยะทำหน้านิ่งเป็นปรกติ ในหัวนึกถึงภาพของเจ้าชายมังสามเกียดพบปะขุนนางและวาณิช พาตะล่อนรอบกรุงและรับมือเหตุวุ่นวาย พอนึกตามรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากเจ้าตัว "...ก็จริงดั่งเจ้าว่า มารีอา ชาวหงสาต่างจากเสียงลือเสียงเล่าอ้างนัก ดีจริงที่ได้เดินทางมาถึงที่นี่..."

บุตรีคณะวาณิชใหญ่ได้ฟังก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ "แหม เอ็นดูเหลือเกินหนา เช่นนี้เจ้าชายหารู้ไม่เลยจริงฤๅ ? "

"วิหคของข้าอยู่ที่ใดเล่า บัดนี้ควรแก่เวลาแจ้งข่าวคราวกลับ ว่าวันนี้ได้รับการต้อนรับหงสาด้วยดีเพียงไร" เมยะกระแอมแล้วรีบตัดบท มารีอาผ่านมือไปทางเรือนรับรองใหญ่มโหฬารซึ่งมีบ่าวไพร่คุกเข่ารอรับอยู่เป็นอันมาก

"วิหคเจื้อยแจ้วอยู่บนเรือนใหญ่ ทุกสิ่งสรรพจัดแจงให้แล้วตามสมควร...หากต้องการเรียกใช้สิ่งใด โปรดแจ้งคนของข้าได้ทันที"

มารีอาค้อมตัวเชิงยืนส่ง เมยะเดินมองเรือนที่โอ่อ่าสร้างใหญ่ด้วยความชื่นชม พอเห็นปักษาชาติสองตัวหน้าห้อง เมยะจึงบอกให้บ่าวคนสนิททั้งหลายที่ติดตามแยกย้ายออกไปตามสะดวก เขายกกรงนกแก้วเดินเข้าไปในห้องหับส่วนตัวก่อนปิดประตู ด้านในผ้าผืนปักลายและอ่างน้ำสมุนไพรใบเล็กซึ่งถูกตระเตรียมไว้ชำระร่างกายบนโต๊ะพร้อมสรรพ

เมยะหยิบผ้ามาซับน้ำจนชุ่มแล้วเช็ดใบหน้า ระหว่างนั้นก็เปิดกรงแล้วกระซิบกับนกน้อยตัวแรก...

"ลูกถึงหงสา ปลอดภัย หน้าที่ลุล่วง..."

นกแก้วตัวแรกนิ่งก่อนเลียงคำของเจ้านาย "...ถึงหงสาปลอดภัย หน้าที่ลุล่วง"

เจ้าของห้องรู้สึกพึงพอใจที่ปักษาน้อยของตนเรียนรู้ได้ว่องไวสมกับฝึกฝนมาตลอดการเดินเดินทางไกล เมยะปล่อยเจ้านกน้อยตัวแรกบินนำข้อความนี้ไปสู่ปลายทาง อ่างสมุนไพรซับเขม่าและถ่านออกมาจากผิวของเจ้าตัวที่ละน้อย เมยะซับไปพลางส่องกระจกไปพลาง ก่อนที่เจ้าตัวจะส่งมอบหมายข้อความอีกชุดหนึ่งให้เจ้านกแก้วน้อยในกรงตัวที่สอง

"ลูกพบคู่หมั้นแล้ว เป็นไปด้วยดี..."

พูดจบ เจ้านกแก้วตัวที่สองก็ถูกปล่อยบินออกไป

次の章へ