webnovel

ตอนที่ 4

ตัวอักษรนั้นก็เป็นอักษรไทย แต่ลายมือโบราณมาก ๆ ซึ่งเธอรู้สึกแปลกตา แต่ก็จะลองอ่านดู

"ข้า พระ…" เธอพึมพำเบา ๆ แต่เสียงนั้นก็ไม่รอดหูพระสุริยศักดิ์ไปได้

"เจ้าว่ากระไรหนา แม่ไพลิน" พระสุริยศักดิ์ถาม เพราะคิดว่าตนคงหูฝาด ได้ยินว่าไพลินกำลังอ่านกระดาษนั่นได้

ไพลินรู้ตัวจึงรีบส่ายหน้าและทำหน้าตกใจ เพราะเธอคิดว่าตัวเองพูดเสียงเบาหวิว พ่อของเธอไม่น่าจะได้ยินด้วยซ้ำจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง

"คุณพ่อ ลูกหิวเจ้าค่ะ" เธอตอบพร้อมจ้องไปที่หน้าของคุณพ่อ

ครั้นยังเห็นว่าคุณพ่อยังเงียบ ไพลินจึงหันไปหาบ่าวที่นั่งอยู่ไม่ไกลแทน

"พี่นิ่ม ไพลินหิว" เธอหันหน้าไปหานิ่มพร้อมทำหน้าตาออดอ้อน

"งั้นบ่าวจักไปเอาขนมต้มมาให้หนาเจ้าคะ" นิ่มกล่าวพลางลุกเข้าไปในครัว

"แม่ดวงเดือน เหตุใดลูกของเราจึงเรียกนังนิ่มว่าพี่นิ่ม มีผู้ใดสอนงั้นฤๅ" พระสุริยศักดิ์ถามภรรยาด้วยน้ำเสียงเชิงตำหนิ

"มิมีผู้ใดสอนเจ้าค่ะคุณพี่ น้องแลนิ่มเคยปรามมิให้แม่ไพลินพูดแล้ว แต่แม่ไพลินก็ยังพูดอยู่เจ้าค่ะ" ดวงเดือนพูดพลางก้มหน้าลง

เรื่องแค่นี้ทำไมถึงต้องทำน้ำเสียงดุแบบนี้ด้วยนะ

"เหตุใดเจ้าจึงพูดกับบ่าวเยี่ยงนั้น แม่ไพลิน" คุณพ่อถามอย่างคาดคั้น

"พี่นิ่มดูแลลูกเจ้าค่ะ" ไพลินพูดพร้อมกับยิ้มกว้างให้คุณพ่อของเธอ

"ดูแลเจ้าแล้วอย่างไร"

"ลูกชอบพี่นิ่ม พี่นิ่มแก่กว่าลูก พี่นิ่มเป็นพี่เจ้าค่ะ" คราวนี้ไพลินตอบเป็นประโยคยาว ๆ แต่ตอนพูดนั้นไพลินรู้สึกว่าลิ้นจะพันกันให้ได้เลย

พระสุริยศักดิ์ยกยิ้มขึ้น และยังหัวเราะน้อย ๆ ทำให้ดวงเดือนที่ก้มหน้าอยู่เงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าสงสัย

"พี่มิได้จักว่ากล่าวกระไรหรอกแม่ดวงเดือน แต่พี่ฉงนใจนัก แลอยากแกล้งลูก จึงได้ทำเสียงดุ" พูดจบคุณพ่อของเธอก็ยิ้ม

แหม รู้หรอกว่าอยากคาดคั้นเลยพยายามทำให้กลัว จะได้ตอบออกมาแบบหมดเปลือก แต่เรื่องนี้มันไม่มีอะไรให้ปิดบังอยู่แล้ว

หลังจากคุยจบ พี่นิ่มก็มาพอดี ขนมต้มที่พี่นิ่มไปเอามาให้ทานนั้นอร่อยมาก หากว่ากันตามจริงเธอไม่เคยกินขนมไทยหรอก กินแต่ขนมฝรั่ง ก็ขนมไทยมันหายากนี่นา แต่พอมาอยู่ที่นี่เวลาอยากได้ของหวานก็ต้องกินขนมไทยนั่นแหละ

"วันพรุ่งวันพระ น้องอยากจะขอไปวัดเจ้าค่ะ" แม่ดวงเดือนถามพระสุริยศักดิ์

"ไปเถิด พาแม่ไพลินไปด้วยหนา วันพรุ่งพี่ต้องราชการแต่เช้า พี่ไปกับเจ้าด้วยมิได้"

"คุณพี่จักให้แม่ชบาแลพ่อมิ่งไปกับน้องด้วยหรือไม่เจ้าคะ"

หลังจากคุณหญิงดวงเดือนพูดจบ ไพลินก็หันควับ

ใครคือชบา ใครคือมิ่ง

"อืม ดีเหมือนกัน เช่นนั้นพี่ฝากเจ้าดูแลสองคนนั้นด้วยหนา"

"เจ้าค่ะคุณพี่ เช่นนั้นน้องแลลูกขอกลับเข้าหอนอนหนาเจ้าคะ" พูดจบคุณแม่ก็จูงมือไพลินกลับเข้าหอนอน

เมื่อมาถึงห้องนอนไพลินก็ถามขึ้นทันที

"คุณแม่เจ้าขา ชบากับมิ่งคือใครเจ้าคะ" เธอถามพร้อมส่งสายตาออดอ้อนหวังจะได้คำตอบ

"วันพรุ่งเจ้าก็จักได้เจอนั่นแล" คุณแม่ของเธอตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม แต่ในดวงตามีความเศร้าซ่อนอยู่

นี่เราคงไม่ได้คิดไปเองใช่ไหม มันต้องมีอะไรแน่ ๆ จะถามคุณปู่ก็คงไม่ได้ เพราะคุณปู่ไม่ยอมโผล่มาในฝันตั้งแต่ตอนอายุ 2 ขวบด้วยเหตุว่าเมื่อผู้รับสารอายุมากขึ้น การเข้าถึงความคิดและความฝันจะทำได้ยากขึ้นไปอีก หากไม่มีเรื่องจำเป็นอะไร คุณปู่ก็จะไม่โผล่มาในฝันเธออีก ดังนั้นพรุ่งนี้ก็ต้องไปหาคำตอบเองแล้วสิ

วันนี้เธอต้องตื่นแต่เช้า น่าจะเป็นช่วงตี 4 ซึ่งอากาศมันก็เย็นมาก แต่เธอก็ยังต้องลุกขึ้นมาอาบน้ำ

"หนาวเจ้าค่ะ" ไพลินพูดตอนที่พี่นิ่มกำลังขัดสีฉวีวรรณเธออยู่

"ทนหน่อยนะเจ้าคะ" พี่นิ่มพูดกลับ ขณะที่ยังขัดผิวคุณหนูน้อยของตน

เมื่ออาบน้ำเสร็จก็ถึงเวลาผลัดผ้า วันนี้ไพลินได้นุ่งโจงกระเบนเขียวไพร และสวมสไบสีเหลืองนวล ผมบนหัวถูกรวบม้วนขึ้น เครื่องประดับที่เธอต้องสวมใส่ ทั้งสังวาล กำไลข้อมือ กำไลข้อเท้า ล้วนแต่เป็นทอง ซึ่งสำหรับเธอรู้สึกว่าเยอะเกินไป ตอนที่ยังเป็นพัฐสุดา เครื่องประดับที่เธอสวมใส่มีแค่สร้อยคอเส้นเล็ก ๆ กับนาฬิกาคู่ใจเท่านั้น

"ไม่ใส่ไม่ได้หรือเจ้าคะ" เธอพูดพลางชี้ไปที่กำไลข้อมือที่มีหลายอันเหลือเกินบนแขนของเธอ

"มิได้ดอก แม่ให้เจ้าแต่งน้อยนัก ผู้อื่นจักว่าคุณพ่อของเจ้าได้หนา"

"ทำไมหรือเจ้าคะ"

"คุณพ่อของเจ้าคือพระสุริยศักดิ์เชียวหนา หากแต่งน้อย เจ้าคิดว่าผู้คนจักมองเราเยี่ยงไรเล่า"

เธอครุ่นคิด แต่งน้อยแล้วมันมีปัญหาอะไร ออกจะเบาตัว เมื่อมีภัยก็วิ่งหนีได้สะดวก นี่อะไร เดินไปไหนมาไหนก็มีแต่เสียงกระทบกันของทอง ไม่กลัวโจรปล้นหรืออะไร แถมหนักจนแทบยกมือไม่ขึ้น

"ลูกไม่รู้เจ้าค่ะ แต่หากมีภัยเราจักลำบากนะเจ้าคะ เครื่องทองหนักเยี่ยงนี้"

"เจ้าคิดถึงการณ์นั้นเชียวฤๅ แม่ไพลิน" แม่ดวงเดือนยิ้มให้ลูกน้อยของตนอย่างเอ็นดู นี่สินะ เป็นถึงลูกขุนนางฉลาดยิ่งนัก

ไพลินพยักหน้าอย่างขันแข็ง หวังว่าคุณแม่จะให้เธอถอดเครื่องประดับออกสักชิ้นสองชิ้น เพราะตอนนี้เธอรู้สึกว่ามันหนักเหลือเกิน

"แต่อย่างไรก็มิได้ ที่เจ้าใส่อยู่นี้น้อยนัก หากเอาออกอีกผู้คนคงหาว่าคุณพ่อเจ้าเลี้ยงเจ้าไม่ดีหนา" คุณหญิงจึงให้เหตุผลกับลูกน้อยไป เพราะหากไม่ให้เหตุผล ลูกน้อยของเธอคงจักเซ้าซี้ให้ถอดเครื่องทองออกให้ได้

"เจ้าค่ะ" ไพลินตอบหน้าหงอย ๆ

อะไรกัน ไม่กลัวโจรปล้น แต่กลัวคนนินทาเนี่ยนะ คนรวยไม่รวยไม่เห็นจะต้องอวดกันเลย

ดวงเดือนจูงมือลูกน้อยของตนออกนอกหอนอน และเมื่อไปถึงตรงท่าน้ำ ที่นั่นเธอเห็นผู้หญิงอีกนางหนึ่ง อ้อนแอ้นอรชร ดวงหน้าสวยคม เด็ดเดี่ยว ไม่เหมือนคุณแม่ของเธอที่มีหน้าตาอ่อนหวาน และเธอก็เจอเด็กน้อยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หล่อน อืม…เด็กน้อยที่เป็นผู้ชายคนนั้นหน้าตาน่ารักน่าชัง ฟันธงได้เลยว่าโตขึ้นเด็กคนนั้นจะต้องหล่อมากแน่ ๆ

แต่ว่าพวกเขาคือใคร

"แม่ชบา เจ้ามารอนานฤๅไม่" ดวงเดือนพูดขึ้นครั้นเดินเข้าไปใกล้หญิงสาวกับเด็กผู้ชาย

"ไม่นานเจ้าค่ะ ข้าแลพ่อมิ่งพึ่งมาถึงได้เมื่อครู่เจ้าค่ะ"

ออ งั้นคนนี้คงเป็นแม่ชบา ส่วนเด็กน้อยคนนี้ชื่อมิ่งสินะ

ไพลินมองมารดาของตน พร้อมส่งสายตาประมาณว่า ใครกัน แนะนำให้ลูกคนนี้รู้หน่อยสิ

"แม่ไพลิน นี่แม่ชบาแลพ่อมิ่ง น้องของเจ้าอย่างไร" ดวงเดือนบอกกับลูก

ออ น้อง…

ห้ะ น้องเนี่ยนะ

"น้องแท้ ๆ เลยหรือเจ้าคะ" เธอถามพร้อมกับสีหน้าตกใจ

"แท้กระไรของเจ้าฤๅ" คุณหญิงดวงเดือนถามลูกน้อยของตนที่ตอนนี้สีหน้าดูซีดเซียวไปเล็กน้อย แถมยังทำหน้าเหมือนไม่เชื่อว่านี่คือเรื่องจริง

"ลูกหมายถึง พ่อมิ่งเป็นลูกของคุณพ่อเหมือนกันหรือเจ้าคะ"

"ใช่แล้ว พ่อมิ่งอายุเท่ากับเจ้าแต่อ่อนกว่าเจ้า 5 เดือน"

ไพลินช็อก แน่นอนใครไม่ตกใจล่ะ อยู่มา 3 ปี ไม่เคยรู้ว่าพ่อตัวเองมีเมียกับลูกอีกคน ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อนด้วย

แต่ถึงจะตกใจยังไงมารยาทก็ยังเป็นสิ่งสำคัญสำหรับไพลิน

"ไหว้เจ้าค่ะ ข้าเรียกคุณน้าชบาได้หรือไม่เจ้าคะ" ไพลินถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน

ยังไงก็ต้องลองเชิง ถ้าผู้หญิงคนนี้ร้ายเธอจะได้เตรียมตัว

"ข้ายินดียิ่งนัก พ่อมิ่งไหว้พี่สิลูก" แม่ชบาตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่จริงใจ และบอกกับลูกของตนให้ไหว้ไพลิน

"ไหว้ขอรับ" มิ่งพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ไพลินรีบรับไหว้ เธอไม่เคยรับไหว้คนที่อายุน้อยกว่าเลย เพราะชาติที่แล้วถึงเธอจะเป็นลูกของกรชวัล แต่ในที่ทำงานนั้นมีแต่คนที่อายุมากกว่าและพวกเขาชอบจะยกมือไหว้เธอก่อน หลาย ๆ ครั้งเธอจะบอกพวกเขาว่าไม่ต้อง แต่ก็มีบางครั้งเหมือนกันที่เธอบอกไม่ทัน

เธอไม่ชอบระบบวัยวุฒิ และไม่ต้องการให้ใครมาใช้มันกับเธอ

สถานการณ์ตอนนี้ค่อนข้างอึดอัด เพราะไม่มีใครพูดกับใคร บนเรือนั้นเงียบกริบจนได้ยินแต่เสียงฝีพายกระทบน้ำ แต่นั่นไม่เป็นปัญหาสำหรับไพลินที่เจอเหตุการณ์แบบนี้จนชิน

ก็แค่มองข้างทางไป มองวิว ชมนกชมไม้ ไม่ต้องคิดเรื่องคนบนเรือก็สิ้นเรื่อง

"กระผมขอเรียกว่าพี่ไพลินได้หรือไม่ขอรับ" มิ่งเป็นคนเริ่มพูดขึ้นก่อน ทำให้ไพลินต้องละสายตาจากวิวริมน้ำมามองที่ใบหน้าน่ารักน่าชังตรงหน้า

"ได้สิ เจ้ามิต้องเรียกข้าว่าพี่ก็ได้ ข้าแก่กว่าเจ้าแค่ 5 เดือน ข้าไม่ถือดอกนะ" ไพลินพูดพลางยิ้มหวานให้น้องชายคนใหม่ที่พึ่งได้รู้จักวันนี้

"กระผมมิกล้าดอกขอรับ" มิ่งตอบพลางก้มหน้าก้มตาเหมือนหาของบางอย่าง แล้วเขาก็นำออกมา

"กระผมเจอดอกนางแย้มข้างเรือน เห็นว่างามนักจึงเด็ดมาให้พี่ไพลินขอรับ" มิ่งยื่นดอกนางแย้มให้ไพลิน

"งามนัก ขอบใจเจ้ามาก" ไพลินตอบพร้อมยิ้มกว้างให้น้องชายที่เธอเอ็นดูทันทีเมื่อแรกเห็น

ความจริงเธอไม่เคยเห็นด้วยกับการที่ผู้ชายมีภรรยาหลายคน เพราะในขณะเดียวกันผู้หญิงไม่สามารถมีสามีหลายคน หากมีก็จะโดนประนามอยู่กันไม่ได้เลยทีเดียว แต่การที่ผู้ชายมีภรรยาหลายคน กลับเป็นการเสริมบารมี แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งร่ำรวยของตัวผู้ชายที่สามารถเลี้ยงคนได้เยอะ

แต่เท่าที่เห็น คุณแม่ของเธอและคุณน้าชบามีความสัมพันธ์ที่ไม่เหมือนเมียหลวงเมียน้อยที่ไม่ถูกกันเลย เพราะไม่อย่างงั้นคงมาด้วยกันแบบนี้ไม่ได้ มันต้องมีสาเหตุอะไรแน่ ๆ ที่ทำให้คนสามคนมาอยู่ในความสัมพันธ์แบบนี้