webnovel

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน… ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?! สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป... วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย? ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้… “ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง “เรียกแม่สิ” เธอล่ะอยากจะเป็นลม...

เพียนฟางฟาง · 歴史
レビュー数が足りません
946 Chs

049 ค้าขายยังปักกิ่ง

บทที่ 49 ค้าขายยังเมืองหลวง

อาหารเย็นคือเกี๊ยวไส้หมูผักกาดขาวกับไส้หมูหอมใหญ่ ทานคู่กับน้ำแกงหางวัวหัวไชเท้าเรียกน้ำย่อย

น้ำแกงหางวัวนั้นเป็นของดี ไม่เพียงช่วยบำรุงชี่ขับความชื้น แต่ยังเสริมความแข็งแรงให้กระดูกและเส้นเอ็น รักษาห้าอวัยวะตัน[footnoteRef:1] รสชาติสดอร่อย เหมาะสำหรับทุกวัย เพียงแต่วัวเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่ล้ำค่ามากในสมัยโบราณ ด้วยเหตุนี้ จึงมีพระราชฎีกาห้ามฆ่าวัวตั้งแต่รัชสมัยก่อนแล้ว [1: ห้าอวัยวะตัน หมายถึง ห้าอวัยวะภายในตัน ได้แก่ ตับ หัวใจ ม้าม ปอด ไต]

ดังนั้นต้องเป็นคนแบบไหนกันแน่ถึงกล้าทำน้ำแกงหางวัวต้องห้ามออกมา?

ในห้วงสมองของอวี๋หวั่นปรากฏใบหน้าที่ดูดีหาใดเปรียบขึ้นมาทันที

คงไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอก...

ไม่ว่าอย่างไร ต้องขอบคุณโชคของเถี่ยตั้นน้อย ครอบครัวนี้ถึงได้ลิ้มรสน้ำแกงหางวัวที่ประชาชนคนธรรมดาไม่มีทางได้กินทั้งชีวิต

หางวัวถูกตุ๋นจนเปื่อยยุ่ยจนแทบเป็นเนื้อเดียวกับน้ำแกง น้ำแกงใสๆ พลันข้นขึ้นมา เมื่อตักกินก็รู้สึกได้ว่าเนื้อวัวที่เปื่อยยุ่ยละลายอยู่ในปาก ความหวานของหัวไชเท้าเข้ากันได้ดีกับน้ำแกงที่เผ็ดร้อน ส่วนเต้าหู้อ่อนคือไม้เด็ดที่ดึงความสดของวัตถุดิบออกมาอย่างถึงที่สุด

ทั้งครอบครัวทานจนอิ่มหมีพีมัน ร่างกายก็อบอุ่นขึ้น

ในช่วงฤดูหนาว การได้ทานน้ำแกงเช่นนี้จึงจะเรียกได้ว่าถึงอกถึงใจ

เถี่ยตั้นน้อยแทะหางวัวชิ้นสุดท้ายจนเกลี้ยง หลังจากเคี้ยวหมดเขายังดูดนิ้วมือเบาๆ แม้แต่น้ำมันสักหยดก็ไม่ให้เหลือ

เกี๊ยวก็ถูกกินจนหมด แต่ไส้ยังเหลืออยู่มาก หลังทานอาหารเย็นเสร็จ อวี๋หวั่นกับป้าสะใภ้ก็ยังนวดแป้งข้าวโพดกับแป้งสาลีให้เป็นแป้งห่อเกี๊ยวกับแป้งห่อซาลาเปา เพื่อห่อไส้ที่เหลืออยู่ทั้งหมด

เถี่ยตั้นน้อยก็ห่อไปหลายชิ้น เขาห่อได้ไม่เลวทีเดียว!

แต่อย่างไรก็ยังเป็นเด็ก ห่อได้ไม่นานก็เอนตัวหลับบนเก้าอี้ไปเสียแล้ว

อวี๋หวั่นใช้ผ้าแพรห่อตัวเถี่ยตั้นน้อยไว้แน่น แล้วอุ้มเขากลับไปยังห้องนอนพร้อมกับนางเจียง

อวี๋หวั่นต้มน้ำร้อนและจุดตะเกียง หลังจากทั้งบ้านอาบน้ำกันเรียบร้อย เธอก็เอนตัวลงนอนบนฟูกที่อบอุ่น

เถี่ยตั้นน้อยนอนฟุบกับหมอน นอนหลับน้ำลายไหลเป็นทาง

แสงไฟในห้องนอนค่อยๆ มืดลง

อวี๋หวั่นหลับตาลง แต่ยังคงพลิกตัวไปมานอนไม่หลับ

“อาหวั่นนอนไม่หลับหรือ?” นางเจียงถามเสียงอ่อนโยน

อวี๋หวั่นพลิกตัวมามองด้านข้างของนางเจียงท่ามกลางความมืด “ข้ารบกวนท่านแม่หรือ?”

นางเจียงพลิกตัวมามองนาง ในดวงตาคู่สวยราวกับมีประกายเคลื่อนไหวอยู่ “ไม่หรอก ข้านอนตอนกลางวันเยอะแล้วจึงยังไม่ง่วง อาหวั่นมีเรื่องให้คิดอยู่หรือ”

อวี๋หวั่นอ้าปากเล็กน้อย “ท่านแม่ ปีนั้นที่ข้าออกจากบ้านไป ข้าไปที่ไหนกันแน่? ข้าเคยเล่าให้ท่านฟังไหม?”

“ไม่เคยหรอก” นางเจียงหันไปนอนหงายพลางส่ายศีรษะเบาๆ นางมองไปที่คานหลังคาอันมืดมิด “แต่เจ้าเอาของกลับมาด้วย”

“เช่นนั้นหรือ?” อวี๋หวั่นอึ้งเล็กน้อย

นางเจียงค่อยๆ เลิกผ้าห่มลงจากเตียงแล้วตรงไปยังหน้าตู้เสื้อผ้า นางเปิดตู้แล้วก้มตัวหยิบกล่องใบหนึ่งออกมา และหยิบของบางอย่างออกมาจากกล่องอีก

นางกลับไปที่เตียง คลุมผ้าห่มแล้วยื่นของไปให้อวี๋หวั่น

อวี๋หวั่นลองจับๆ ดูและมองให้ละเอียด ก่อนจะเอ่ยอย่างสับสน “พู่หรือ?”

นางเจียงตอบ “เป็นพู่ที่มากับหยกแขวน ตัวหยกเจ้าเอาไปขายแล้ว ส่วนพู่ก็ตัดทิ้งไว้ที่บ้าน”

อวี๋หวั่นลูบคลำตัวพู่ “ลำบากท่านแม่ต้องเก็บมันไว้เสียแล้ว”

“มันทำได้ประณีตมากนี่นา” นางเจียงพูดอมยิ้ม ถือว่าเป็นการอธิบายว่าเหตุใดตนถึงเก็บของที่ถูกตัดทิ้งไว้

อวี๋หวั่นมองพู่ผ่านแสงไฟ “ด้านบนมีไข่มุกอยู่ มิรู้ว่าจะขายเป็นเงินได้หรือไม่”

“อาหวั่น...ไม่สงสัยว่าปีนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?” นางเจียงถามอวี๋หวั่น

อวี๋หวั่นส่ายหน้าตอบ “ข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่มีค่าพอให้จำ มิเช่นนั้นข้าต้องบอกท่านแม่ไปแล้ว”

นางเจียงหัวเราะแห้งๆ “นอนเถิด”

“อืม” อวี๋หวั่นยัดพู่ไว้ใต้หมอนลวกๆ เธอหลับตาลงแล้วเข้าสู่ห้วงนิทรา

ท้ายสุดแสงไฟนั้นก็ดับไป

ในความมืดมิดที่ไร้จุดสิ้นสุด มีเสียงถอนหายใจเบาๆ ของนางเจียงลอยมา

.........................................

“ไสหัวไป! ไสหัวไปให้หมด!”

ในหอกุยอวิ๋นของจวนแม่ทัพ เหยียนหรูอวี้กำลังทำลายเครื่องปั้นดินเผาของทั้งเรือนทิ้ง

สาวใช้ในห้องล้วนตกใจกันไม่เบา

คุณหนูสูงศักดิ์ที่ปกติแม้แต่เอ่ยวาจายังไม่เคยใช้เสียงดัง มิทราบว่าไปถูกใครข้างนอกทำให้มีโทสะมา ทันทีที่กลับมาถึงห้องนางก็เริ่มทำลายข้าวของ

สาวใช้ผู้หนึ่งฉวยโอกาสตอนที่เหยียนหรูอวี้ไม่ทันตั้งตัว แอบไปหยิบแจกันดอกไม้เตรียมเอาออกไปด้านนอก

“เจ้าหยุดบัดเดี๋ยวนี้!” เหยียนหรูอวี้ชี้นิ้วตรงไป

ร่างของสาวใช้แข็งทื่ออยู่หน้าประตู

“หันกลับมา” เหยียนหรูอวี้เอ่ยอย่างเย็นชา

สาวใช้ไม่ขยับ

เหยียนหรูอวี้ขึ้นเสียงสูง “คุณหนูให้เจ้าหันกลับมาอย่างไรเล่า! เจ้าหูหนวกหรือโง่เง่ากันแน่? ถ้ายังไม่ฟังคำของข้าอีก เย็นนี้จะหาพ่อค้าคนกลางเอาเจ้าไปขายซะ!”

“คุณหนูเมตตาข้าเถิด!” สาวใช้รีบหันกลับมาแล้ววางแจกันดอกไม้ลงกับพื้นเสียงดังตุบ “แจกันดอกไม้นี้เป็นของที่จวนคุณชายส่งมา บ่าวเกรงว่าคุณหนูจะพลั้งมือทำตกแตกจึงอยากจะเอาไปเก็บก่อนเจ้าค่ะ”

เหยียนหรูอวี้เอ่ยเสียงเย็นชา “เจ้าไม่มาเป็นนายข้าเลยล่ะ! ยกตำแหน่งในจวนแม่ทัพให้เจ้าไปเลยดีไหม! เจ้ามาเป็นคุณหนูใหญ่สิ! เจ้าแต่งเข้าจวนคุณชายไปแทนข้าเสียสิ!”

สาวใช้หน้าซีดเผือด รีบโค้งตัวขออภัย “บ่าวไม่กล้า! บ่าวไม่กล้า!”

“เกิดอะไรขึ้น?” ฮูหยินเหยียนรีบเดินเข้ามาพร้อมสาวใช้เดินตามเป็นพรวน ทันทีที่เห็นความยุ่งเหยิงอยู่เต็มพื้น นางก็พรูลมหายใจเย็นๆ ออกมาก่อนจะหันมองบุตรสาวที่สุขุมมาตลอด บัดนี้กลับมีน้ำโหหนักเหมือนสิงโตคำราม นางรีบคุมสีหน้าทันที “พวกเจ้าถอยไปให้หมด!”

“เจ้าค่ะ” เหล่าสาวใช้ทยอยเดินกันออกไป

สาวใช้ที่หมอบอยู่กับพื้นก็ลุกขึ้นยืนเช่นเดียวกัน

“วางแจกันไว้!” เหยียนหรูอวี้เอ่ยเสียงกร้าว

“ยังกล้าโวยวายอีกหรือ?!” ฮูหยินเหยียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงมีโทสะสุดขีด “คนจวนตระกูลเหยียนที่สูงศักดิ์ กลับทำตัวเหมือนหญิงปากร้ายในตลาด เจ้าไม่ได้ถูกอบรมสั่งสอนหรือ? เอาให้สุนัขกินไปแล้วหรือ?!”

เหยียนหรูอวี้ทั้งโกรธทั้งหงุดหงิดทั้งน้อยใจ

นิสัยของบุตรสาวนั้นฮูหยินเหยียนรู้เป็นอย่างดี ไม่ได้มีโทสะง่ายๆ ทำให้นางมีน้ำโหได้เช่นนี้ย่อมไม่ใช่การได้รับความไม่เป็นธรรมทั่วไป

ฮูหยินเหยียนถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “แม่รู้ว่าเจ้าได้รับความไม่เป็นธรรม แต่โกรธเคืองไปก็แก้อะไรมิได้ เจ้าเป็นคนที่ฉลาดที่สุด เจ้าจำต้องใจเย็นแล้วคิดให้ดี จึงจะรู้ว่าทำเช่นไรถึงจะรักษาชื่อฮูหยินของคุณชายไว้ได้”

เหยียนหรูอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะใจเย็นลงจริงๆ นางหยิบหยกแขวนแกะสลักรูปมังกรและเสือที่ห่ออยู่ในผ้าแพรไหมสีขาวออกมาจากสินติดตัวเจ้าสาว “ท่านแม่ เตรียมการให้ข้าที ข้าต้องการพบพระชายา”

..................

ฟ้าส่องแสงสว่างรำไร อวี๋หวั่นตื่นนอนเพราะนาฬิกาชีวภาพในตัว เธอเดินไปเก็บไข่ที่เล้าไก่ตามปกติ จากนั้นก็ต้มเกี๊ยวหมูผักกาดหนึ่งหม้อเป็นอาหารเช้า

อีกสามวันก็จะสิ้นปีแล้ว พวกเขายังมีผ้าแพรผ้าไหมส่วนหนึ่งที่ยังไม่ได้ขายไป ร้านผ้าในตำบลให้ราคาไม่สูงนัก อวี๋หวั่นจึงตัดสินใจจะไปเสี่ยงโชคในเมืองหลวง

ผ้าที่ทำให้ฮูหยินไป๋มองตาเป็นมันได้ จะขายราคาสิบกว่าตำลึงได้หรือ?

หากขายผ้าหกผืนนี้ออกไปได้หมด ค่ารักษาของลุงใหญ่ก็จะเพียงพอแล้ว

อวี๋เฟิงรู้ว่าเธอจะไปเมืองหลวงจึงมาหาแต่เช้า

อวี๋เฟิงเอ่ย “นั่งเกวียนไปลงที่ตำบลก่อน จากนั้นค่อยเปลี่ยนเป็นนั่งรถม้าไปเมืองหลวง”

ค่ารถม้าเพิ่มขึ้นแล้ว จากหนึ่งเที่ยวร้อยอีแปะเพิ่มเป็นสองสามเท่า แต่ก็ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้เกวียนราคาถูกแสนถูกล่ะ แต่เกวียนก็ช้าเกินไปจริงๆ

เขาไม่อยากให้พอไปถึงเมืองหลวง ประตูเมืองก็ปิดเสียแล้ว

อวี๋หวั่นยกยิ้มมุมปาก “ไม่ต้องห่วงหรอกพี่ใหญ่ ผ้าพวกนี้ดีมาก ขอเพียงขายได้ ค่ารถก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆ แล้ว”

...................................