webnovel

ตอนที่ 236

ตอนที่ 236 อับจนหนทาง

แรกเริ่มเดิมทีเขาคิดว่าไม่สำคัญ ถึงยังไงคนของตระกูลถังก็ไม่อยู่ตั้งนานแล้ว อาวุธชิ้นที่สี่ของตระกูลถังไม่มีบทบาทสำคัญใดๆ ดังนั้นไม่ว่ากระจกฟ้าดินจะอยู่ในมือของใคร ก็ไม่อาจเปลี่ยนหน้าที่ไปได้ แต่ตอนนี้ กระจกฟ้าดิน กลับกลายเป็นชิ้นส่วนสำคัญที่สุดของการปิดผนึก

พอขาดกระจกฟ้าดิน เย่หนิงและพวกเขาก็หมดหนทางที่จะเพิ่มพลังของผนึก แล้วกระจกฟ้าดินชิ้นนี้ ก็คือกุญแจสำคัญในการทำลายผนึก เมื่อถึงวันสุริยุปราคา ใช้ประโยชน์จากอาวุธวิเศษทั้งสามสิ่ง ก็จะสามารถทำลายผนึกได้

ซึ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่เขาไม่อยากเห็นที่สุด ปีนั้นที่ปล่อยราชาผีดิบออกมา เขาคิดว่ามันเป็นความผิดพลาด ครั้งนี้เขาจึงรับปากว่าจะช่วยขโมยกระจกฟ้าดิน ทั้งหมดเป็นเพราะคนที่เขาติดหนี้ด้วย ยังมีอีกเพราะเขาคิดว่าอาวุธวิเศษทั้งสี่สิ่งจะไม่สามารถรวบรวมได้ ประโยชน์ของกระจกฟ้าดินนี้ก็มีไม่มากนัก แต่ทว่าสถานการณ์ตอนนี้มันไม่เหมือนกัน

ถ้าเขาขโมยกระจกฟ้าดิน ทำให้ราชาผีดิบถูกปล่อยออกมา งั้นก็คงต้องทำให้ทั่วทั้งโลกวุ่นวายมากๆ จริงๆ 

และอีกอย่าง ตอนนี้เขาก็สงสัยจริงๆ ว่าคนที่ปะปนอยู่ที่เทียนเหิงกรุ๊ปต้องเป็นยอดฝีมือที่เคยอยู่ข้างกายราชาผีดิบอย่างแน่นอน แต่คนคนนั้นเป็นใครกันแน่ 

ถ้าเป็นแค่ลูกน้องธรรมดาๆ แน่นอนว่าเขาไม่สนใจหรอก แต่ไม่รู้ว่าทำไม เขามักจะรู้สึกแปลกๆ อยู่ตลอดเวลา คิดเสมอว่าคนคนนั้นต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน 

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาร่วมมือกัน แต่เรื่องนี้ ปิดบังเขามาโดยตลอด เห็นได้ชัดว่าพวกเขาที่อยู่ด้านนั้น ก็ไม่มีความเชื่อใจเขาเลยสักนิดเดียว ยิ่งเป็นอย่างนี้ ภายในใจของเขายิ่งรู้สึกกังวลมากขึ้น

เสิ่นอี้มองเย่หนิงที่กำลังนอนหลับ ลุกขึ้นอย่างเงียบๆ ออกไปจากหอพัก แล้วตรงไปหาหยางปิน 

หยางปินกำลังรอเขาอยู่ พอเห็นเสิ่นอี้ ก็รีบยืนขึ้น "นายท่าน"

"นั่งลงเถอะ" จิตใจของเสิ่นอี้ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว 

"นายท่าน..." หยางปินมองเสิ่นอี้ที่เป็นเช่นนี้ จึงอดที่จะเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้ "นายท่าน เกิดเรื่องอะไรขึ้น"

"อืม..." เสิ่นอี้นั่งลงไป ยกคิ้วขึ้น "หากระจกฟ้าดินเจอแล้ว!"

"ห๊า! " หยางปินทั้งประหลาดใจและดีใจ "หาเจอแล้ว เช่นนั้นแล้วหน้าที่ของคุณก็สิ้นสุดลงแล้วนะสิ" 

หยางปินพูดจบ จู่ๆ จิตใต้สำนึกก็คิดได้ว่ามีสถานการณ์ไม่ถูกต้องเล็กน้อย "เจอกระจกฟ้าดินแล้ว งั้นไม่ใช่ว่าผนึก......"

"ผนึกเผชิญอันตราย!" เสิ่นอี้ส่ายหน้า "พวกเขาเหล่านั้น ต้องไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนพวกนั้นอย่างแน่นอน"

หยางปินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงพูดว่า "นายท่าน คุณคงจะไม่ลงมือกับจวงหมิงหานและพวกเขาหรอกนะ พวกเขาเป็นทายาทของตระกูลนักล่าผีดิบ ปีนั้น..."

"ผมรู้!" เสิ่นอี้ตัดบทคำพูดของหยางปิน ไม่ให้เขาพูดต่อ หลังจากนั้นครู่หนึ่งจึงพูดออกมาอย่างจนปัญญาเล็กน้อยว่า "คุณก็รู้ ทีแรกที่ผมตอบตกลงที่จะหากระจกฟ้าดินให้เขา ไม่ใช่เพราะว่าอยากปล่อยเขาออกมา ตอนนี้กลับตาลปัด อาวุธวิเศษทั้งสี่ชิ้นรวมเข้าด้วยกันแล้ว กลายเป็นความยุ่งยากไปเสียแล้ว สิ่งสำคัญคือเฝิ่งเยี่ยนฮวายและคนอื่นๆ ก็ไม่มีประโยชน์เอาเสียเลย จะพึ่งทักษะอันน้อยนิดของพวกเขาน่ะเหรอ ขนาดผีดิบปกติยังสามารถจัดการอีกฝ่ายได้ เหมือนกับสถานการณ์ในครั้งนั้น ก็ยากเหลือทน จวงหมิงหานก็ยิ่งแล้วใหญ่ คนจากสี่ตระกูลใหญ่ไม่รู้วิชาเช่นนี้ ไม่รู้ว่าโชคดีหรือว่าโชคร้ายกันแน่..." 

ขณะที่พูด เสิ่นอี้ก็อดที่จะส่ายหน้าไม่ได้ "ถึงเวลานั้นค่อยพูดกันอีกที"

หยางปินพูดอย่างเป็นห่วงเล็กน้อย "นายท่าน เรื่องนี้ จะปิดไปอีกนานเท่าไหร่"

"ผมรู้" เสิ่นอี้กล่าวเสียงเรียบ "ถึงยังไง พวกเขาก็จะไม่ลงมือในเร็ววันนี้หรอก คงอยากให้มั่นใจเต็มร้อยว่าจะไม่มีวันพลาด แล้วถึงจะชิงเอาอาวุธวิเศษทั้งสี่อย่างนั้นมา คาดว่าคงจะลงมือตอนที่เฝิ่งเยี่ยนฮวายและคนอื่นๆ ไปเพิ่มพลังของผนึกอย่างแน่นอน และอีกอย่างตอนนี้ก็แค่พึ่งพวกเขาเหล่านั้น ก็เลยทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อพวกเขายังคงต้องพึ่งพาเทียนเหิงกรุ๊ปอยู่"

"นายท่าน..." หยางปินพูดอย่างไม่วางใจเล็กน้อยว่า "นายท่าน พวกคุณสืบเรื่องของเทียนเหิงกรุ๊ปมาโดยตลอด ไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนหรอว่าจะต่อสู้กับพวกเขา พวกคุณเคยมีเรื่องกันแล้วครั้งหนึ่ง พวกเขาถึงได้ไม่เชื่อใจคุณอยู่ก่อนแล้ว"

เสิ่นอี้ฉีกยิ้มอย่างไม่สนใจเลยสักนิด "ช่างมันสิ"

เดิมทีเขาเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว อีกอย่างคนพวกนั้น สำหรับเขาแล้วก็ยังไม่ถือว่าเป็นภัยคุกคามใดๆ 

คิดถึงตรงนี้ เสิ่นอี้พูดอีกครั้งว่า "ทีแรกที่ผมตอบตกลงว่าจะช่วยพวกเขาทำเรื่องนี่ ทั้งหมดเป็นเพราะไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณคนอื่น แล้วตัวผมเองก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขา ถึงยังไงผมก็ไม่สนใจความเห็นของพวกเขาอยู่แล้ว"

เสิ่นอี้เดินไปที่ข้างหน้าต่าง มองความมืดยามราตรีข้างนอก แล้วค่อยๆ พูดว่า "พรุ่งนี้ คาดว่าฝนคงจะตกหนัก"

"ใช่ครับ" หยางปินเองก็พูดว่า "ช่วงนี้อากาศไม่ค่อยดี ฝนตกหนักตลอดทั้งวันเลย" 

"ดูแล้ว คงอีกไม่นานหรอก" เสิ่นอี้พูดว่า "เรื่องของเทียนเหิงกรุ๊ป ยังต้องสืบต่อไป ต้องสืบให้ชัดเจน จุดประสงค์ของคนพวกนี้คงไม่ง่ายเลย ห้ามละเลย ส่วนเรื่องของพวกจวงหมิงหานทางด้านนี้...ผมจะลองคิดดูว่าจะต้องทำอย่างไร"

เสิ่นอี้กลับมาถึงหอพัก เย่หนิงยังหลับสนิท แทบไม่รู้เลยว่าเสิ่นอี้เคยออกไปข้างนอก เสิ่นอี้ลูบแก้มเล็กๆแดงๆ ของเธอนั้นอย่างแผ่วเบา เย่หนิงขดตัวเข้าไปในผ้าห่ม พลิกตัวแล้วนอนหลับต่อ

เสิ่นอี้รู้สึกจนปัญญาเล็กน้อย เขาฉีกยิ้มเล็กน้อย แล้วอดถอยหายใจออกมาเบาๆ ไม่ได้ ถ้าตลอดมาเย่หนิงไม่รู้เรื่องพวกนี้ ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ คงจะดีมากๆ ถ้าไม่ใช่เพราะวันนั้นที่หมู่บ้านว่างยาชุนเจอกับเฝิ่งเยี่ยนฮวาย เย่หนิงจะไปรู้ตัวตนที่แท้จริงของตนเองได้อย่างไร ตอนนี้ยังดี ที่เธอยังอยากพยายามเป็นนักล่าผีดิบที่มีคุณสมบัติเหมาะสม 

หรือว่านี่จะเป็นโชคชะตาที่มิอาจหลบหนีได้จริงๆ 

แต่หลังจากที่จัดการเรื่องของราชาผีดิบได้แล้ว เธอก็คงไม่ต้องแบกภาระเหล่านี้อีก

ความจริงแล้วก็เหมือนขนมหวาน ที่อดทนรนไม่ไหว เขาไม่หวังให้เธอเข้าร่วมเรื่องพวกนี้จริงๆ เพียงแต่ มีเรื่องมากมาย ที่ต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาเองก็ไม่มีอำนาจที่จะหยุดยั้ง จนปัญญาจริงๆ 

ภายในความมืดเสิ่นอี้นั่งอยู่ข้างหน้าต่าง

พอเห็นว่าฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว จึงไปทำอาหาร คิดๆ ดูแล้วชีวิตแบบนี้ก็ไม่เลวนัก แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าจะอยู่ได้นานขนาดไหน เกรงว่า ไม่นานก็คงจะสิ้นสุดลงเสียแล้ว 

ตอนที่เย่หนิงตื่นขึ้นมา เสิ่นอี้ทำอาหารเสร็จแล้ว เขาไม่กิน แต่กำลังพลิกหนังสือในกล่องขนาดใหญ่นั้นอย่างเบื่อหน่าย 

"ดูอะไรเหรอคะ" เย่หนิงเดินเข้ามาหา "เอ่อ กายวิภาคศาสตร์ คุณสนใจด้วยหรอ" 

"ดูแก้เบื่อน่ะครับ" เสิ่นอี้ปิดหนังสือ แล้วพูดว่า "อาหารเช้าเสร็จแล้ว รีบไปกินเถอะ เดี๋ยวอาหารทั้งโต๊ะจะเย็นเสียก่อน" 

“วันนี้พวกเราต้องไปถามคำถามกับเซียะยุ่นผิง" ภายในใจของเย่หนิงกำลังคิดถึงเรื่องนี้

"ใช่ครับ คดีที่บาร์ฮวางเจียก็ปิดได้แล้ว หลังจากนี้คงต้องเป็นหน้าที่ของหยางปิน ตอนนี้ที่พวกเราทำได้ คือรีบหาค้นที่สมคบคิดกับเทียนเหิงกรุ๊ป แต่ก็ไม่รู้หรอกว่าเซียะยุ่นผิงจะรู้ข้อมูลที่มีค่ามากน้อยขนาดไหน"

"อืม..." เย่หนิงเองก็รู้สึกค่อนข้างเป็นกังวลกับปัญหานี้ด้วยเช่นกัน 

เซียะยุ่นผิงเป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง เดิมทีก็ไม่ใช่คนสำคัญอะไร สำหรับเขา จะถามข้อมูลสำคัญได้มากน้อยขนาดไหนกันเชียว สำหรับสถานการณ์ภายในของเทียนเหิงกรุ๊ป คาดว่าเขาเองก็คงรู้ไม่มากนัก