webnovel

ตอนที่ 235

ตอนที่ 235 ชีวิตย่อมเป็นไปตามลิขิต

เสิ่นอี้พอใจมาก "ไม่เลว ไม่เลวเลย! ควรจะต้องเป็นอย่างนี้ตั้งนานแล้ว!"

จวงหมิงหานหมดคำพูด "นายเนี่ยนะ ไม่เคยเกรงใจเลยจริงๆ!" 

เสิ่นอี้หุบยิ้ม "สนิทกับนายขนาดนี้ ยังมีอะไรที่ต้องเกรงใจอีก นายว่าไหมล่ะ" 

"ไป ไป ไปได้แล้ว!" จวงหมิงหานรังเกียจและไม่สนใจใยดีเป็นอย่างมาก "พวกคุณมาปล้นผม ปล้นเสร็จแล้ว ยังไม่ไปอีกหรอ! ฉันอยากนอนโว้ย!" 

เสิ่นอี้อดยิ้มไม่ได้ "ได้ งั้นพวกนายไปพักกันก่อนเถอะ พวกเราจะกลับไปเช็คดู ถ้ามีอะไรขาด อีกเดี๋ยวจะมาบอกนายอีกแล้วกัน"

จวงหมิงหานโกรธหน้าดำ "มีแฟนแบบนายเนี่ยนะ ได้ ยังไม่ไปอีก! รีบไปสิ พวกนายไม่ได้บอกหรอว่ากำลังยุ่งอยู่! ยังไม่รีบออกไปอีก! อีกอย่างนะ เหอะ ฉันยังมีการทดลองชิ้นใหญ่ที่ต้องทำอีก ไม่มีเวลามากมาเล่นกับพวกนายหรอกนะ" 

สองคนนี้ไม่ยอมไปง่ายๆ จวงหมิงหานถอนหายใจ "คุณนักปล้นระดมทั้งสอง ไปกันได้แล้วโว้ย" 

เหลียงเซิ้งอดยิ้มไม่ได้ 

เฝิ่งเยี่ยนฮวายกลับพูดอย่างเป็นกังวลเล็กน้อยว่า "จวงหมิงหาน คุณเองก็เชื่อเสิ่นอี้คนนั้นขนาดนี้เลยหรอ เขาเป็นถึงผีดิบพันปี ทั้งยังเป็นหนึ่งในขุนศึกที่อยู่ข้างกายราชาผีดิบ ตอนนี้พวกเราทำอะไร เขาก็รู้หมด ผมจะบอกว่าถ้า...ก็แค่ถ้าเขาทรยศ เช่นนั้นพวกเราก็อาจจะแย่เข้าจริงๆ” 

หลังจากที่เงียบไปสักพัก จวงหมิงหานจึงพูดว่า "เขาไม่ทำหรอก ถ้าเขาจะทำอย่างนี้จริงๆ ก็คงจะลงมือไปตั้งนานแล้ว เขามีโอกาสมากมายที่จะจัดการกับพวกเรา แล้วทำไมตลอดมาถึงไม่ยอมลงมือล่ะ ยิ่งไปกว่านั้น ก็เหมือนกับที่ผมพูดก่อนหน้านั้น ภายในกลุ่มของผีดิบก็มีคนมากมายที่ไม่หวังให้ราชาผีดิบคนนั้นถูกปล่อยออกมา ราชาผีดิบสำหรับผีดิบทุกตนแล้ว พวกเขาจะต้องถูกกดขี่ พอราชาผีดิบถูกปล่อยออกมา พวกเขาต้องถูกบังคับอย่างแน่นอน นี่เป็นผลลัพธ์ที่คนส่วนมากไม่อยากเห็น งั้นถ้าปล่อยให้มีอิสระก็คงไม่ดีเท่าไหร่หรอก ทำไมพวกเขาต้องให้คนอื่นมาควบคุมบงการด้วยล่ะ"

"ไม่ใช่ว่าดีกว่าสุดงั้นหรอ" เฝิ่งเยี่ยนฮวายส่ายหน้า "มีระเบิดเวลาอยู่ข้างกายขนาดนี้ ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจเลยสักนิดเดียว มักกลัวเสมอว่าเขาจะทำอะไรไม่ดีกับพวกเรา ถึงยังไงเรื่องของราชาผีดิบก็หนักหนามาก ประมาทเล็กน้อย ทั่วทั้งเมืองตงไห่จะต้องตกอยู่ในอันตราย เอาจริงๆ แล้วผมเองก็ไม่อยากเสี่ยงเลยด้วยซ้ำ"

จวงหมิงหานส่ายหน้า "ถ้าเขาจะทำอย่างนั้นจริง ถึงพวกเราอยากจะห้ามก็คงจะห้ามไม่ได้ และอีกอย่างตอนนี้ก็ไม่รู้ว่ามีคนจำนวนเท่าไหร่ที่กำลังตามพวกเราอย่างลับๆ เรื่องมาถึงตอนนี้ก็แค่ต้องเดินไปทีละก้าว ยิ่งไปกว่านั้นทุกคนต้องระมัดระวังมากๆ ด้วย!"

สีหน้าของเจิ้งขวนหมองคล้ำ พูดว่า "รอให้เย่หนิงได้ฝึกใช้อาวุธวิเศษจนคล่องมือ พวกเราก็จะสามารถเพิ่มพลังของผนึกนั้นได้!"

"หวังว่าจะเร็วหน่อย" ดวงตาของจวงหมิงหานปรากฏความวิตกกังวลมากๆ อย่างเห็นได้ชัด "ถ้ายืดยื้อต่อไปอาจจะมีสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้น"

จริงๆ แล้วถึงจวงหมิงหานจะไม่พูด เย่หนิงเองก็รู้ ถึงได้อยากรีบทำความคุ้นเคยกับอาวุธวิเศษ แต่เธอเพิ่งได้สัมผัสกับของพวกนี้ จึงยังไม่ค่อยเข้าใจจริงๆ รู้สึกได้ว่าเรียนแค่คืนเดียว นั่นคือทั้งหมดที่ฉันรู้ แต่แค่นี้ยังไม่มากพอ ยกตัวอย่างตอนนี้ที่เธอใช้เหรียญทองแดงวางเป็นตราหยินหยาง ขนาดตอนนำมาวางยังวางเอาไว้ไม่ดีนัก ตำแหน่งนี้ต้องใช้ความพิถีพิถันเป็นอย่างมาก คลาดเคลื่อนหรือผิดนิดเดียว กลไกของมันก็จะไม่ทำงาน

"ยากจริงๆ เลย" เย่หนิงลองอยู่หลายครั้ง ทว่ายังรู้สึกว่าวางไม่ถูกสักที 

"อย่ารีบร้อนครับ ค่อยๆ ทำ" เสิ่นอี้ลูกเส้นผมของเธอ แล้วพูดปลอบใจว่า "คุณเพิ่งเริ่มเรียน แน่นอนว่าไม่สามารถหาได้เร็วขนาดนั้นหรอก ช้าๆ ไม่ต้องรีบ ฝึกมากๆ เข้าก็คงจะทำได้ พอแล้วครับ ดึกแล้ว รีบพักเสียหน่อยเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องไปทำงานอีก คุณคิดว่าคุณเหมือนผมหรือไง ที่ไม่ต้องนอนก็ได้"

เย่หนิงถอนหายใจ "ไม่มีความยุติธรรมเลย ถึงยังไงคุณก็มีชีวิตมานนมขนาดนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าขนาดจะนอนก็ไม่ต้องนอน ทั้งยังมีเวลามากกว่าคนปกติเสียอีก นี่มันไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ! ฝืนชะตาฟ้าลิขิต ไหงถึงได้ไม่มีคนสนใจเลยนะ"

เสิ่นอี้รู้สึกตลก "ทำไมถึงไม่มี คุณไม่ใช่หรือไง ตอนนี้คุณกำลังสนใจอยู่ไงล่ะ แต่..." เสิ่นอี้พูดเพียงครึ่งเดียว แล้วยกตัวของเย่หนิงขึ้น อุ้มขึ้นไปไว้บนเตียง ฉีกยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วพูดว่า "ดึกมากแล้ว คุณก็เลิกวุ่นได้แล้วครับ รีบนอนพักเสียหน่อยเถอะ ถ้าคุณไม่ฟังนะ ผมจะไม่ทำอาหารเช้าให้คุณกินนะ"

"เกินไปแล้วนะ ชอบขู่คนอื่น......" เย่หนิงรู้สึกขุ่นเคืองใจ แต่ความจริงแล้วเธอกำลังง่วง พอเสิ่นอี้กอด ไม่นานก็หลับลง  

กระจกฟ้าดินงั้นเหรอ...

เสิ่นอี้ลูบเส้นผมของเย่หนิงเบาๆ ในใจแอบคิดเงียบๆ ว่า ' กระจกฟ้าดินนั่นก็หาเจอแล้ว คนพวกนั้นแอบตามพวกเขาเงียบๆ มาโดยตลอด คาดว่าอีกไม่นานหรอกคงจะทราบข่าว แค่ไม่รู้ว่า แผนต่อไปสำหรับคนพวกนั้นคืออะไร’ 

ความจริงแล้วอาจจะรอตอนที่เย่หนิงและพวกเพิ่มพลังของผนึกถึงจะลงมือ

เวลายิ่งอยู่ก็ยิ่งกระชั้นชิด

งั้นเขาล่ะ เขาจะต้องลงมือเมื่อไหร่ 

ถ้าผนึกถูกเพิ่มพลัง ต้องไม่มีทางช่วยคนที่อยู่ข้างในนั้นออกมาได้อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตามตามสถานการณ์ในปัจจุบัน เมื่อถึงเวลาคนที่จะลงมือ ก็มีไม่น้อยเลยจริงๆ 

เพียงแค่หลังจากจัดการสิ่งต่างๆ เสร็จสิ้นแล้วจะเป็นยังไงต่อไป

เสิ่นอี้รู้สึกอารมณ์เสียเล็กน้อย เรื่องนี้ มันขัดกับความตั้งใจของเขา ถ้าไม่ใช่เพราะสถานการณ์ในปีนั้น เขาคงไม่อยากยื่นมือเข้าไปแทรกแซงเรื่องนี้หรอก ทว่าตอนนี้เขากลับลังเลสงสัย ถึงแม้ว่าสำหรับเขาแล้ว เพื่อที่จะให้งานสำเร็จ คงไม่ลำบากนัก แต่ถ้าเขาต้องทำเช่นนี้จริงๆ คงไม่ต้องคำนึงถึงผลลัพธ์เลยล่ะ 

เขารู้ว่าราชาผีดิบตนนั้นเก่งกาจมาก! 

ถ้าปล่อยราชาผีดิบออกมาจริงๆ เมื่อถึงเวลา ไม่เพียงแค่เมืองตงไห่ ภัยพิบัติและสงคราม จะแผ่ขยายไปทั่ว แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าจะมีผู้บริสุทธิ์ล้มตายอีกจำนวนเท่าไหร่

ทีแรกเขายังคิดอยู่เลยว่าคนของสี่ตระกูลใหญ่จะไม่สามารถรวมอยู่ด้วยกันได้ อาวุธวิเศษก็ขาดของตระกูลถังไปหนึ่งชิ้น หมดหนทางเพิ่มพลังของผนึก ทุกอย่างเป็นไปอย่างสมเหตุสมผล ไม่ว่าจะมีกระจกฟ้าดินหรือไม่ ผนึกก็หมดหนทางจะเพิ่มพลังแล้ว แล้วก็ไม่สามารถทำลายมันได้ เมื่อถึงวันสุริยุปราคาวันนั้น ที่สุดแล้วราชาผีดิบจะทำลายผนึกออกมา หลบหนีออกมาจากความมืดได้หรือไม่ได้นั้น ก็ขึ้นอยู่กับมติของสวรรค์แล้ว

แต่ตอนนี้ เรื่องต่างๆ ก็แปรเปลี่ยนเป็นยากยิ่งขึ้น คนของทั้งสี่ตระกูลใหญ่มารวมตัวกัน อาวุธวิเศษก็หาเจอทั้งหมด พวกเขาจะไปเพิ่มพลังของผนึก ช้าเร็วยังไง ก็ก้าวไปอีกขั้นแล้วจริงๆ ได้โปรดอย่าบีบบังคับให้พวกเขาต้องลงมือเลย

เอากระจกฟ้าดินไปเลย หรือว่าจะรอให้ถึงวันนั้นแล้วค่อยลงมือ

ทีแรกตอนที่เขาตกลงว่าจะไปช่วยตามหากระจกฟ้าดิน คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าจะยากลำบากขนาดนี้

เดิมทีแล้วตามความหมายของคนอื่นๆ คือตามฆ่าผู้สืบทอดของทุกตระกูล แต่ทว่าเขา ไม่เห็นด้วยอย่างมาก

นักล่าจากสี่ตระกูลใหญ่ ได้รับการถ่ายทอดมาหลายปีขนาดนี้ คงไม่ง่ายอย่างที่พวกเขาคิดขนาดนั้นหรอก และอีกอย่างฆ่าคนมากมายขนาดนั้น ต้องเกิดความครึกโครมมากแน่ๆ เช่นนี้แล้วจะไม่ทำให้เกิดความยุ่งยากหรือไง

ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าลงมือฆ่าคนของตระกูลนักล่าผีดิบ แล้วหากระจกฟ้าดินไม่เจอก็คงหมดหนทางจะทำลายผนึก สุดท้ายแล้วก็คงจะสูญเปล่า

ดังนั้นเขาจึงบอกว่าเขาจะคิดวิธีหากระจกฟ้าดินเอง แล้วคนอื่นก็ห้ามชิงลงมือก่อนด้วย