webnovel

ตอนที่ 199

ตอนที่ 199 ราชาผีดิบคนใหม่

ถ้ามีวันนั้นจริงๆ งั้นเหรอ

เสิ่นอี้ไม่เข้าใจ "อะไรครับ" 

เย่หนิงจึงพูดว่า "ฉันบอกว่า...ถ้ามีวันนั้นจริงๆ...ที่ผีดิบ และมนุษย์เริ่มเปิดศึกอีกครั้ง คุณจะทำยังไง"

เสิ่นอี้มองเย่หนิง แล้วถามว่า "คุณกลัวเหรอ เสี่ยวหนิง" 

เย่หนิงพยักหน้าอย่างช้าๆ "ฉันก็ไม่รู้...แต่ฉันหวังว่าคงจะไม่มีวันนั้น...แต่ แต่ถ้า ถ้าผนึกถูกทำลายจริงๆ ถ้าพวกเขาช่วยราชาผีดิบออกมาได้จริงๆ ราชาผีดิบต้องกลับมาได้อย่างแน่นอน เขาต้องไม่ตายใจ แล้วต้องเริ่มก่อสงครามอีกครั้งแน่ๆ"

"ไม่หรอกครับ” เสิ่นอี้กำมือของเย่หนิงแน่น แล้วพูดเสียงต่ำอย่างปลอบใจว่า "เสี่ยวหนิง ไม่มีสงครามอีกแล้ว"

"ฉันรู้ค่ะ...แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ..." เย่หนิงถามเสิ่นอี้ "แล้วคุณจะทำยังไงคะ"

เสิ่นอี้โอบร่างของเย่หนิงเข้ามาในอ้อมกอด แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า "ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมจะพาคุณหนี พวกเราจะหนีไปที่ๆ ไกลแสนไกล ดีไหม ถึงแม้พวกเขาจะก่อสงครามอะไรขึ้น ใครแพ้ใครชนะ ใครช่วงชิงได้โลกใบนี้ แล้วจะเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเราล่ะ ยิ่งไปกว่านั้นโลกใบนี้ออกจะใหญ่ พวกเราจะไปที่ไหนไม่ได้ล่ะ คุณว่าไหม"

ภายในใจของเย่หนิงรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย ‘ใช่ โลกออกตั้งใหญ่ พวกเราจะไปไหนไม่ได้ล่ะ! ทำไมพวกเราจะต้องไปเกี่ยวพันกับสงครามเหล่านั้นด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเธอไม่ใช่นักล่าผีดิบที่มีความสามารถอยู่แล้ว ไม่มีอุดมการณ์สูงส่งและเจตจำนง เธอเป็นแค่คนธรรมดา แค่อยากอยู่กับคนที่ตนเองชอบ ผ่านวันน้อยๆ ของพวกเขาไปอย่างสงบสุขเท่านั้นเอง’ 

ผีดิบ หรือว่านักล่าผีดิบ 

พวกเขาจะสู้อย่างไร เธอเองก็ไม่อยากไปยุ่งหรอก 

"พอแล้วครับ อย่าคิดมากไปเลย" เสิ่นอี้ลูบผมของเย่หนิง ฉีกยิ้มแล้วพูดว่า "เรื่องของโลก ใส่ใจไปทำไมกัน ตอนนี้คิดเยอะไปก็ไม่มีประโยชน์ ถึงวันนั้นแล้วหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ค่อยว่าแล้วกัน บางทีอาจไม่ต้องก็ได้ บางทีราชาผีดิบอาจจะตายไปแล้ว เขาหลับมาตั้งนานขนาดนี้ ไม่ได้ดูดพลังปราณชีวิตของคนเป็น ต้องตายไปก่อนแล้วแน่นอน คุณว่าไหมล่ะ ไม่รู้ว่าพวกเฝิ่งเยี่ยนฮวายเป็นห่วงอะไร" 

คาดไม่ถึงว่าเสิ่นอี้ยังเอาคำพูดเมื่อครู่ของเฝิ่งเยี่ยนฮวายกลับมาโจมตีเฝิ่งเยี่ยนฮวาย เย่หนิงหัวเราะ "ใช่ๆๆ ผู้อาวุโสพูดได้ถูกต้องเลย! ราชาผีดิบหลับใหลไปนานขนาดนี้ คงจะหิวตายแล้วกลายเป็นผีดิบตากแห้งไปตั้งนานแล้วล่ะ ไม่รู้จริงๆ ว่าพวกเขาจะเป็นห่วงอะไรกันอีก"

"นั่นก็ใช่...เอาแต่เป็นห่วงราชาผีดิบตนนั้น ไหงไม่กังวลเรื่องราชาผีดิบตนใหม่หน่อยล่ะ" เสิ่นอี้พูด

"ราชาผีดิบตนใหม่งั้นเหรอ" เย่หนิงคิดว่าเสิ่นอี้จะพูดอะไรตลกกับเธออีก

"ใช่ครับ ราชาผีดิบตนใหม่" คิดไม่ถึงว่าเสิ่นอี้จะพูดอย่างจริงจังมากๆ ว่า "ฉินเฉาฮุ้ย ไม่ใช่เหรอ"

"เขา" เย่หนิงเงียบไป

"เขาไงครับ" เสิ่นอี้พูด "เขาพยายามสร้างผีดิบสายพันธุ์ใหม่มาโดยตลอด ยังมีแผนจะสร้างกองทัพผีดิบอีก ไม่ใช่ราชาผีดิบตนใหม่งั้นเหรอ"

เย่หนิงประหลาดใจไม่น้อย "เสิ่นอี้ คุณอย่ามาล้อเล่นสิ เขาอยากสร้างกองทัพผีดิบจริงๆ งั้นเหรอ"

"ผมพูดตลกอะไร ในสุสานมีผีดิบกี่ตัว พวกคุณมองไม่เห็นเลยงั้นเหรอ ทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่คนสร้างขึ้นมา ต้องใช้ยาจึงจะสร้างผีดิบออกมาได้ มันก็เหมือนกับกองทัพผีดิบนั่นแหละ ถ้าเขาใช้ยาชนิดนั้นผลิตมากต่อไปขึ้น ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป ไม่ใช่ว่าผีดิบที่ถูกสร้างขึ้นจะยิ่งอยู่ยิ่งมากขึ้นงั้นเหรอ"

"ว่างยาชุน สุสาน นี่เป็นเพียงสิ่งที่พวกเราตรวจสอบ แล้วที่พวกเราไม่ได้ตรวจสอบล่ะ ด้วยความแข็งแกร่งทางการเงินของเทียนเหิงกรุ๊ป ถึงแม้พวกเขาคิดอยากสร้างกองทัพผีดิบเป็นพันเป็นหมื่นตนก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร ถ้าพวกเขานำยาไปวางขายตามตลาด คุณว่าจะมีผลลัพธ์อย่างไรล่ะ"

เย่หนิกตกตะลึงไปสักพัก แล้วจึงถามว่า "พวกเขา ทำไมพวกเขาต้องทำเช่นนี้ด้วย" 

"ใครจะไปรู้" เสิ่นอี้กล่าวเสียงเรียบ "เทียนเหิงกรุ๊ปใช้ทรัพยากรทางการเงินจำนวนมาก วิจัยยาพวกนั้นออกมา วัตถุประสงค์มันไม่ได้ง่ายนัก เดิมทีสถานะตัวตนตอนนี้ของฉินเฉาฮุ้ย อยากหาเหตุผลไปตรวจสอบพวกเขาก็ไม่ง่ายเอามากๆ เลย แต่ตอนนี้ก็ดีแล้ว เจ้าหญิงของบาร์ถูกทำร้าย ถึงแม้ว่าฆาตกรจะไม่ใช่เขา แต่พวกเราจะต้องใช้โอกาสนี้ตรวจสอบเขา"

เย่หนิงแปลกใจเล็กน้อยแล้วพูดว่า "เสิ่นอี้ คุณบอกว่าก่อนหน้านี้เซียะยุ่นผิง ไม่ใช่ว่าที่เขาพาฉันไปสุสาน จะรู้อยู่แล้วนะว่าข้างในนั้นมีผีดิบ เขาคงไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับฉินเฉาฮุ้ยหรอกใช่ไหม"

"คุณว่างั้นเหรอ" เสิ่นอี้ถามกลับไป

เย่หนิงครุ่นคิด แล้วพูดว่า "ฉันคิดเสมอว่าเซียะยุ่นผิงคนนั้นมีอะไรน่าสงสัย เขาต้องมีความเกี่ยวข้องอะไรกับฉินเฉาฮุ้ยอย่างแน่นอนเลย"

"ใช่ครับ!" เสิ่นอี้พยักหน้า "ไม่อย่างนั้นพึ่งแค่ตัวเซียะยุ่นผิง อยากเข้าไปทำงานในศาลสูงคงยากเย็นแสนเข็ญ ถ้าพูดว่าดีเลิศ เขาก็ไม่ได้เป็นนักเรียนที่ดีเลิศถึงขนาดทำให้หัวหน้ามาสนใจ ดังนั้นผมเลยสงสัยมาโดยตลอด มีคนช่วยวางแผนให้เขาเข้าไป จุดประสงค์ก็ง่ายมาก เพราะมีสิ่งที่ต้องการไงล่ะครับ!"

"เซียะยุ่นผิงเข้าไปทำงานในศาลสูง อาศัยสภาพแวดล้อมของการทำงานก็จะสามารถตรวจสอบข้อมูลของคดีเมื่อหนึ่งปีก่อนได้อย่างง่ายดายแล้ว อีกฝ่ายให้โอกาสเขา ทำให้เขาได้ช่วยอู๋เหวินคัง และใช้ประโยชน์จากงานของเขา ช่วยอีกฝ่ายทำบางสิ่ง" 

เย่หนิงพูดกระซิบว่า "ดูแล้วน่าจะเป็นอย่างนี้จริงๆ ถ้าเขาเข้าไปทำบางสิ่งให้ฉินเฉาฮุ้ยจริงๆ ล่ะ..." 

"ในมือของเขามีหลักฐานอยู่บ้าง หรือว่าสามารถช่วยพวกเราเป็นพยานบุคคลได้! เพียงแต่..." เสิ่นอี้กล่าวเหตุผล "ถ้าอยากทำให้เซียะยุ่นผิงเปิดปากก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น อย่างน้อยที่สุดก็ต้องทำให้เขาได้รับผลประโยชน์มากพอ!"

"อา!" เย่หนิงหมดคำพูด "ยังอยากให้เขาได้รับผลประโยชน์อะไรอีกล่ะ"

เสิ่นอี้ฉีกยิ้ม “ผลประโยชน์ แค่ได้หน้าเท่านั้นเอง ความหมายที่ผมจะบอกคือ ตอนนี้สำหรับเซียะยุ่นผิงแล้ว เรื่องที่ต้องมุ่งความสนใจไปให้มากที่สุดคืออะไร เขาสนใจความเป็นความตายของตนเองงั้นหรือ หรือว่าสนใจความเป็นความตายของคนอื่น ไม่ใช่! ถึงแม้ว่าการจะทำให้ฉินเฉาฮุ้ยสารภาพผิดจะไม่ใช่เรื่องที่ยากลำบากอะไร เพราะเขาและฉินเฉาฮุ้ยมีผลประโยชน์ร่วมกัน โดยที่ไม่มีความรู้สึกเจือปนอยู่ข้างในนั้น การหาผลประโยชน์ร่วมกันเช่นนี้ เป็นการง่ายที่จะหาช่องโหว่! เพียงแค่พวกเราต้องหาหน่อยเท่านั้นเอง”

"อย่างนั้นสำหรับเซียะยุ่นผิงแล้ว เขาสนใจเรื่องอะไรมากที่สุดล่ะ สิ่งที่ทำให้เขาสามารถยอมแพ้ได้ทุกอย่าง มีเรื่องอะไรที่ทำให้เขาทรยศต่อทุกคนได้ มีเรื่องอะไรที่ทำให้ขนาดชีวิตของตนเองยังไม่สนใจ"

เย่หนิงเข้าใจขึ้นมาโดยทันที "อู๋เหวินคังไงล่ะ!"

“ไม่เลวครับ! นั้นก็คืออู๋เหวินคัง" เสิ่นอี้พูด "ถ้ามีเงื่อนไขอะไรที่สามารถพูดกับเซียะยุ่นผิงได้ นั่นก็คงเป็นการพลิกคดีของอู๋หวินคังนั่นเอง เขาทำบางสิ่งให้ฉินเฉาฮุ้ย ไม่ใช่เพื่อพลิกคดีของอู๋เหวินคังงั้นเหรอ"

หนิงถาม "ดังนั้น นี่คือเงื่อนไขงั้นเหรอ" 

"ใช่ แลกเปลี่ยนเงื่อนไข! พวกเราต้องคิดหาวิธีช่วยพลิกคดีของอู๋เหวินคัง ทำให้เซียะยุ่นผิงกลายเป็นพยานบุคคลของพวกเรา"

เย่หนิงพูดขึ้นทันทีว่า "งั้นพวกเรารีบกลับไปพูดเรื่องนี้กับเซียะยุ่นผิงเถอะ"

"ไม่ต้องรีบ ยังไงก็ต้องกลับไปเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้อยู่แล้ว แต่พวกเราต้องไปที่หนึ่งก่อน"

"ที่ไหนคะ" เย่หนิงไม่เข้าใจ