ตอนที่ 167 มีความรู้สึกไหม
" งั้นคืนนั้นที่ห้องชันสูตร ทำไมจู่ๆ คุณถึงหายตัวไปล่ะคะ" เย่หนิงยังวกไปเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่ผ่านมานานมากแล้ว
เสิ่นอี้ฉีกยิ้มแล้วพูดว่า " ผมกระโดดออกไปทางหน้าต่าง!"
"ห๋า! สูงขนาดนั้น คุณกระโดดออกมาจากหน้าต่างงั้นเหรอ" เย่หนิงคิดว่านี่้เกินกว่าจะจินตนาการได้
" ถูกต้องครับ! แปลกตรงไหน ผมเป็นผีดิบนะ ไม่แก่ไม่ตาย จะต้องกลัวอะไรอีก!" ใบหน้าของเสิ่นอี้เรียบนิ่ง
เย่หนิง
คนคนคนนี้เป็นอะไรกันนะ! เปิดปากต้องเป็นอันพูดว่า " ผมเป็นผีดิบ" รู้สึกว่าตัวเองเป็นผีดิบบ้างไหมนะ
แต่เห็นได้ชัดๆ ว่าไม่เลย
เย่หนิงยังค่อนข้างอารมณ์เสีย จึงพูดต่อว่า " งั้น.. งั้นหลังจากนั้นทำไมกล้องวงจรปิดถึงถ่ายไม่ติดคุณล่ะ"
" สะกดจิต" รอยยิ้มของเสิ่นอี้เจ้าเล่ห์ ผมสะกดจิตเป็น คุณลืมไปแล้วเหรอ!"
" สะกดจิตงั้นเหรอ" เย่หนิงตกตะลึง
" ใช่ครับ! สะกดจิต! ก็ยกตัวอย่างเช่น ทำให้ลู่เว่ยลืมเรื่องนี้ หรือทำให้พวกคุณเห็นภาพลวงที่ผมอยากให้พวกคุณเห็นจากกล้องวงจรปิด และก็ไม่ใช่ภาพที่เป็นความจริงด้วย"
เย่หนิงรู้สึกอยากจะเป็นลม " ทำได้ทั้งหมดเลยเหรอ คุณทำได้ ผีดิบเก่งกาจขนาดนี้ มิน่าล่ะคนพวกนั้นถึงพยายามเปลี่ยนตนเองเป็นผีดิบ"
เสิ่นอี้ไม่รู้จะร้องไห้หรือจะขำดี " พวกเขาไม่ได้อยากเป็นผีดิบ แค่อยากเป็นอมตะเท่านั้น!"
"แตกต่างกันตรงไหน" เย่หนิงไม่เข้าใจ
"แตกต่างสิครับ" เสิ่นอี้กล่าวเสียงเรียบ " ผีดิบ หัวใจไม่เต้น ไม่มีอุณหภูมิร่างกาย แล้วก็ไม่มีลมหายใจ"
เย่หนิงตกตะลึง มองเสิ่นอี้อย่างประหลาดใจ
ผีดิบเกิดขึ้นหลังจากที่มนุษย์ตายไปแล้ว จึงเปลี่ยนเป็นผีดิบ
ดังนั้น ในสายตาของเธอ คือคนที่ตายไปแล้ว
เธอกำลังคุยกับคนที่ตายแล้วงั้นเหรอ
คนตายพูดได้ด้วยเหรอ
เหมือนกันผีดิบในโทรทัศน์ ก็พูดไม่ได้ไม่ใช่เหรอ
ดังนั้นให้พูด เรื่องนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่แปลกมากๆ อยู่ดี
ถึงแม้ว่าเธอจะยอมรับความจริงนี้ได้นิดหน่อย แต่สิ่งนี้มันยากเกินกว่าที่จะจินตนาการได้ ถ้าไม่ใช่ก่อนหน้านี้ เจอกับผีดิบอะไรนั่นมาทั้งวัน ได้พูดคุยกับพวกนักล่าผีดิบ ถ้าจู่ๆ มีคนมาบอกเธอว่าตนเองเป็นผีดิบ เธอก็คงยังรับไม่ได้ ต้องรู้สึกว่าคนคนนั้นล้อเธอเล่นแน่นอน
" แต่ คุณก็เป็นชัดๆ" เย่หนิงพยายามคิดย้อนกลับไป เธอจำได้ ก่อนหน้านี้เคยจับมือเขา มือของเขา อุ่น
แล้วเธอก็จำได้ เธอเคยซบลงบนอกของเขา ได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นอย่างชัดเจน
นี่้เป็นเรื่องโกหกงั้นเหรอ
" ให้ผมพูด มันง่ายมากๆ " เสิ่นอี้ยิ้ม เอื้อมมือไปจับมือของเธอ
อุ่นแฮะ
มือของเขา อุ่นจังเลย
เย่หนิงมองเสิ่นอี้อย่างไม่เชื่อ พุ่งเข้าไป ซบที่อกของเขา แล้วตั้งใจฟัง
เธอได้ยิน เสียงหัวใจของเขา
ชัดเจนมากๆ
เย่หนิงไม่เข้าใจ เงยหน้าขึ้นมองเสิ่นอี้ " ง่ายมากๆ งั้นเหรอคะ"
" ถูกต้องครับ ผมสามารถควบคุมอุณหภูมิในร่างกายของตนเองกระทั่งลมหายใจ นั้นก็ง่ายมากๆ แกล้งทำเท่านั้น ใครจะทำไม่ได้กันล่ะ! แกล้งหายใจไม่ใช่เรื่องยาก แล้วก็ยังไม่ง่ายด้วย!"
" งั้น งั้น ผีดิบนั้นทำร้ายคุณใช่ไหม" เย่หนิงยังวกกลับมาถามคำถามเหล่านี้ " แต่บนแขนของคุณไม่มีบาดแผล"
" ใช่ครับ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าได้รับบาดเจ็บตอนไหน" เสิ่นอี้จับมีดปอกผลไม้ แล้วค่อยๆ แทงลงไปบนแขนของตนเองอย่างช้าๆ บาดแผลนั้น ลึกมากจริงๆ ทุกครั้งที่กดมีดลงไป เย่หนิงตกใจจนร่างสั่นเทา บาดแผลก่อนหน้านี้ หายไปแล้ว หลังจากที่เขาเอามีดออก บนแขน ก็ไม่หลงเหลือบาดแผลใดๆ ให้เห็นอีก
บาดแผลนี้ หายไวมากเลย
และอีกอย่างก็ไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้สักนิด เหมือนกับว่าไม่เคยมีบาดแผลมาก่อนเลยด้วยซ้ำ
" แล้วไม่เจ็บเหรอคะ" เย่หนิงเห็นแขนของเขาที่ไม่มีบาดแผลเลย ถึงได้ถามคำถามนี้
เสิ่นอี้เงียบอยู่นาน แล้วจึงพูดว่า " คุณคิดว่า คนตายรู้สึกเจ็บไหมล่ะครับ"
" แน่นอนว่าไม่!"
" งั้นธรรมชาติผีดิบก็ไม่เหมือนกัน"
“ดังนั้นแล้ว คุณไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ" เย่หนิงงุนงง คนตายไม่มีความรู้สึกอะไรเลยงั้นเหรอ ไม่กลัวหนาว ไม่กลัวหิว ไม่กลัวเจ็บ
เสิ่นอี้มองเย่หนิง สูดลมหายใจลึกแล้วฉีกยิ้ม " แน่นอนว่าไม่ครับ! ไม่ใช่ว่าทั้งหมดหรอกนะ แค่ส่วนใหญ่ไม่มีเท่านั้นเอง มีบางครั้งนะ ที่มี ก็เช่น"
พูดยังไม่ทันจบ ทันใดนั้นเขากลับนั่งลงบนโซฟาข้างเย่หนิง เย่หนิงยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เขาก็จูบมเธอ ทั้งยังมองอย่างอบอุ่น แต่กลับจูบอย่างร้อนแรงและลูบไล้ปลอบประโลมอย่างทะนุถนอม เย่หนิงตอบกลับอย่างอ่อนแรงว่า " อืม งั้นงั้น ก็คงไม่เจ็บ แล้วก็ไม่เหนื่อยใช่ไหม"
เธอคิดถึงเรื่องเมื่อคืนวานที่เสิ่นอี้โอบกอดเธออย่างรวดร้าว เป็นคนปกติ คงเหนื่อยจนยากจะเกินทน แต่สำหรับเสิ่นอี้แล้ว เหมือนกับว่ามีบางอย่างผิดปกติโดยสิ้นเชิง
เสิ่นอี้มองเธออย่างเป็นต่อ ฉีกยิ้มอย่างอ่อนโยน " เสี่ยวหนิง คุณอยากจะพูดอะไรครับ"
เย่หนิงงงงวย เธอจะบอกอะไรงั้นเหรอ เธอไม่มีอะไรจะบอกนี่นา!
หรือว่าคำพูดของเธอมีอะไรไม่ถูก
เย่หนิงยังคงสงสัย เสิ่นอี้ฉีกยิ้ม แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า " เสี่ยวหนิง คุณพูดไม่ผิดเลยสักนิด ไม่เหนื่อย พวกเราอยู่ได้หลายวันหลายคืน โดยที่ไม่เป็นอะไร!"
หลายวันหลายคืนเหรอ
อะไรที่เรียกว่าหลายวันหลายคืน
น่าสงสัยเหลือเกิน!
ที่เขาเพิ่งพูดไปน่ะ!
ดวงตาของเย่หนิงเบิกโต เธอตกใจ จนต้องรีบพูดออกมาให้ชัดเจน " ไม่ ไม่ ไม่ใช่นะ ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น"
เสิ่นอี้ฉีกยิ้มพลางพูดขึ้นว่า " เสี่ยวหนิง ผมรู้ว่าคุณอายมมก! อย่ากลัว ผมเข้าใจ! ผมรู้ว่าควรทำอย่างไร!"
" ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างงั้น!" เย่หนิงกล่าวค้าน ทว่าถึงค้านไปก็ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด เพราะเดิมทีแล้วเสิ่นอี้ไม่เคยให้โอกาสแก่เธอเลย ไม่เพียงไม่ให้โอกาสแก่เธอ ยังกล่าวอย่างหนักแน่นว่า " เสี่ยวหนิง คุณกินอิ่มแล้ว แต่ผมยังไม่ได้กินเลยนะ!"
อะไร อะไรกันน่ะ!
เย่หนิงอยากร้องไห้ " ผีดิบไม่ต้องกินอะไรไม่ใช่เหรอ"
" ไม่ต้อง แต่คนนี้ต้องกินครับ"
" ทำไมล่ะ"
" ตัวคุณค่อนข้างอร่อย ตัวนิ่มๆ หอมๆ นุ่มๆ"
เย่หนิงอยากร้องไห้ เหตุผลเช่นนี้ ทำไมทำให้คนที่ได้ฟังรู้สึกสิ้นหวังยังไงก็ไม่รู้สิ!
เหมือนตนเองถูกเปลี่ยนเป็นของอร่อยเลย เธอไม่อยากเป็นของอร่อยนะ
ใครจะมาช่วยเธอได้ล่ะ!
เย่หนิงขัดขืน เสิ่นอี้ทั้งหัวเราะและโน้มน้าว ไม่ต้องมีหน้ามาเอาของอร่อยมาล่อลวงเธอเลยนะ
สุดท้าย เย่หนิงก็เลิกขัดขืน เป็นเด็กดีให้ผีดิบชั่วร้ายได้เชยชม
หลังจากกินอิ่ม รู้สึกพอใจ เลยหันมาลูบผมเธอเล่นแทน
เย่หนิงมองเสิ่นอี้อย่างเสียดาย " ฉันก็อยากเล่นผมของคุณนะ"
เสิ่นอี้ " จงคลาย" เส้นผมสยายลงมา " มา ผมให้คุณเล่นได้"
เย่หนิงพอใจ " ผมยาวๆ แบบนี้สิถึงจะเล่นสนุก"
เสิ่นอี้
จู่ๆ เย่หนิงก็ได้สติ " เสิ่นอี้ คุณมาจากราชวงศ์ไหนเหรอคะ"
เสิ่นอี้นิ่งเงียบ