webnovel

ตอนที่ 166

ตอนที่ 166 ผีดิบกินคนไหม

" เสี่ยวหนิง!" เสิ่นอี้แปลกใจและตกใจเล็กน้อย เขารีบโอบร่างของเธอ เช็ดน้ำตาให้เธอแล้วพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า " คุณร้องไห้ทำไมครับ เด็กโง่!" 

" โกหก ใช่ไหม" เย่หนิงร้องไห้ไปพูดไป " คุณหลอกฉันอยู่ใช่ไหม คุณจะเป็นผีดิบได้ยังไง" 

เธอซุกเข้าไปในอ้อมกอดของเขา

ขณะที่เสิ่นอี้ถูกเธอกอด ภายในใจเขาก็รู้สึกไม่ดีเช่นกัน

" ขอโทษครับ เสี่ยวหนิง" เขาก้มศีรษะ จุมพิตลงบนเส้นผมของเธออย่างแผ่วเบา แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า " ผมก็ไม่ได้อยากจะหลอกคุณ" เพียงแต่ มีหลายอย่างที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ตัวอย่างเช่น รอจนถึงวันนั้น วันสุริยุปราคาที่ทำให้ผนึกอ่อนแรง

เพื่อวันนี้แล้ว เขายังไม่รู้ว่าต้องรอไปอีกนานแค่ไหน

น่าเสียดาย เรื่องเหล่านี้ เขายังอยากปิดบัง ไม่อยากบอกเธอจริงๆ 

" ขอโทษ เสี่ยวหนิง!" เขายังพูดประโยคนั้น

" คุณมันคนโกหก!" เย่หนิงลุกขึ้นยืนอย่างเดือดดาล จับที่แขนของเขา แล้วกัดเข้าอย่างแรง 

เขาไม่กะพริบตาเลยสักนิด 

เย่หนิงละความพยายาม ปล่อยมือของเขา หลังจากนั้นก็ต้องตกตะลึง บนแขนของเขา ผิวหนังกำลังซ่อมแซมตนเองอย่างรวดเร็ว

แค่กะพริบตา รอยฟันก็หายไปเสียแล้ว

เป็นไปได้ยังไง

เย่หนิงจับมือของเขา แล้วมองครั้งแล้วครั้งเล่า 

ผลกลับกลายเป็นว่าไม่มี

เธอไม่ยอมแพ้่ตายใจ คิดจะกัดอีกครั้ง เสิ่นอี้ยอมทุกอย่างแล้ว เขาพูดขึ้นว่า " ได้ครับ ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นหรอก!"

เขาหยิบมีดปอกผลไม้ที่อยู่ข้างๆ แล้วแทงเข้าที่แขนของตนเองอย่างไม่ลังเลเลยสักนิดเดียว! 

อีกอย่างไม่ได้แทงธรรมดา ยังออกแรงกดมีดลงไป จนเกือบจะทะลุ!

เย่หนิงตกใจจนร้องเสียงหลง 

เสิ่นอี้กลับยังทำเหมือนไม่มีอะไร

แต่นี่้ไม่มีอะไรสักนิดเลยเหรอ

มีดยังแทงคาอยู่บนแขน ทว่าเลือดกลับไม่ไหลออกมาเลยสักหยด 

เย่หนิงมองเขาที่เหมือนกับกำลังแสดงมายากลอย่างโง่เขลา มองสักพักหนึ่ง แล้วจึงถามว่า " ก่อนหน้านี้ที่โกดังในหมู่บ้านว่างยาชุน ที่คุณใช้มีดกรีดข้อมือของฉัน เป็นเพราะแบบนี้ใช่ไหม"

" ใช่ครับ!" เสิ่นอี้ยอมรับ หลังจากนั้นก็ดึงมีดปอกผลไม้ออกมา บาดแผลบนแขนของเขา ซ่อมแซมตัวเองอย่างรวดเร็ว 

ไม่มีเลือด ไม่มีร่องรอยบาดแผลใดๆ เลย! 

" คุณเป็นผีดิบจริงๆ เหรอเนี่๊ยะ" นอกจากนั้นแล้ว เย่หนิงพูดอะไรไม่ออกอีกเลย

" ถ้าตามความเห็นของมนุษย์อย่างพวกคุณ ผมก็คือผีดิบครับ!" เสิ่นอี้มองเธอเงียบๆ แล้วพูดขึ้นอย่างช้าๆ ว่า " ไม่แก่และไม่ตาย!" 

เย่หนิงถามเสียงอ่อนว่า " ฉันถามอายุคุณได้ไหม" 

เสิ่นอี้ฉีกยิ้มเล็กน้อย แต่พอเห็นเย่หนิงร้องไห้หนักแบบนนั้น ก็อดใจไม่ได้ ลูบเส้นผมของเธอ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า " ยาวนาน จนผมเองก็จำไม่ค่อยได้แล้ว" 

“เป็นผีดิบตัวน้อยที่มีอายุพันปีใช่ไหม" เย่หนิงลูบจมูก คาดไม่ถึงว่าเธอจะมีกะจิตกะใจมาเล่นสนุกได้อีก

เสิ่นอี้พยายามกลั้นยิ้ม " อาจจะนะครับ!" 

" แก่จัง!" ในที่สุดเย่หนิงก็สบถออกมา แม้ว่าจะเป็นแค่คำสองคำ แต่เสิ่นอี้กลับได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส  

" แก่ชะมัดเลย! เป็นผีดิบที่ไม่แก่ไม่เฒ่า!" 

" มีอายุหนึ่งพันปี ยังไม่แก่! ฉันอายุแค่ยี่สิบกว่าๆ เองนะ!" 

เรื่องเหล่านี้ เสิ่นอี้จะพูดยังไงได้ ถึงแม้ว่า สิ่งที่เย่หนิงพูดจะเป็นความจริง แต่จะให้เขายอมรับงั้นเหรอว่าเขาเป็นผู้เฒ่าที่มีอายุพันกว่าปี

เขาไม่ยอมเลยสักนิด จึงส่งเสียงเหอะ " ผมไม่แก่ไม่เฒ่า! สำหรับผีดิบแล้ว มีอายุพันปี ร้อยปี แตกต่างกันยังไงครับ" 

พอพูดประโยคนี้ออกมา เขารู้สึกว่าช่างน่าขันนัก สิ่งสำคัญเป็นเพราะ เขาจะมีชีวิตกี่ปี นี่้ยังสำคัญอีกเหรอ  

เด็กน้อยคนนี้ ยังจับประเด็นสำคัญไม่ได้ ประเด็นสำคัญไม่ใช่อยู่ที่ว่าเขามีชีวิตอยู่หลายพันปี

" แก่ชะมัดเลย" เย่หนิงพูดย้ำอีกครั้ง เสิ่นอี้หมดแรงจะเถียงกับเธอแล้ว

เห็นอย่างนี้แล้ว เหมือนกับว่าเย่หนิงยังไม่เข้าใจ ว่าประเด็นสำคัญนั้นอยู่ที่ไหน 

" ผีดิบ" เย่หนิงพูดกระซิบ "

“ก่อนหน้านี้ต้องผ่านการกรรมวิธีแบบนั้นไหม”

" ผมไม่เหมือนกับชาวบ้านในหมู่บ้านว่างยาชุน! แล้วก็ไม่เหมือนกับผีดิบที่สุสานพวกนั้น!" เสิ่นอี้พูดอธิบายอย่างอดทน 

ไม่ได้พูดอย่างเคร่งเครียด ก็มันไม่เหมือนกันจริงๆ นี่นา

เย่หนิงครุ่นคิดอย่างจริงจัง " คุณดูดเลือดไหม" 

เสิ่นอี้คิดว่าตนเองใกล้จะระเบิดเต็มทีแล้ว " ผมไม่ใช่ผีดูดเลือดครับ!" 

" งั้นคุณกินอะไรล่ะคะ" 

" กินคุณไง!" เสิ่นอี้กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย 

เย่หนิง 

หลังจากที่เงียบไปราวครึ่งนาที เธอก็ถามด้วยเสียงค่อยอีกครั้งว่า " ผีดิบกินคนจริงๆ เหรอคะ" 

" คำถามของคุณแปลกจริงๆ เลย" เสิ่นอี้รู้สึกเหนื่อยใจมาก 

ก่อนหน้านี้คิดว่าเจ้าเด็กน้อยผู้นี้กำลังตกใจ หลอกกันชัดๆ เลย!

ตอนนี้รู้สึกว่าเจ้าเด็กน้อยคนนี้คงจะเลอะเลือนมาก นี่้เป็นคำถามที่เธอสนใจงั้นเหรอ

ครอบครัวของเธอไม่อยากให้เธอสืบทอดการเป็นนักล่าผีดิบต่อ ช่างฉลาดหลักแหลมเสียจริง  

เสิ่นอี้อดสบถออกมาไม่ได้

เขาเป็นทุกข์ยิ่งกว่าเย่หนิงเสียอีก

" กินไหมคะ" คาดไม่ถึงว่าเย่หนิงยังจะถามอีก” " กิน กินครับกิน!" เสิ่นอี้ตอบอย่างตรงไปตรงมามากๆ หลังจากนั้นก็มองใบหน้าของเย่หนิงที่มองตนเองอย่างตกใจ แล้วพูดอย่างจนปัญญาว่า " ผมหลอกคุณ! ผมจะกินคนทำไมล่ะครับ" 

" ไม่กินเหรอคะ งั้นปกติคุณกินอะไร" เย่หนิงตกใจมาก  

" ปกติผมกินอะไร คุณไม่เห็นงั้นเหรอ" เสิ่นอี้ถามกลับ 

เย่หนิงยิ่งตกใจมากขึ้นกว่าเดิม " แต่คุณเป็นผีดิบนะ! ผีดิบไม่ต้องกินอะไรก็ได้ไม่ใช่เหรอ"

" ใช่ครับไม่ต้องกิน! แต่กินก็ไม่มีปัญหา!" เสิ่นอี้จิบชาอย่างช้าๆ ทั้งยังหยิบสาลี่ขึ้นมากัดหนึ่งคำ " ถึงกินก็ไม่เป็นอะไร! "

ไม่เป็นอะไร!  

ไม่เป็นอะไร!

คำคำนี้

ได้ยินแล้วแปลกชะมัด 

เย่หนิงไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือจะหัวเราะดี เธอมองเสิ่นอี้ " ไม่เป็นอะไรงั้นเหรอคะ”

" ใช่ครับ" สีหน้าของเสิ่นอี้เรียบเฉย “" ถึงอย่างไรคุณไม่ต้องห่วงหรอกว่าผมกินแล้วท้องจะมีปัญหา แล้วก็ไม่ต้องห่วงว่ากินอะไรแล้วจะแสลง ผมไม่ตาย จะต้องไปกลัวอะไรอีก"

" ร้ายกาจ" เย่หนิงกล่าวเสียงอ่อน 

" คุณยังไม่เชื่องั้นเหรอ" เสิ่นอี้คิดว่าเย่หนิงไม่เชื่อตนเอง ไม่เชื่อว่าตนเองเป็นผีดิบ

" เชื่อค่ะ" เย่หนิงพูดอย่างรวดเร็ว 

" ไม่กลัวผมกินคุณงั้นเหรอ" 

เย่หนิงไม่รู้ว่าควรตอบยังไง สำหรับเธอเรื่องที่จู่ๆ เสิ่นอี้กลายเป็นผีดิบ ดูๆ ไปแล้วก็ออกจะเป็นอะไรที่แฟนตาซีไปเสียหน่อย มาโดยไม่รู้ตัว เธอไม่รู้ว่าจะใช้ความคิดแบบไหนไปเผชิญหน้ากับสิ่งที่เรียกว่าผีดิบนี้ดี

เสิ่นอี้กลับหัวเราะขึ้นมา " ผมบอกแล้วไง ว่าถึงผมจะเปลี่ยนเป็นผีดิบ ก็ไม่มีทางไปกัดคุณหรอก! แต่แน่นอนครับ ครั้งนี้ไม่นับ" 

เขาพูดพลาง ช้อนคางของเธอขึ้น ก้มศีรษะ แล้วจุมพิตที่ริมฝีปากของเธออย่างแผ่วเบา

มือของเขา เย็นยะเยือก ปาก  ก็เย็นยะเยือก 

แต่ความรู้สึกแบบนั้น สำหรับเย่หนิงแล้ว กลับอดรู้สึกคุ้นเคยไม่ได้  

จุมพิตจากเขา ความรู้สึกแบบนั้น ไม่แปลกไปเลยสักนิด 

ผีดิบเหรอ

ทำไมไม่เหมือนสักนิดเลยล่ะ

แต่ถ้าเขาเป็นผีดิบจริง ก็ต้องมีหลายเรื่อง ที่พูดออกมาได้น่ะสิ

ขณะที่เย่หนิงกำลังคิดเพ้อเจ้อ เสิ่นอี้ก็ปล่อยเธอเสียแล้ว ทั้งยังทำเหมือนก่อนหน้านี้ ที่มองเธอแบบนั้น ด้วยสายตาอ่อนโยน พลางถามขึ้นว่า " เสี่ยวหนิง คุณกำลังคิดอะไรอยู่"