webnovel

ตอนที่ 079

บทที่ 79 ผู้ติดต่อ

“หัวเราะอะไร” เย่หนิงถามด้วยความแปลกใจ

“ถ้าผมบอกว่าผมความจำดี คุณจะเชื่อไหม”

เอาอีกแล้ว !

คนคนนี้นี่มันจริงๆ เลย

ถึงจะความจำดีจริงๆ แล้วมันเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไงล่ะ

ใบหน้าของเย่หนิงเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ “แล้วยังไงล่ะ”

“ผมเคยเจอกู่เถียนโปคนนี้มาก่อน ! เมื่อหลายสิบปีที่แล้วน่ะ” เสิ่นอี้หันมองเย่หนิง

“อะไรนะ ?” เย่หนิงตกตะลึง “หลายสิบปีก่อน...งั้น งั้นตอนนั้นคุณอายุเท่าไหร่ นี่คุณอายุเท่าไหร่กันแน่เนี่ย”

“มันเกี่ยวอะไรกันล่ะครับ” เสิ่นอี้มีท่าทีไม่เห็นด้วยกับความระแวงสงสัยของเย่หนิง “ผมกำลังพูดเรื่องความจำดีอยู่นะครับ”

เย่หนิงถึงกับพูดไม่ออก

ถึงจะบอกว่าความจำดีก็เถอะ แต่มันจะน่าตกใจเกินไปหน่อยหรือเปล่า

เรื่องตั้งหลายปีที่แล้ว แต่เขายังจำได้แม่นยำชัดเจนเนี่ยนะ

“คุณบอกว่าคุณเคยเจอกู่เถียนโปเมื่อสิบกว่าปีก่อน คุณเจอเขาที่ไหนคะ” ระหว่างที่เอ่ยถาม เย่หนิงก็ยังคงมีท่าทางระแวงสงสัย

“โรงพยาบาลครับ ตอนนั้นมหาลัยให้เราไปตรวจร่างกาย ผมก็เลยได้เจอกู่เถียนโปในโรงพยาบาลนั้น”

“แล้วยังไงคะ ถึงคุณจะเคยเจอกู่เถียนโปเมื่อสิบกว่าปีก่อนจริง แต่มันก็ดูจะพิสูจน์อะไรไม่ได้เลยนะ”

“ใครบอกไม่ได้ล่ะครับ เรื่องที่สามารถพิสูจน์ได้มันมีมากมาย อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ว่าหลายสิบปีมานี้ เขาไม่แก่ลงเลยสักนิด แค่นี้ยังไม่พออีกหรือครับ?”

เย่หนิงชะงักค้างไปชั่วครู่

นี่ถือเป็นหนึ่งในกุญแจที่สำคัญมาก !

วันนั้นภายในห้องสอบปากคำ ตอนที่บันทึกคำให้การของกู่เถียนโป เสิ่นอี้ก็เน้นย้ำถึงคำถามเรื่องอายุ มิน่าล่ะเขาถึงไม่ยอมปล่อยคำถามนี้ให้หลุดรอดไปง่ายๆ ที่แท้ก็เพราะสงสัยมาตั้งแต่แรกแล้วนี่เอง

อาศัยเพียงเพราะการที่เขาเคยได้เจอกู่เถียนโปเมื่อหลายสิบปีก่อนน่ะหรือ

“นี่มันอะไรกันเนี่ย !” เย่หนิงค่อนข้างระแวง ถึงแม้ว่าเขาจะเคยเจอกู่เถียนโปมาเมื่อหลายสิบปีก่อน และแม้จะมีความจำที่ดีเลิศ แต่ว่าหลายสิบปีมานี้ก็ต้องพบต้องเจอคนตั้งไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ จะไม่หลงลืมใครไปบ้างเลยหรือไง มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด

“อ่อ จริงสิ ! ที่ผมจำเขาได้ค่อนข้างแม่น ก็เพราะว่าคนคนนี้ท่าทางลับๆ ล่อๆ ดูน่าสงสัยน่ะ !”

เย่หนิงยิ่งพูดไม่ออกเข้าไปใหญ่

เด็กอายุไม่กี่ปีจะสังเกตอะไรพวกนี้ได้ด้วยเหรอ

สรุปแล้วว่าใครน่าสงสัยมากกว่ากัน

เธอรู้สึกว่าตัวเองมีเหตุผลมากพอที่จะระแวงสงสัยข้อเท็จจริงในคำพูดของเสิ่นอี้แล้ว

แต่ว่า......เสิ่นอี้พูดออกมาด้วยท่าทางจริงจัง จริงจังจนถึงขั้นที่ว่าเธออยากจะพูดถามข้อสงสัยกับเขา แต่ก็ไม่กล้าถามซะอย่างนั้น

“คุณไม่เชื่อเหรอครับ” ไม่ต้องรอให้เย่หนิงเอ่ยถาม แต่เสิ่นอี้กลับเป็นคนเอ่ยปากขึ้นมาก่อน

เย่หนิงจึงจำใจเอ่ยออกมา “แล้วท่าทางของเขามันน่าสงสัยยังไงล่ะคะ”

“ผมเห็นเขาซ่อนตัวอยู่ที่มุมหนึ่ง คุยอะไรไม่รู้กับหมอคนหนึ่งในโรงพยาบาล ท่าทางของเขาดูลุกลี้ลุกลนมาก ต่อมาหมอคนนั้นก็เอาถุงใหญ่ๆ ให้เขาถุงหนึ่ง คิดว่าน่าจะเป็นยาอะไรสักอย่าง”

เมื่อฟังไปฟังมา เย่หนิงก็เหมือนจะรู้สึกสนใจขึ้นมาเสียแล้ว “เขาแอบพบกับหมอคนหนึ่งในโรงพยาบาลงั้นเหรอคะ แล้วหมอคนนั้นก็เอายาถุงใหญ่ให้เขาเหรอ”

“ใช่ครับ ! ลองคิดดูสิว่าถ้าเป็นคุณได้เจอสถานการณ์ที่ดูน่าสนใจแบบนั้น คุณจะหยุดมองหรือเปล่าล่ะครับ”

“อืม งั้น...จากความหมายของคุณคือ พวกเขาน่าจะแอบทำการซื้อขายกัน แล้วคุณก็ไปเจอเข้า แต่พวกเขาก็ไม่รู้ตัว อย่างนั้นใช่ไหมคะ”

ยังไม่ทันที่จะได้พูดจนจบ เสิ่นอี้ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามออกมาซะก่อน “ผมเป็นแค่เด็กคนหนึ่งนะ”

เย่หนิงถึงกับมึนเบลอ ! เธอลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไงนะ!

แต่ว่า...ผมเป็นแค่เด็กคนหนึ่งนะงั้นเหรอ

ทำไมพอประโยคนี้ออกมาจากปากของเขาแล้ว มันถึงดูขัดๆ กันนะ

ดูไม่เหมือนคำพูดของเสิ่นอี้เลยสักนิด

ผมเป็นแค่เด็กคนหนึ่งนะ...

ผู้ชายอายุยี่สิบกว่าพูดประโยคแบบนี้ออกมา แถมยังพูดออกมาได้อย่างเต็มปากเต็มคำเสียด้วย คิดว่านอกจากเสิ่นอี้แล้ว ก็คงไม่มีใครทำอีกแล้วล่ะ

เย่หนิงเหมือนยังอยากจะถามอะไรต่อ แต่ก็โดนเสิ่นอี้ขัดจังหวะเข้าเสียก่อน “ผมจะบอกอะไรให้นะครับ เสี่ยวหนิง ผมพูดมาก็นานแล้ว แต่เหมือนคุณจะยังจับจุดสำคัญไม่ได้เลยใช่ไหมเนี่ย”

จุดสำคัญเหรอ จุดสำคัญอะไรล่ะ จุดสำคัญไม่ใช่เรื่องที่เสิ่นอี้เคยเจอกู่เถียนโปเมื่อหลายสิบปีก่อน แล้วก็พบว่าแม้จะผ่านมาแล้วหลายสิบปี แต่ฝ่ายนั้นก็ไม่แก่ลงเลยหรอกเหรอ เพราะอย่างนั้นถึงได้รู้สึกว่ากู่เถียนโปคนนี้น่าสงสัยมาก...นอกจากเรื่องนี้ยังมีจุดสำคัญอะไรอีกล่ะ

“โรงพยาบาล !” ในที่สุดเสิ่นอี้ก็เป็นคนพูดออกมาเอง ดูจากท่าทางของเขาแล้ว ก็เห็นได้ชัดว่าคิดว่าเย่หนิงคงคิดไม่ถึงแน่ๆ

“โรงพยาบาลเหรอคะ” อยู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมาแบบนี้ เย่หนิงคงคิดอะไรมากกว่านี้ไม่ออกหรอก

“โรงพยาบาลก็เป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญ คุณลองคิดดูสิครับ ถ้าต้องการค้นคว้ายาอะไรใหม่ๆ โรงพยาบาลก็เป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุด”

“เป็นไปไม่ได้หรอก” เย่หนิงร้องออกมาด้วยความแปลกใจ

“มันเป็นเรื่องปกติมากเลยไม่ใช่เหรอครับ ทำไมคุณต้องตกใจด้วยล่ะ”

จะให้เธอไม่ตกใจได้เหรอ โรงพยาบาลเชียวนะ?! โรงพยาบาลที่เป็นสถานที่รักษาผู้ป่วยนั้นน่ะ ! ถึงพวกเขาจะอยากค้นคว้าตัวยาใหม่ๆ อะไรทำนองนั้นก็เถอะ ถึงจะเป็นยาที่มีประสิทธิภาพทำให้อายุยืน แต่ถึงยังไงมันก็ยังต้องแลกมาด้วยชีวิตของคนไม่น้อยเลย !

การค้นคว้าแบบนี้ เย่หนิงไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการทำเพื่อผลประโยชน์ของมวลมนุษยชาติ แต่เธอคิดว่าเป็นเครื่องมือสำหรับหาผลประโยชน์เพียงเท่านั้น

แม้เธอจะไม่ค่อยอยากยอมรับถึงความเป็นไปได้ของมัน แต่ก็จำใจต้องยอมรับว่าสิ่งที่เสิ่นอี้พูดออกมานั้นมีความเป็นไปได้อยู่มากเลยทีเดียว

“จริงสิ ยังมีอีกเรื่องที่ผมต้องบอกคุณ ผมยังจำโรงพยาบาลนั้นได้ และก็วาดรูปไว้ด้วย เพราะอย่างนั้นยังไงเราก็ต้องหาโรงพยาบาลนั้นเจอแน่”

“อื้ม” เย่หนิงรู้สึกดีใจ ยังไงซะนี่มันก็เป็นข่าวดีๆ นี่นา !

“แล้วเขาเป็นใครล่ะคะ” เย่หนิงแทบทนไม่ไหว การตามตัวหมอที่กู่เถียนโปติดต่อด้วยนั้น สำหรับพวกเขาแล้วถือเป็นการก้าวไปอีกขึ้นหนึ่ง

ทว่าสุดท้ายเสิ่นอี้กลับดูไม่พอใจเลยสักนิด “เขาตายไปแล้ว”

“หา ?” เป็นความผิดหวังที่มากมายซะจนใจเย่หนิงแทบจะรับไม่ไหว “เสิ่นอี้ ถ้าคุณมีอะไรจะพูดก็พูดให้จบทีเดียวเลยไม่ได้หรือไง”

เสิ่นอี้มองเธออย่างเบื่อหน่ายอยู่ครู่หนึ่ง “ผมก็อยากพูดให้จบในครั้งเดียวหรอกนะ แต่คุณเคยให้โอกาสผมพูดไหมล่ะครับ”

น่าอายจริงๆ โอเค เธออาจจะรีบร้อนมากไปหน่อย ยังไม่ทันรอให้ฝ่ายนั้นพูดจบก็พูดขัดขึ้นเสียก่อน

“โอเคค่ะ งั้นคุณพูดต่อเลย”

“จริงอยู่ที่หมอคนนั้นเสียชีวิตไปแล้ว แต่ผมก็ยังจำโรงพยาบาลที่พวกเขาพบกันได้”

เย่หนิงนิ่งงัน......

จะว่าอย่างไรดีล่ะ กุญแจสำคัญของปัญหานี้ ทำไมเธอถึงมองข้ามมันไปอีกแล้ว

จริงๆ เลย...เรื่องที่เกี่ยวกับการวิเคราะห์สันนิษฐานรูปคดีแบบนี้ เธอมองข้ามไปได้ยังไงกัน !

เธอเป็นหมอนิติเวชนะ

การพบหลักฐานและวิธีการก่อคดีผ่านการชันสูตรศพนั่นต่างหากที่เธอสนใจมากที่สุด แต่กับคดีนี้ เธอไม่รู้เลยว่าทำไมถึงเหมือนกับว่าเธอไม่สามารถดึงความสามารถของตัวเองออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่

เป็นความรู้สึกที่เหมือนเป็นคนไร้ประโยชน์เลยจริงๆ

เย่หนิงกลุ้มใจมาก คดีนี้มันจะปกติหน่อยไม่ได้หรือยังไงเนี่ย เธอยอมที่จะรับมือคดีที่หนักกว่านี้เหนื่อยกว่านี้ แต่เธอจะไม่ยอมต้องเผชิญหน้ากับคดีที่ไม่สามารถลงมือทำอะไรได้เลยแบบนี้ !

ศพก็ชันสูตรไปหลายรอบแล้ว แต่ก็ยังไม่พบปัญหาอะไรเลย สุดท้ายก็ทำได้แค่ยืนอยู่ตรงนี้ ฟังการวิเคราะห์ของเสิ่นอี้ แม้แต่กุญแจที่สำคัญที่สุดของปัญหา ตัวเธอเองยังจับจุดไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ไม่ต่างอะไรกับคนโง่คนหนึ่งเลยสักนิด

“คุณคิดมากอะไรอยู่หรือเปล่าครับ” เสิ่นอี้พบความผิดปกติของเย่หนิงได้อย่างรวดเร็ว

ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา ความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ที่ชัดเจนขนาดนั้นของเย่หนิง ทำไมเขาจะไม่สังเกตเห็น

“เปล่าค่ะ...” เย่หนิงรีบทำให้ตัวเองกลับมามีชีวิตชีวาเหมือนเดิม “โรงพยาบาลไหนคะ ยังพอตรวจสอบได้เบาะแสอะไรบ้างไหม จริงอยู่ที่ว่าเมื่อก่อนคุณเคยเห็นกู่เถียนโปติดต่อแค่กับคุณหมอคนนั้น แต่ว่าหลังจากหมอคนนั้นเสียชีวิตไปแล้ว กู่เถียนโปก็ต้องติดต่อกับคนอื่นต่อใช่ไหมคะ ถ้าปัญหามันอยู่ที่โรงพยาบาลจริงๆ......การติดต่อของพวกเขา คงไม่หยุดลงกลางคันแบบนั้นแน่”

เสิ่นอี้ไม่ได้ตอบคำถามของเย่หนิง แต่กลับย้อนถามเธอแทน “คุณลองทายดูสิครับว่าโรงพยาบาลไหน”