webnovel

ตอนที่ 077

ตอนที่ 77 ความมืดมิด

เสิ่นอี้รีบเอ่ยขึ้นโดยที่ไม่รอให้เย่หนิงพูดอะไรต่อ “เมื่อครู่เราคุยกันถึงไหนแล้วนะครับ อ่อ เรื่องกู่ซานหมิง ! พวกเรามาคุยเรื่องกู่ซานหมิงกันต่อเถอะ...”

เมื่อเสิ่นอี้พูดถึงเรื่องรูปคดี เย่หนิงก็ลืมไปเลยว่าทำไมตัวเองถึงได้วิ่งไล่เสิ่นอี้แบบนี้ เธอนิ่งฟังอีกฝ่ายพูดอย่างสนอกสนใจ

“ตอนที่อยู่บนเขาน่ะ ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่ากู่ซานหมิงดูแปลกๆ เขาเป็นคนนำทาง เขาก็ต้องรู้สิว่าที่นั่นมีอะไร แต่เหมือนเขาจงใจที่จะนำเราไปที่นั่น”

เมื่อฟังเขาพูด เย่หนิงก็นึกได้ขึ้นมาทันที “จริงด้วย ! ที่แท้ตอนนั้นคุณก็สังเกตเห็นด้วยสินะคะ”

เสิ่นอี้เอ่ยออกมาเสียงเบา “ผมสังเกตเขาตลอดนั่นแหละครับ ในหมู่บ้านว่างยาชุนนั้นดูไม่ค่อยชอบมาพากล และผู้ใหญ่บ้านกู่ซานหมิงนั่น ก็เป็นกุญแจสำคัญอย่างเห็นได้ชัด”

คราบเลือดนอกบ้าน คำสาปที่คอยรบกวนหมู่บ้านว่างยาชุน สีหน้าท่าทางน่าสงสัยของกู่ซานหมิง ศพเด็ก ซอมบี้ แมลงดูดเลือด อีกทั้งเรื่องการเสียชีวิตอย่างแปลกประหลาดของนักศึกษาเหล่านั้นกับการบ้าคลั่งอย่างไร้สาเหตุนั่น เรื่องราวต่อเนื่องที่ดูคล้ายจะไม่มีความเกี่ยวข้องกันล้วนแต่ถูกเชื่อมโยงไว้ด้วยกันด้วยเส้นเชือกที่มองไม่เห็น และในที่สุดเรื่องราวทั้งหมดนั้นก็มีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน

แต่เสิ่นอี้ก็ยังลองเชิงเขาอีกนิด กู่ซานหมิงที่ถูกคำพูดของเสิ่นอี้โจมตี ทำให้สุดท้ายเขาก็พูดอธิบายข้อสงสัยของเรื่องราวทั้งหมด ความจริงของคดีนี้ ใกล้จะเปิดเผยออกมาแล้ว ความเสียใจเดียวที่เขามีก็คือ พวกเขายังหาผู้อยู่เบื้องหลังไม่พบ

“เพราะงั้น คุณก็เลยกำลังตรวจสอบชาวบ้านพวกนั้นอยู่สินะคะ” เย่หนิงเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว

“เมืองตงไห่ถือเป็นหนึ่งในมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองและคึกคักที่สุดเมืองหนึ่งของทางตะวันออกของเรา ในมหานครที่เจริญรุ่งเรืองแบบนี้ แต่กลับมีหมู่บ้านที่แยกตัวออกมาตัดขาดจากโลกภายนอก มันไม่แปลกเกินไปหน่อยเหรอครับ อีกทั้งหมู่บ้านว่างยาชุน ถึงแม้จะอยู่ห่างไกลความเจริญก็จริง แต่ก็ใช้เวลาขับรถเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น มันห่างไกลจนถึงขนาดทำให้บรรดาชาวบ้านไม่ยอมออกไปไหนมาไหนเป็นสิบๆ ปีเลยเหรอ สังคมทุกวันนี้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว แต่พวกเขากลับยังเก็บตัวอยู่อย่างนั้น มันแปลกเกินไปหรือเปล่าครับ นี่ต่างหากที่เป็นจุดที่สำคัญที่สุด”

เมื่อพูดถึงตรงนี้แล้วเสิ่นอี้ก็ถอนหายใจออกมา “น่าเสียดายที่เราช้าไปก้าวหนึ่ง”

แม้พวกเขาจะพยายามสืบสาวหาตัวของฆาตกรตัวจริง และในที่สุดก็เจอทิศทางที่ถูกต้องแล้ว แต่ก็กลับยังช้าไปหนึ่งก้าว ถ้าพวกเขาสังเกตตัวแปรสำคัญของปัญหานี้เร็วกว่านี้สักหน่อย บางทีนักศึกษาเหล่านั้น และคนของโรงพยาบาลที่ถูกดึงให้เข้ามาเกี่ยวข้องก็อาจจะไม่ต้องตายลงแบบนี้

เย่หนิงเอ่ยถามขึ้น “งั้นคดีนี้ คุณน่าจะรู้แล้วใช่ไหมคะว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

“หากพูดถึงคดีนี้......คงต้องเริ่มเล่าตั้งแต่เกือบสามสิบปีก่อน สิ่งที่กู่ซานหมิงพูดในห้องสอบปากคำเมื่อครู่น่าจะเป็นเรื่องจริง ที่ว่าอยู่ๆ ก็มีคนบุกเข้าไปในหมู่บ้านว่างยาชุนอย่างไม่ทราบสาเหตุ พูดคุยสองสามประโยคบวกกับให้เงินเพิ่ม จนทำให้ทั้งหมู่บ้านเกิดหวั่นไหว และก็สมัครใจกลายเป็นหนูทดลองในที่สุด”

“สมัครใจเป็นหนูทดลองเหรอคะ” เย่หนิงถามขึ้นด้วยความแปลกใจ

“ใช่สิครับ” เสิ่นอี้ถอนหายใจ “แต่น่าเสียดาย พวกเขาคงคิดง่ายเกินไป ตอนแรกเริ่มนั้น กู่ซานหมิงคิดไม่ถึงว่าสิ่งที่พวกเขาจะได้จากการทดลองนี้ จะไม่ใช่ความเป็นอมตะ ไม่ใช่ความมั่งคั่ง แต่กลับเป็นฝันร้ายที่ไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้ตลอดกาล”

เย่หนิงยิ่งตื่นตระหนกยิ่งกว่าเดิม “งั้นโลงศพบนเขาพวกนั้น...”

“กลัวว่าส่วนหนึ่งจะเป็นชาวบ้านจากหมู่บ้านว่างยาชุน แน่นอนว่ามีบางส่วนเป็นหนูทดลองที่สถาบันวิจัยนำมาจากที่อื่น บางทีอาจจะเป็นกลุ่มคนที่ถูกหลอกล่อด้วยผลประโยชน์แบบนี้เหมือนกันก็ได้ เรื่องนี้เราคงไม่อาจรู้ได้ แต่มีอย่างหนึ่งที่เราแน่ใจได้ นั่นคือพวกเขายังคงทำการทดลองอยู่ตลอด และพวกเขาน่าจะอยากศึกษาวิจัยอะไรที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพร่างกายของมนุษย์ได้ เช่นยายืดอายุขัย ยาประเภทนี้หากปล่อยออกมาแล้วจะทำประโยชน์ได้มหาศาล”

เสิ่นอี้ทอดถอนใจออกมา “มิน่าเล่า พวกเขาถึงได้ทำการทดลองกันแบบไม่คิดถึงชีวิตอย่างนั้น !”

“หึ !” เย่หนิงโมโห “ไม่คิดถึงชีวิตจริงๆ ! เพราะแบบนี้ไงพวกเขาถึงต้องใช้ชีวิตคนอื่นไปตั้งเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่”

“ใจเย็นก่อนนะครับ ใจเย็นนะ” เสิ่นอี้ลูบหัวเย่หนิง ก่อนที่จะรินน้ำแล้วยื่นให้กับเธอ เย่หนิงรับไปดื่มจนหมด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่สามารถบรรเทาความโมโหของเธอลงได้ “คนพวกนี้นี่มันเลือดเย็นจริงๆ ถึงได้เอาคนเป็นๆ ไปทำการทดลองอะไรแบบนั้นน่ะ !”

“ใช่ เพราะมีแรงผลักดันเป็นผลประโยชน์อันมหาศาลอย่างไรล่ะ คนมากมายถึงได้ยอมเสี่ยง”

“ยังไงพวกเราก็ต้องหาตัวคนพวกนั้นออกมาให้ได้” เย่หนิงกำหมัดแน่น

“ที่จริงถ้าดูจากขอบเขตแล้วก็น่าจะพอมีโอกาส ในเมื่อฝ่ายนั้นเลือกหมู่บ้านว่างยาชุน นั่นก็อธิบายได้ว่าพวกเขาน่าจะอยู่ในเมืองตงไห่ เพราะหากอยู่ไกลเกินไป อาจจะมีเรื่องที่ไม่สะดวกตามมาได้หลายอย่าง”

“เมืองตงไห่” ใบหน้าของเย่หนิงฉายแววทั้งเศร้าและกลัดกลุ้ม “ขอบเขตมันไม่กว้างไปเหรอคะ”

เมืองตงไห่มีประชากรหลายสิบล้านคน หากต้องตามหาคนสิบกว่าคนหรือร้อยกว่าคน ท่ามกลางประชากรเป็นสิบล้าน นั่นคงไม่ใช่เรื่องง่าย

เสิ่นอี้แค่นหัวเราะออกมา “คนชั่ว ช้าเร็วก็ต้องถูกกรรมตามสนอง วางใจเถอะครับ ตอนนี้เรามีพยานบุคคลหลายคน ทั้งคุณหมอแซ่โจว กู่ซานหมิงและชาวบ้านหมู่บ้านว่างยาชุน เราควบคุมคนเหล่านี้ไว้หมดแล้ว คุณว่าคนหลายร้อยคนพวกนี้จะทำอะไรไม่ได้เลยเหรอ แน่ใจเหรอว่าพยานเหล่านี้จะไม่เปิดปากเลยสักคน แต่ผมไม่เชื่อหรอกนะครับ ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ผู้อยู่เบื้องหลังน่ะ อีกไม่นานต้องเผยตัวออกมาแน่ แต่คราวนี้พวกเขาประมาทมากไปจริงๆ ที่คิดว่าเรื่องการตายแปลกประหลาดนั่นจะไม่ถึงหูตำรวจ คิดว่าแบบนี้เราจะไม่สามารถสืบหาความจริงได้หรือยังไงกัน หาเรื่องใส่ตัวเองแท้ๆ”

“หืม ? หมายความว่ายังไงคะ” เย่หนิงรีบเอ่ยถามออกมา “เกี่ยวกับเรื่องของนักศึกษาพวกนั้นใช่ไหมคะ”

“ใช่ จะว่าแบบนั้นก็ได้ครับ เมื่อสามสิบปีก่อน การวิจัยยาของพวกเขายังอยู่ขั้นแรก กู่ซานหมิงและชาวบ้านน่าจะเป็นหนูทดลองแรกสุดเลย เริ่มแรกนั้นหนูทดลองก็ต้องมีหลายปัจจัยที่ยังไม่คงที่เป็นปกติ นอกจากชาวบ้านของหมู่บ้านว่างยาชุนแล้ว ในจำนวนหนูทดลองคนอื่นๆ ก็น่าจะมีคนตายไปไม่น้อยเหมือนกัน บางทีอาจจะมากกว่าของชาวบ้านด้วยซ้ำ พวกเขาต้องการใช้หมู่บ้านว่างยาชุนเป็นฐานทดลอง เพราะงั้นสำหรับพวกเขาแล้ว การกินยาของชาวบ้านยังสามารถควบคุมได้ ยังรู้สึกว่าการศึกษาวิจัยยาอยู่ในขอบเขตที่สามารถควบคุมได้ ถึงได้ให้พวกชาวบ้านกินยาต่อไป”

“และคนที่ถูกใส่อยู่ในโลงศพพวกนั้น ก็ต้องเป็นหนูทดลองที่มีคนมาคอยเลี้ยง อาจเป็นการจับคนเป็นๆ มาป้อนให้หรือปล่อยออกไปกินอาหารทุกคืน และคนที่ถูกจับมาเป็นอาหารพวกนั้น บางครั้งก็อาจจะหนีลงเขาไปเพื่อขอความช่วยเหลือจากชาวบ้าน แต่ชาวบ้านก็เลือกจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น”

“สำหรับชีวิตของคนแปลกหน้าเหล่านี้ พวกเขาจะไปสนใจอะไรกันล่ะ พวกเขาจะมองว่าสำคัญกว่าชีวิตของพวกเขาเองงั้นเหรอ ! ที่ปิดประตูหน้าต่างมิดชิด ไม่ใช่เพราะกลัวปีศาจภูเขาอะไรหรอก มันเป็นการปิดตายจิตใต้สำนึกของพวกเขาต่างหาก ! คุณธรรมในใจของพวกเขาถูกปิดตาย จนกลายเป็นจิตใจที่เต็มไปด้วยความหวาดผวา สิ่งที่ไม่กล้าเผชิญหน้าคือคุณธรรมในใจตัวเอง ไม่ใช่ปีศาจภูเขาอะไรนั่นเลย”

พอพูดถึงตรงนี้แล้ว น้ำเสียงของเสิ่นอี้ก็เครียดขรึมขึ้นทันที เห็นได้ชัดว่าผลการตรวจสอบนี้ทำเขาปวดใจอยู่ไม่น้อย

เย่หนิงเองก็ไม่ต่างกัน...

เมื่อความมืดคืบคลานเข้ามา หน้าต่างประตูก็ถูกปิดสนิท หมู่บ้านว่างยาชุนมืดมิดไร้ซึ่งแสงไฟ สิ่งเดียวที่สะท้อนออกมาคือความดำมืดของจิตใจคนทั้งหมู่บ้าน