webnovel

ตอนที่ 072

ตอนที่ 72 คุณกลัวอะไร

“เราคงจะต้องเตรียมตัวให้ดีเพื่อที่จะสอบปากคำกู่ซานหมิงใช่ไหมคะ ?” ตอนนี้เย่หนิงก็กินอย่างเต็มอิ่มแล้ว และเพิ่งจะตื่นได้ไม่นาน เธอเลยรู้สึกพร้อมเต็มที่ และเมื่อกี้พอได้ยินว่าเสิ่นอี้จะทำของอร่อย ๆ ให้เธอทาน ก็ยิ่งทำให้เธอมีแรงพร้อมที่จะทำงานมากกว่าเดิม

“ใช่ครับ เจ้ากู่ซานหมิงนั่นดูแล้วคงไม่ธรรมดาแน่”

“แต่ฉันคิดว่าคุณไม่ธรรมดามากกว่าเขาเสียอีกนะคะ”

“มันก็แน่อยู่แล้วสิ” เสิ่นอี้ยอมรับออกมาอย่างไม่ถ่อมตัวเลยสักนิด เช่นนั้นก็ทำให้เย่หนิงพูดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่น้อย

คนที่พูดอวดตัวเอง โดยที่ไม่ตะขิดตะขวงใจแบบนี้ยังมีด้วยเหรอ ? เขารู้จักคำว่าถ่อมตัวบ้างไหมเนี่ย ?

กู่ซานหมิงที่ถูกควบคุมตัวไว้ในห้องสืบสวน ท่าทีของเขาดูกระสับกระส่ายไปทั้งตัวอย่างเห็นได้ชัด

เสิ่นอี้ไม่ได้รีบเข้าไปในทันที แต่เขากลับดูภาพจากกล้องวงจรปิดอยู่เป็นเวลานาน เย่หนิงเองก็ไม่รู้ว่าเขากำลังดูอะไรอยู่กันแน่

“เป็นอย่างไรบ้างคะ ? ท่าทีของเขาแปลกหรือไม่ชอบมาพากลตรงไหนบ้างหรือเปล่า ?” เย่หนิงรู้สึกสงสัย

“ท่าทางของเขาดูกังวลมากเลยครับ”

“มันก็ปกติไม่ใช่เหรอคะ ต้องเข้าไปอยู่ในที่แบบนั้น ไม่ว่าใครก็น่าจะสงบจิตสงบใจได้ยากกันทั้งนั้นแหละ”

“คุณเชื่อคำพูดของเขาหรือเปล่าครับ ?”

“หืม ?”

“ก็ที่เขาบอกว่าพวกเขาถูกคำสาปไงครับ ที่กู่ซานหมิงเคยบอกว่า คนที่อยู่ในหมู่บ้านว่างยาชุนต่างถูกคำสาปกันหมด ไม่มีใครที่สามารถออกไปจากหมู่บ้านได้ ไม่อย่างนั้นก็จะไม่ตายดีน่ะ”

“แล้วยังเรื่องสี่สิบเก้าวันนั่นด้วย......” เย่หนิงพูด “พวกเราหาบันทึกที่เกี่ยวข้องเจอแล้ว ที่เขาพูดมาเป็นความจริงทั้งหมดเลย พวกเราเจอบันทึกข้อมูลการเสียชีวิตของคนพวกนั้นด้วยค่ะ”

แล้วอยู่ ๆ เสิ่นอี้ก็กลับพูดขึ้นมากะทันหันว่า “แล้วสาเหตุการตายล่ะครับ ? พวกเขาตายเพราะอุบัติเหตุจริง ๆ ใช่ไหม ?”

“ไปกันเถอะครับ พวกเราค่อย ๆ เข้าไปคุยกับคนแก่เจ้าเล่ห์นั่นดีกว่า”

ท่าทางของเสิ่นอี้ดูเหมือนว่าเขากำลังมั่นใจอย่างเต็มที่

เห็นดังนั้นเย่หนิงก็รีบวิ่งตามเขาไป “เสิ่นอี้ จริง ๆ แล้วคุณรู้อะไรมากันแน่คะ ?”

“คุณช่วยผมจดบันทึกหน่อยนะ” เสิ่นอี้ไม่ตอบคำถามของเธอ

“นี่ ฉันเป็นหมอนิติเวชนะ !”

“อ่อ ถ้าอย่างนั้นผมเปลี่ยนคนก็ได้ครับ” เสิ่นอี้ไม่สนใจเธอเลยแม้แต่น้อย

“ฉันทำเองค่ะ !” เย่หนิงรู้สึกเศร้าอย่างถึงที่สุดเลย

เธอบอกว่าเธอจะไม่ไปหรือยังไงกันเล่า ! เขานี่มันจริง ๆ เลย

ช่างเถอะ ยังไงตอนนี้คนที่อยากรู้ความจริงจนแทบทนไม่ไหวก็คือตัวเธอเองนั่นแหละ

สุดท้ายเย่หนิงก็ยอมแพ้ “เอาล่ะ ๆ ฉันไปก็ได้ค่ะ”

“เด็กดี” เสิ่นลูบหัวเธอเบา ๆ “เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะทำของอร่อย ๆ ให้ทานนะครับ”

เย่หนิงแทบจะกลายเป็นหินอยู่ตรงนั้นเสียแล้ว

แบบนี้มัน....มันไม่ใช่สไตล์ของเขาเลยนะ !

เสิ่นอี้เขาต้องสั่งสอนหรือต่อว่าเธอสิ !

แต่ว่า......ของกินอร่อย ๆ......

เย่หนิงกำลังตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของของอร่อย ๆ เข้าเสียแล้ว ราวกับเป็นเด็กตัวน้อยที่เชื่อฟังเขาคนหนึ่ง เธอรีบหยิบสมุดจดขึ้นมา แล้วเดินตามเสิ่นอี้ต้อย ๆ เข้าไปในห้องสืบสวน

เดิมทีกู่ซานหมิงนั่งอยู่บนเก้าอี้นั่นนิ่ง ๆ มาตลอด แต่เมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามา เขาก็รีบยืดตัวขึ้นนั่งตัวตรงทันที สีหน้าที่มีแต่ความกังวลนั่นไม่มีให้เห็นอีกแล้ว จะเหลือเพียงแต่สีหน้าที่ไม่พอใจของเขาเท่านั้น “คุณตำรวจ พวกคุณทำแบบนี้หมายความว่ายังไงกันครับ !”

เสิ่นอี้ดึงเก้าอี้ออก แล้วนั่งลง “เสี่ยวหนิง คุณก็นั่งด้วยสิ”

“อ่าหะ” เย่หนิงนั่งลงข้าง ๆ เขาอย่างเรียบร้อย ถือปากกาอยู่ในมืออย่างเซ็งจิต

เรื่องจดบันทึกนี่... ก่อนหน้านั้นเธอเคยทำอยู่แค่ครั้งสองครั้ง ซึ่งเธอรู้สึกว่ามันน่าเบื่อมาก ไม่อยากที่จะทำมันอีกแล้ว แต่อย่างไรก็ตามมันก็ไม่ใช่งานของหมอนิติเวชอย่างเธออยู่ดี แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมคราวนี้พอได้มาทำบันทึกกับเสิ่นอี้ เธอถึงได้รู้สึกว่ามันน่าสนใจเป็นอย่างมาก

“คุณชื่ออะไรครับ ?” เสิ่นอี้เริ่มเปิดฉากถามเขาอย่างตรง ๆ อย่าบอกนะว่าทุกคนที่เข้ามาในห้องนี้ เขาก็จะถามประโยคเดียวกันนี่หมดเลยน่ะเหรอ

กู่ซานหมิงเองก็ไม่ยอมเปิดปากพูดอะไรออกมา เหมือนกับว่าคำถามนี่ทำเอาเขาแน่นิ่งไปเสียแล้ว แต่หลังจากที่เขาเงียบไปเกือบหนึ่งนาที กู่ซานหมิงถึงพูดออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก “คุณตำรวจ ชื่อของผมพวกคุณก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ ?”

เสิ่นอี้เหลือบมองเขา แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา “ผมกำลังถามคุณอยู่นะครับ จริงจังหน่อย”

พรวด ! เย่หนิงแทบจะพ่นน้ำออกมา ท่าทางของเขานี่มันจริงจังชะมัดเลย แต่ก็นะ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญจิตวิทยาอาชญากรรมนี่น่า ไอ้เรื่องการสอบปากคำผู้ร้ายนี่ เขาก็ทำเป็นประจำอยู่แล้วนี่ ?

กู่ซานหมิงไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เขาจึงทำได้แค่ตอบออกมา “กู่ซานหมิง”

“วันเดือนปีเกิดครับ” เสิ่นอี้ถามขึ้นต่อ

หลังจากนั้น เย่หนิงก็หันไปสนใจเรื่องรายละเอียดขึ้นมาทันที

เป็นรายละเอียดที่แปลกประหลาดมาก !

ลำดับการถามแบบนี้ มันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ถามชื่อ ถามอายุอะไรประมาณนี้ มันก็ปกติไม่ใช่เหรอ ? เวลาไปโรงพยาบาล หมอก็ต้องถามคนไข้แบบนี้อยู่แล้ว แต่ทำไมปฏิกิริยาของกู่ซานหมิงถึงได้แปลกไปแบบนี้ล่ะ

ตอนที่ถามชื่อ เขายังไม่มีท่าทีอะไรเลย แต่ตอนที่ถามอายุ อยู่ ๆ เขาก็กลับเกร็งไปเสียทั้งร่าง เหมือนกับว่าอยู่ ๆ เขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น

มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?

ทำไมเขาถึงได้เครียดขนาดนี้นะ ?

“วันเดือนปีเกิดครับ !” เสิ่นอี้ถามขึ้นมาอีกครั้ง เสียงของเขานั่นดังเป็นพิเศษ

กู่ซานหมิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ “29 สิงหาคม 1979”

เสิ่นอี้ส่งสายตาไปที่เย่หนิง ราวกับบอกว่าให้เธอจดลงไป

วันที่นั้นมันมีอะไรเป็นพิเศษเหรอ ? เย่หนิงไม่เข้าใจเลย และก็ไม่รู้ว่าที่เสิ่นอี้ถามเรื่องปีเกิดนั้น ทำไมถึงทำให้กู่ซานหมิงเครียดขึ้นมาได้ถึงขนาดนี้

พอไม่เข้าใจ เย่หนิงก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจ และเริ่มที่จะสังเกตอารมณ์และท่าทีของกู่ซานหมิงมากกว่าเดิม

กู่ซานหมิงนี่ เป็นผู้ใหญ่บ้านที่มีเรื่องราวบางอย่างมากกว่าที่คิดไว้จริง ๆ ด้วย

“29 สิงหาคม 1979 คุณจำไม่ผิดแน่ใช่ไหม ?”

อยู่ ๆ เสิ่นอี้ก็เอาแต่วนเวียนอยู่กับคำถามนี้

“แน่ใจ ผมไม่มีทางจำผิดแน่ !” กู่ซานหมิงตั้งสติ แล้วพูดขึ้นต่อ “วันเกิดของตัวเอง ผมจะจำผิดได้อย่างไรกันล่ะ ?”

“แล้วน้องชายของคุณล่ะครับ ?” ทันใดนั้นเสิ่นอี้ก็ถามถึงน้องชายของกู่ซานหมิงขึ้นมา “กู่ซานหยาน้องชายของคุณ เขาเกิดปีอะไรครับ ?”

กู่ซานหมิงตะลึงไปสักพัก แล้วก็พูดขึ้นว่า “ปี 90 1990”

เย่หนิงแปลกใจมาก ทำไมเสิ่นอี้ถึงสนใจเรื่องปีเกิดของพี่น้องสองคนนี้ขึ้นมาล่ะ ?

และเธอก็รู้สึกได้ว่า ตอนที่ถามถึงวันเกิดของกู่ซานหยา ท่าทีของกู่ซานหมิงก็เครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

ดูเหมือนจะคำถามนี้จะเป็นตัวแปรสำคัญอย่างนั้นสินะ

เสิ่นอี้สนใจรายละเอียดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ? วันเดือนปีเกิดเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างไรกันแน่ ทำไมถึงทำให้กู่ซานหมิงเครียดถึงขนาดนี้

หลังจากเธอจดข้อมูลลงไปแล้ว เธอก็รอให้เสิ่นอี้ถามคำถามต่อ แต่สิ่งที่ทำให้เธอคาดไม่ถึงนั้นก็คือเสิ่นอี้กลับไม่ถามอะไรต่อ

เย่หนิงหันไปมองเสิ่นอี้ด้วยความรู้สึกสงสัย ก็เห็นว่าเขากำลังนั่งมองกู่ซานหมิงอย่างเย็นชา ราวกับว่าไม่มีคำถามอื่นที่อยากจะถามแล้ว

นี่มันหมายความว่าอะไรกัน ? เธออยากจะถามเสิ่นอี้ขึ้นมา แต่พอเห็นสถานการณ์ตรงหน้า เธอก็รู้สึกว่ายังไม่ควรถามเขาออกไปตอนนี้

กู่ซานหมิงก้มหน้าลง ไม่แม้แต่ส่งเสียงอะไรออกมา

ตอนแรกท่านั่งของเขานั้นก็ดูนิ่ง ๆ สงบเสงี่ยม แต่พอเวลาผ่านไปไม่ถึงสิบนาที ท่าทางของเขาก็เริ่มที่จะนั่งไม่ติดเสียแล้ว เขาเริ่มที่เงยหน้าขึ้น เหลือบมองเสิ่นอี้ครู่หนึ่ง และเมื่อเห็นว่าเสิ่นอี้กำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็น ๆ ไม่ถามคำถามอะไรเขาต่อนั้น ท่าทางของกู่ซานหมิงก็เริ่มที่จะอยู่ไม่สุขเสียแล้ว เขาเอาแต่นั่งขยับตัวไปมา ราวกับว่าบนเห้าอี้นั่นมีตะปูอยู่อย่างไรอย่างนั้น ไม่สามารถที่จะนั่งนิ่ง ๆ ได้

รอจนเวลาผ่านไปอีกหลายนาที เสิ่นอี้ก็ยังคงไม่พูดอะไรออกมา เย่หนิงน่ะทนได้ แต่กู่ซานหมิงกลับทนไม่ไหว “คุณตำรวจ คุณไม่มีอะไรจะถามผมแล้วใช่ไหมครับ ? ถ้าคุณไม่มีคำถามที่จะถามผมแล้ว งั้นผมกลับได้แล้วใช่ไหมครับ ?”

“คุณจะรีบไปทำไมครับ มีเวลา 49 วันไม่ใช่เหรอ” เสิ่นอี้มองกู่ซานหมิงครู่หนึ่ง พูดขึ้นอย่างไม่รีบร้อนอะไร “นี่เพิ่งจะผ่านไปวันเดียวเองนะ คุณยังไม่ตายหรอกครับ คุณจะกลัวอะไร !”