webnovel

ตอนที่ 057

ตอนที่ 57 ผู้สืบทอดของตระกูล

เฝิงเยี่ยนฮวายกลับถามขึ้นต่อ “อาหนิง คนในบ้านเธอไม่เคยบอกเรื่องนักล่าผีดิบกับเธอเลยจริง ๆ น่ะเหรอ ?”

“ไม่ ไม่เคยเลย” เย่หนิงทนเริ่มจะทนไม่ไหวเข้าให้แล้วจริง ๆ

นักล่าผีดิบอะไรกัน เกิดมาเธอก็ไม่เคยได้ยินเลย อีกอย่างนะ......พ่อแม่เธอก็ไม่อยู่นานแล้ว

เมื่อคิดถึงตอนนี้ เย่หนิงก็อดที่จะเงียบขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ เธอก้มหัวลง ไม่ส่งแม้แต่เสียงใด ๆ ออกมา

เฝิงเยี่ยนฮวายลังเลใจอยู่พักหนึ่ง แล้วเขาก็ถามขึ้นมาเสียงเบา “อาหนิง เธอเป็นอะไรไปเหรอ ?”

“พ่อแม่ของฉันตายไปหมดแล้ว...” เมื่อเย่หนิงพูดจบ เธอก็กลับเงียบลงไปอีกครั้ง

“ไม่มีอะไรเหรอก...” เย่หนิงลดเสียงต่ำลง “เรื่องมันก็หลายปีแล้ว ฉันอยู่คนเดียวจนชินแล้วล่ะ”

“เฮ้อ” เฝิงเยี่ยนฮวายถอนหายใจออกมา “มิน่าล่ะเธอถึงได้ไม่รู้ ดูเหมือนคนในบ้านยังไม่มีโอกาสได้บอกเธอเลยสินะ ไม่อย่างนั้นตอนที่เธอโตเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาคงบอกตัวตนที่แท้จริงของเธอไปแล้ว”

นี่มันเรื่องจริงหรือเปล่า เย่หนิงมองเฝิงเยี่ยนฮวาย สีหน้ายังเต็มไปด้วยความสงสัย

แต่อยู่ ๆ เฝิงเยี่ยนฮวายกลับถามขึ้นต่อว่า “อาหนิง เธอคิดว่าผีดิบจะมีจำนวนมากที่สุดตอนไหนกัน ?”

เย่หนิงชะงักไป “นายว่าอะไรนะ ?”

เฝิงเยี่ยนฮวายถามซ้ำขึ้นอีกครั้ง “เธอคิดว่าช่วงเวลาไหนที่ผีดิบจะมีจำนวนมากที่สุด ?”

“เอ่อ...เมื่อสมัย......ราชวงศ์ชิงมั้ง ?” เย่หนิงคิดในใจ ผีดิบที่เคยเห็นในทีวีน่าจะอยู่ในสมัยราชวงศ์ชิง

“ไม่ใช่” เฝิงเยี่ยนฮวายยิ้มออกมา “ที่เธอคิดอย่างนี้ เพราะเธอเห็นมาจากพวกละครทีวีใช่ไหม แน่นอน ถ้าพูดถึงตอนนี้แล้ว ผีดิบที่อายุเก่าแก่มากที่สุดก็น่าจะเป็นผีดิบยุคราชวงศ์ชิงนั่นแหละ เพราะอะไรน่ะเหรอ ? เพราะผีดิบก่อนสมัยราชวงศ์ชิงต่างถูกสังหารจนหมดไปแล้วน่ะสิ เรื่องราวนี้ถูกเล่าต่อ ๆ กันมาน่าจะประมาณเมื่อสามร้อยกว่าปีก่อนแล้วล่ะ”

ผีดิบเป็นสิ่งที่มีอยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณ เริ่มมีมาหลายพันปีแล้ว ส่วนนักล่าผีดิบก็เพิ่งมีขึ้นหลังจากนั้น

ในยุคเริ่มแรกนั้น จะเป็นเหล่านักบวชที่รับผิดชอบจัดการผีดิบเหล่านี้ ด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในยุคหลัง พวกเขาก็ค่อย ๆ อยู่ไกลจากคำว่านักล่าผีดิบไป พอมีอาชีพนักล่าผีดิบถือกำเนิดขึ้นมาโดยเฉพาะ สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ถ้าคิดอย่างจริงจังแล้ว อาชีพนักล่าผีดิบนั้นก็มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาเกือบพันปีทีเดียว

นักล่ากับผีดิบล้วนเกิดมาเป็นคู่ปรับตัวฉกาจ ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายกันไปข้าง แต่เหตุการณ์ที่ปะทุความแค้นอย่างใหญ่หลวงระหว่างนักล่ากับผีดิบนั้น เกิดขึ้นเมื่อสามร้อยกว่าปีก่อน

สมัยนั้นสงครามในอาณาจักรเกิดขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน สถานการณ์สับสนอลหม่าน เป็นเพราะในเวลานั้น เผ่าพันธุ์ผีดิบได้ปรากฏราชาผีดิบออกมา

เป็นผีดิบที่มีชีวิตอยู่มากว่าพันปี เป็นราชาแห่งผีดิบทั้งปวง

ราชาผีดิบเป็นคนที่ดุร้ายป่าเถื่อน คิดก่อการใหญ่โตที่จะปกครองโลกใบนี้แทนเหล่ามนุษย์

ในเมื่อถูกขานว่าเป็นราชาผีดิบ ผีดิบตนนั้นก็เก่งกาจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อีกทั้งลูกน้องของเขายังเป็นผู้มีฝีมือด้วย ศักยภาพไม่แพ้เขาเลย พวกเขาจงรักภักดีต่อราชาผีดิบ ทุ่มเทกำลังอย่างสุดชีวิต รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับราชาผีดิบไปทุกหนทุกแห่ง ปราบปรามรวบรวมผีดิบไม่น้อยให้กลายเป็นกองทัพผีดิบอันน่าหวาดกลัว ฆ่าล้างบางไปทั่วทุกสารทิศ ฆ่าแม้กระทั่งพวกคนบริสุทธิ์ ผู้หญิงและเด็กล้วนไม่ได้รับการยกเว้น

นั่นเป็นสงครามครั้งใหญ่ระหว่างเหล่ามนุษย์และผีดิบเลยทีเดียว ขณะที่เฝิงเยี่ยนฮวายเล่าเรื่องนี้นั้น สีหน้าของเขาล้วนเต็มไปด้วยความเศร้าโศก

“น่าหดหู่มาก” เขาหลับตาลงอย่างช้า ๆ ราวกับไม่อยากกลับไปนึกถึงภาพที่มีเลือดอาบเช่นนั้นอีก

“แล้วหลังจากนั้นล่ะ ?” เย่หนิงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา

“หลังจากนั้นน่ะเหรอ ? หลังจากคราวนั้น สี่ตระกูลนักล่าผีดิบที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานได้รวมตัวกัน พวกเขาต่างติดต่อไปยังนักล่าผีดิบที่อยู่กระจัดกระจายทั่วอาณาจักรจำนวนมาก ตัดสินใจที่จะกำจัดราชาผีดิบและทำลายกองทัพผีดิบโดยที่ไม่นึกเสียดายชีวิต ในที่สุดนักล่าผีดิบที่มีตำแหน่งสูงสุดในสี่ตระกูลใหญ่ก็ได้คิดแผนรบล่อราชาผีดิบเข้ามาในหลุมพราง แล้วใช้ของวิเศษสะกดราชาผีดิบเอาไว้”

“เมื่อราชาผีดิบได้ตายลง ผีดิบตนอื่น ๆ ก็หาได้หวาดกลัวไม่ แต่หลังจากนั้นเป็นเวลาแสนยาวนาน สี่ตระกูลใหญ่ยังคงรวบรวมกลุ่มคนจำนวนมากวิ่งไปยังทั่วเขตแดน ปฏิญาณตนว่าจะกำจัดผีดิบให้ได้ทั้งหมด”

“หลังจากผ่านสงครามคราวนั้นมา จำนวนผีดิบได้ลดลงอย่างรวดเร็ว อีกทั้งหลังจากการฆ่าล้างบางของกลุ่มนักล่าผีดิบของสี่ตระกูลใหญ่จำนวนมาก ผีดิบก็แทบจะหายไปจากโลกเลยทีเดียว ถึงแม้ผีดิบยังคงจะหลงเหลืออยู่บ้าง แต่อย่างไรมันก็ไม่กล้าออกมาอีก พวกมันได้ยอมหลบอยู่ในมุมมืดอย่างเงียบ ๆ ดีกว่าออมาปรากฏกายอยู่ท่ามกลางสายตาของผู้คน เมื่อเวลาผ่านไปนานวัน ผีดิบก็ค่อย ๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของมนุษย์ ถูกผู้คนลืมเลือนไป ส่วนนักล่าผีดิบนั้น......”

เฝิงเยี่ยนฮวายยกยิ้มขึ้นมา “ก็ไม่มีใครรู้ถึงการมีอยู่ของนักล่าผีดิบเช่นเดียวกัน แต่ไม่ได้หมายความว่านักล่าผีดิบของเราจะไร้ผู้สืบทอด การเป็นผู้สืบทอดนักล่าผีดิบนั้น หน้าที่ของพวกเราคือกำจัดผีดิบไปชั่วชีวิต ไม่สามารถที่ละทิ้งหน้าที่นี้ได้”

เย่หนิงมองเฝิงเยี่ยนฮวายด้วยความประหลาดใจ “ทำไมนายถึงรู้ว่าฉันเป็นผู้สืบทอดนักล่าผีดิบล่ะ ?”

เฝิงเยี่ยนฮวายหัวเราะขึ้นมา “ฉันรู้มาสักพักแล้วล่ะ อาหนิง ถึงเรื่องจะผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว สี่ตระกูลใหญ่ของพวกเรากลับยังคงติดต่อกันมาโดยตลอด ตอนที่ฐานะของฉันถูกปลุกขึ้นมาให้กลายเป็นนักล่าผีดิบ พ่อแม่ของฉันก็เล่าเรื่องเหล่านี้ให้ฟัง”

“เดี๋ยวก่อนนะ......” เย่หนิงขัดเฝิงเยี่ยนฮวาย “นายบอกว่า... สี่ตระกูลใหญ่อย่างนั้นเหรอ ? นะ...นายหมายถึงสี่ตระกูลใหญ่ที่พูดถึงใช่ไหม ?”

“ใช่แล้ว” เฝิงเยี่ยนฮวายพยักหน้า “สี่ตระกูลใหญ่นักล่าผีดิบ ตระกูลเย่ ตระกูลถัง ตระกูลเฝิง ตระกูลเจิ้ง ที่ฉันพูดถึงก็คือสี่ตระกูลใหญ่นี้ อาหนิง เธอก็ด้วย เธอก็เหมือนกันกับฉัน เราต่างเป็นผู้สืบทอดนักล่าผีดิบเหมือนกัน”

“ล้อเล่นอะไรของนายเนี่ย......” เย่หนิงยังคงคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระอยู่ดี

“บ้านเธอยังมีใครเหลืออยู่บ้างหรือเปล่า ?” เฝิงเยี่ยนฮวายถามหยั่งเชิงขึ้น “นอกจากพ่อแม่ของเธอแล้ว... เธอยังมีญาติคนอื่นอยู่อีกบ้างหรือเปล่า ? ถ้าเธอไม่เชื่อก็ลองไปถามพวกเขาดูได้เลย ปู่ย่าตายายก็ได้ หรือไม่ก็ลุงป้าน้าอา หากเธอถามพวกเขาคงรู้แน่นอน”

“เอ่อ......”

เย่หนิงไม่ได้พูดอะไรออกมา

ถึงแม้ปู่ย่าตายายของเธอจะไม่อยู่แล้ว แต่เธอยังมีคุณอาอยู่ เป็นคุณอาหญิงที่อาศัยอยู่ต่างประเทศ

คุณอาของเธอจะรู้เรื่องนี้หรือเปล่านะ ?

เมื่อเห็นสีหน้าของเย่หนิง ในใจของเฝิงเยี่ยนฮวายก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาทันที เขาพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มออกมา “อาหนิง ถ้าเธอยังไม่เชื่อฉัน เธอก็ลองไปถามญาติเธอดูสิ ไม่แน่พวกเขาอาจจะให้คำตอบที่เธอกำลังอยากรู้ก็ได้นะ”

เย่หนิงมองเฝิงเยี่ยนฮวายด้วยท่าทางที่สับสนวุ่นวายเป็นอย่างมากจนพูดไม่ออก ตอนนี้เธอรู้สึกอย่างไรกันแน่ เธอยอมที่จะเชื่อที่เฝิงเยี่ยนฮวายพูด หรือจะไม่ยอมเชื่อเขาดีล่ะ ?

ถ้าเฝิงเยี่ยนฮวายพูดโกหกจริง ก็จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าท่าทางของเขานั้นน่าสงสัย ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ด้วย แต่ถ้าเขาพูดความจริงล่ะ คนใกล้ตัวเธอ...... ในกลุ่มคนที่เธอรู้จักจะมีสิ่งมีสิ่งที่เรียกว่า “ผีดิบ” แฝงตัวอยู่จริง ๆ อย่างนั้นใช่ไหม ?

หลังจากที่ออกมาจากห้องสืบสวน เย่หนิงก็มีอาการเหม่อลอย แม้กระทั่งเสิ่นอี้ที่เข้ามาพูดกับเธอ เธอก็ได้ยินไม่ชัดเจน

“อาหนิง !” เสิ่นอี้รีบตามเย่หนิงไป แล้วดึงตัวของเธอไว้ “อาหนิง นี่คุณจะไปไหน ?”

เย่หนิงหันหน้ากลับมา จ้องมองเขา แล้วก็ถามขึ้นว่า “เสิ่นอี้ คุณคิดว่าบนโลกนี้มีผีดิบอยู่หรือเปล่าคะ ?”