webnovel

ตอนที่ 053

ตอนที่ 53 หิวกระหาย

เย่หนิงคิดสักพัก แล้วถามขึ้นว่า “เล็บยาวที่ยาวขนาดนี้ ถ้าเจ้าตัวไว้เล็บจริง ต้องไว้นานแค่ไหนกันเนี่ย ? เวลาแค่สัปดาห์หรือสองสัปดาห์แน่นอนว่าไม่น่าจะยาวได้ถึงขนาดนี้”

“ก็ใช่น่ะสิครับ” เสิ่นอี้พยักหน้า “ความเร็วของการงอกของเล็บมันช้ามาก หนึ่งสัปดาห์ยังยาวไม่ถึงมิลลิเมตรเลยด้วยซ้ำ ถ้าหากจะอิงตามความยาวเล็บของพวกเขาแล้ว อย่างเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาประมาณสามถึงสี่เดือน และก็ไม่แน่ว่าจะยาวถึงขนาดนี้ด้วย”

เย่หนิงพูดพึมพำออกมา “แต่ผู้ปกครองของพวกเขาต่างบอกว่า ไม่ได้สังเกตว่าลูกของพวกเขาไว้เล็บยาวขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ นี่มันจะแปลกเกินไปหรือเปล่าคะ เล็บยาวขนาดนี้จะไม่มีใครสังเกตเห็นเลยเหรอ จะเป็นไปได้อย่างไรกันคะ อีกอย่างเวลาปกติแล้วใครกันที่จะไว้เล็บได้ยาวขนาดนี้ ทำอะไรมันก็คงไม่สะดวกหรอกใช่ไหมล่ะ หากคนสองคนจะไว้ยาวขนาดนี้ก็คงไม่น่าแปลกอะไร แต่เล็บของคนทั้งสิบกว่าคนนี้ต่างก็ยาวเหมือนกันทั้งหมด นี่คงไม่ได้เป็นเรื่องบังเอิญหรอกใช่ไหม ?”

“ดังนั้นมีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งอย่าง” เสิ่นอี้มองเย่หนิง แล้วพูดขึ้นอย่างช้า ๆ “เล็บของพวกเขาไม่ได้งอกอย่างช้า ๆ แต่ยาวขึ้นมาในเวลาแค่ชั่วพริบตาต่างหาก”

ในใจของเย่หนิงพลันรู้สึกสะดุ้งโหยง

ยาวขึ้นมาในชั่วพริบตาอย่างนั้นหรือ ?

“นักศึกษาทั้งสิบหกคนที่เกิดอาการบ้าคลั่งลุกอาละวาดขึ้นมา มีเพียงแค่พวกเขาเท่านั้นที่เล็บยาวขึ้นมาขนาดนี้ในเวลาแค่แป๊บเดียว”

ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ แต่ก็มีเพียงความเป็นไปได้นี้แค่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ถ้าไม่อย่างนั้นนักศึกษาจำนวนสิบกว่าคนที่ไว้เล็บยาวขนาดนี้กันหมด จะไม่มีใครสักคนเลยหรือที่จะไม่สังเกตเห็น ต้องเป็นเพราะว่าเล็บเพิ่งจะยาวขึ้นมาเมื่อกี้นี้แน่

เสิ่นอี้กำลังวัดเล็บของนักศึกษา “ผมรบกวนเรียกเสียวก่วนมาวัดความยาวให้หน่อยสิครับ”

“ได้ค่ะ” เย่หนิงรีบโทรหาให้ก่วนอี้เลี่ยงเข้ามา

พอหยางปินและคนอื่น ๆ ได้ยินเรื่องนี้ ต่างก็เข้ามาพร้อมกันทั้งหมด เมื่อเห็นเล็บที่ยาวจนน่าตกใจของนักศึกษาทั้งสิบเอ็ดคนแล้ว พวกเขาต่างก็รู้สึกตกใจขึ้นมา

“นี่มันเรื่องอะไรกันครับเนี่ย ?” ก่วนอี้เลี่ยงใช้ไม้บรรทัดวัดที่เล็บของนักศึกษา โดยมีเย่หนิงที่ช่วยยืนบันทึกอยู่ข้าง ๆ

เสิ่นอี้จึงพูดอธิบายขึ้นว่า “ผมกับเย่หนิงกำลังสงสัยว่าเล็บของนักศึกษาเหล่านี้เพิ่งจะยาวขึ้นมา เพราะว่าก่อนหน้านี้ไม่มีใครเลยที่สังเกตเห็นว่าเล็บของนักศึกษายาวขนาดนี้”

หลังจากที่วัดความยาวของเล็บเสร็จเรียบร้อย ทุกคนก็มองตัวเลขที่บันทึกไว้ เล็บที่สั้นที่สุดนั้นมีความยาวสองจุดหกเซนติเมตร ส่วนเล็บที่ยาวที่สุดยาวถึงสามจุดห้าเซนติเมตร

ยาวมากจริง ๆ ด้วย

“ยาวขึ้นมาในเวลาเพียงแป๊บเดียวอย่างนั้นเหรอครับ ?” ลู่เว่ยหน้าซีดลงอย่างทันที “แม่งเอ๊ย แบบนี้มันน่ากลัวชะมัดเลยเนี่ย”

“นี่มันเกิดอะไรกันแน่ ?” หยางปินรู้สึกหัวเสียขึ้นมา “นักศึกษาพวกนี้ก็ยังดี ๆ อยู่เลย ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ?”

นักศึกษาที่ถูกยิงทั้งสองคนยังคงอยู่ตรงนั้น อารมณ์ของผู้ปกครองตอนนี้ยังคงร้อนอยู่ จะเตือนเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง เดิมทีเย่หนิงคิดจะนำศพของนักศึกษาสองคนนั้นกลับไปผ่าชันสูตรดูว่าข้างในมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า แต่เพราะเด็กพวกนี้ถูกตำรวจยิงวิสามัญจนเสียชีวิต ผู้ปกครองของนักศึกษาของสองรายจึงมองตำรวจอย่างพวกเขาอย่างไม่ค่อยเป็นมิตร แค่ไม่เอาชีวิตพวกเขาก็นับว่าดีเท่าไหร่แล้ว แล้วทำไมพวกเขาจะต้องให้ความร่วมมือในงานของตำรวจด้วย

เย่หนิงและคนอื่น ๆ รู้สึกอับจนหนทางเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่ได้อยากให้เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นเลย แต่ตอนนั้นสถานการณ์มันชุลมุนวุ่นวาย ตำรวจที่ยิงปืนก็ต้องคุมสถานการณ์อย่างไม่มีทางเลือก จะไปประณามพวกเขาก็ไม่ได้ เลยจำเป็นต้องสังเวยชีวิตของทั้งสองคนนั้น แต่พวกเขาจะอธิบายได้อย่างไรล่ะ ? ไม่ว่าจะเป็นใครที่ทำได้เพียงแค่ยืนมองคนของตัวเองถูกยิงตายขนาดนี้ ก็คงไม่มีทางใจเย็นลงได้หรอก

ตอนนี้ต่อให้พวกเขาไปพูดปลอบใจก็คงไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว พวกเขาจะพูดอะไรได้อีก ไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไรออกไป ก็เท่ากับเป็นการแก้ต่างให้ตัวเองเสียก็เท่านั้น

ลู่เว่ยกังวลและรู้สึกทุกข์ใจเป็นอย่างมาก “ถ้าหากผ่าชันสูตรศพไม่ได้ ก็คงยากที่จะรู้ว่าทำไมนักศึกษาถึงกลายเป็นแบบนี้”

เสิ่นอี้มองลู่เว่ยครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นอย่างไม่ได้เห็นด้วยหรือปฏิเสธ “ถึงจะผ่าชันสูตรไป ก็ไม่แน่ว่าจะตรวจเจออะไรนะครับ แต่นักศึกษาที่เกิดอาการคลุ้มคลั่งเหล่านั้น ผมเชื่อว่าต้องเป็นเพราะว่าถูกควบคุมด้วยยาอย่างแน่นอน”

ถูกควบคุมด้วยยาอย่างนั้นหรือ ?

ความเป็นไปได้นี้สูงมาก

“แล้วก็......” เสิ่นอี้ครุ่นคิดแล้วพูดขึ้นมา “ตัวยานั่น บางทีอาจจะสามารถควบคุมการเติบโตของแมลงดูดเลือดได้นะครับ”

เย่หนิงรู้สึกอึ้งไป “ศาสตราจารย์เสิ่นคะ ความหมายของคุณก็คือ เป็นเพราะว่านักศึกษาเหล่านี้ได้รับยาบางอย่าง ทำให้การเติบโตของแมลงดูดเลือดในร่างกายนั้นจึงถูกควบคุมอยู่ แต่เพราะยานั่นกลับส่งผลให้พวกเขาเกิดอาการคลุ้มคลั่ง ทำให้พวกเขาถึงได้ลุกขึ้นมาอาละวาดทำร้ายผู้อื่นอย่างนั้นใช่ไหมคะ ?”

“แล้วก็เลือด ดูเหมือนว่าพวกเขาจะกระหายเลือดมากเป็นพิเศษ ไม่อย่างนั้นทำไมพวกเขาถึงไม่ทำร้ายตรงจุดอื่น แต่เจาะจงมาที่คอล่ะ การโจมตีแบบนี้เห็นได้ว่ามีจุดประสงค์อย่างชัดเจน”

“เลือดอย่างนั้นเหรอ ?” เย่หนิงและคนอื่น ๆ ยิ่งรู้สึกตกใจมากกว่าเดิม

“ใช่แล้วครับ” เสิ่นอี้พูดขึ้น “ผมคิดว่าถึงแม้ยาชนิดนั้นจะควบคุมการเติบโตของแมลงดูดเลือดได้ชั่วคราว แต่ความกระหายเลือดสด ๆ นั้นกลับย้ายไปอยู่ในตัวผู้ให้อาศัยของพวกมันแทน ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงล่ะก็ สถานการณ์ก็เห็นท่าจะไม่ดีแล้วล่ะครับ ถ้าหาเลือดสด ๆ ได้ไม่เพียงพอ น่ากลัวว่าแมลงดูดเลือดจะเริ่มดื่มกินเลือดของผู้ให้อาศัยแทนแล้ว”

หยางปินยังคงตกใจไม่หาย “หรือพูดได้อีกอย่างก็คือ ในตอนนี้นักศึกษาเหล่านั้นต้องใช้ชีวิตโดยพึ่งเลือดสด ๆ อย่างนั้นน่ะเหรอครับ ? ถ้าไม่มีเลือดให้พวกเขาอย่างเพียงพอ อีกไม่นานก็จะเป็นอย่างหวังจวิ้นและคนอื่น ๆ คือเสียเลือดมากจนตาย”

“ถูกต้อง” เสิ่นอี้พยักหน้า “มีความเป็นไปได้มากเลยทีเดียว”

หยางปินรู้สึกร้อนใจจนควบคุมไว้ไม่อยู่ “แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ พวกเราควรจะทำอย่างไรดี ? ทางศาสตราจารย์จวงยังไม่มีความคืบหน้าอะไรใช่ไหม”

“เขากำลังวิจัยอยู่ครับ ถ้าหากได้ตัวยานั่นมาจะดีมากเลย” เสิ่นอี้รู้สึกสลดใจ

ตอนนี้พวกเขากำลังทำงานแข่งเวลากับฆาตกรอยู่ รอไม่ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว

“กลับกันเถอะ” หยางปินอารมณ์ปะทุขึ้นมา “ฉันต้องไปถามไอ้เฝิงเยี่ยนฮวายให้แน่ใจ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ! ไอ้เด็กนั่นไม่จริงใจเอาซะเลย กล้าโกหกพวกเราได้ ดูสิว่าฉันจะจัดการกับมันอย่างไรบ้าง !”

เมื่อกลับมาถึงกรมตำรวจ เขาก็เดินพุ่งเข้าในห้องสืบสวนทันที ในห้องเฝิงเยี่ยนฮวายถูกใส่กุญแจมืออยู่ นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายใจเฉิบ

พอเห็นท่าทางของเขาแบบนี้แล้วนั้น หยางปินจึงต่อยเข้าไปที่เขาสองทีอย่างรุนแรงจนเขาล้มลงไปกับพื้น

“โย่ว หัวหน้าหยาง พวกคุณกลับมาแล้วเหรอ !” แต่เฝิงเยี่ยนฮวายกลับยิ้มขึ้นมา “ดูพวกคุณสิ ท่าทางเหมือนกับว่าไปเจอเรื่องยุ่งยากมาอย่างไรอย่างนั้นเลย ?”

“เฝิงเยี่ยนฮวาย !” เสิ่นอี้ชิงเดินมาอยู่ตรงหน้าเขา แล้วพูดขึ้นอย่างเรียบ ๆ “ผมขอเตือนคุณไว้ก่อนว่าทางที่ดีควรให้ความร่วมมือเสียโดยดีดีกว่า ไม่อย่างนั้นคงไม่เป็นผลดีกับตัวคุณแน่”

“ร่วมมืออย่างนั้นเหรอ ?” เฝิงเยี่ยนฮวายขยับมือที่ถูกใส่กุญแจมือตรงเก้าอี้ทั้งสองข้างเล็กน้อย “คุณตำรวจ พวกคุณจะให้ผมร่วมมืออะไรอีกล่ะครับ เมื่อผมช่วยพวกคุณแล้วพวกคุณกลับหาว่าผมเป็นฆาตกรเนี่ยนะ ?”

เสิ่นอี้มองเขาอย่างเย็นชา ไม่พูดอะไรออกมา

“ทำไมครับ ?” ราวกับว่าเฝิงเยี่ยนฮวายรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องตลกขบขันอย่างไรอย่างนั้น “ในเมื่อพวกคุณไม่เชื่อคำพูดของผมก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าหากพวกคุณไม่เชื่อผมแล้วจะมาถามอะไรผมเพื่ออะไรกันอีกล่ะ ?”

“ผีดิบใช่ไหม ?” เสิ่นอี้แสยะยิ้มออกมา “ถ้าอย่างนั้นก็ดี คุณช่วยอธิบายให้ผมฟังหน่อยสิ ผีดิบตัวนั้นมันเกิดขึ้นได้ยังไง ? ผมจำได้ว่าตอนที่อยู่บนเขาคุณเคยพูดไปแล้วใช่ไหมว่าผีดิบมมันไม่ได้ฆ่าตายง่าย ๆ ต้องเอาดาบไม้ท้อตัดศีรษะ จากนั้นก็เอาไปเผาไฟ”

“ใช่ครับ ก็เป็นอย่างนั้น แล้วมีปัญหาอะไรเหรอ ?”

“ถ้าผมดึงแผ่นยันต์ของคุณที่ติดอยู่บนหน้าผากของผีดิบออก แล้วก็ตัดเชือกชุบหมึกทิ้งด้วย มันจะเป็นอย่างไรครับ ?”

สีหน้าของเฝิงเยี่ยนฮวายเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด “พวกคุณคงไม่ได้ทำอย่างนั้นหรอกใช่ไหม ? พวกคุณบ้าไปแล้วหรอ ? รู้ไหมว่าถ้าทำแบบนั้นมันจะเกิดอะไรขึ้น ?”