webnovel

ตอนที่ 049

ตอนที่ 49 ย่อยสลาย

ไม่รอให้จวงหมิงหานตอบกลับมา เสิ่นอี้ก็พูดขึ้น “ถ้ารอจนผลตรวจออกมา ผมว่าจับเพื่อนร่วมชั้นของคุณให้เปิดปากสารภาพแทน ยังจะเร็วเสียกว่า”

เย่หนิงเหลือบมองเสิ่นอี้ “ก็คุณไม่เชื่อคำพูดของเขาเองนี่คะ”

เสิ่นอี้เมินเฉย พูดขึ้นอย่างไม่สนใจ “ผมเชื่อหรือเปล่านั่นไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือคนอื่นจะเชื่อหรือเปล่า ดูเหมือนว่าคุณอยากจะอธิบายกับนักศึกษาและผู้ปกครองไปว่าที่หมู่บ้านมีผีดิบอย่างนั้นสินะครับ ? ใครจะเชื่อล่ะครับ ? ผู้ปกครองพวกนั้นเขาจะเชื่อคุณอย่างนั้นเหรอ ? ผู้ว่าการมณฑลเขาจะเชื่อคุณอย่างนั้นใช่ไหม ?”

“คนสมัยนี้เขาต่างก็เชื่อในหลักการวิทยาศาสตร์กันทั้งนั้น หากคุณให้ข้อสรุปกับพวกเขาอย่างนี้ พวกผู้ปกครองเขาจะคิดอย่างไรล่ะครับ ? ผู้นำระดับสูงเขาจะคิดอย่างไร เขาจะหาว่าพวกเราไร้ความสามารถ ก็เลยหาข้ออ้างโง่ ๆ ขึ้นมา แล้วอย่างไรล่ะครับ นี่คือผลลัพธ์ที่คุณต้องการใช่ไหมครับคุณหมอเย่ ?”

“ฉัน...” เย่หนิงนิ่งชงักไป

เธอไม่ได้คิดถึงขนาดนี้เลยจริง ๆ

เสิ่นอี้พูดขึ้นต่อ “จนกว่าเรื่องนี้จะมีข้อสรุปที่แน่ชัด ก็อย่าพูดอะไรที่ด่วนสรุปจนเกินไปนัก”

จริงด้วย เย่หนิงแอบถอนหายใจกับตัวเอง ถ้าหากยังไม่มีหลักฐานอะไรมาพิสูจน์เรื่องนี้ได้ ตอนนี้พูดอะไรไปก็คงไม่ดีนัก แต่ผีดิบนี่......

เย่หนิงคิดไม่ตกจริง ๆ ผีดิบตัวนี้มันคืออะไรกันแน่

เฝิงเยี่ยนฮวายก็พูดเองไม่ใช่เหรอว่าแผ่นยันต์กับเชือกชุบหมึกนั่นมีไว้ควบคุมผีดิบ ทำไมตอนนี้แผ่นยันต์ก็ดึงออกไปแล้ว เชือกชุบหมึกก็ตัดออกไปแล้ว แต่ศพนั่นก็นอนแน่นิ่งไม่แม้แต่ขยับ ราวกับตายไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น มันคงไม่ได้ตายไปแล้วจริง ๆ หรอกใช่ไหม ?

แต่เฝิงเยี่ยนฮวายก็บอกเองนี่ว่า แผ่นยันต์กับเชือกชุบหมึกนั่นฆ่าผีดิบไม่ได้ ทำได้เพียงแค่หยุดการเคลื่อนไหวไว้ชั่วคราวเท่านั้นเอง คงไม่ใช่เพราะว่าติดแผ่นยันต์นานเกินไปหรือมัดเชือกชุบหมึกไว้เป็นเวลานานเกินไป ผีดิบจึงตายไปจริง ๆ หรอกนะ

หรือว่ามันจะถูกแช่แข็งจนตาย คงเป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง ?

ถ้าหากตายเพราะถูกแช่แข็งจริง ๆ นี่ มันก็คงไม่ใช่ผีดิบแล้วล่ะ

ไม่ใช่ว่ามีเพียงดาบไม้ท้อถึงจะฆ่ามันตายหรอกเหรอ ? แล้วไม่เพียงต้องตัดหัวมันทิ้ง แต่ยังต้องเผาให้สิ้นซากด้วยถึงมั่นใจได้ว่าปลอดภัยไม่ใช่หรือไง แต่ว่าตอนนี้...ไม่ได้ทำอะไรมันเลยนี่น่า

พวกเขาไม่ต้องลงมือทำอะไรเลย แต่ผีดิบนั่นก็ไม่ขยับเสียแล้ว

หรือว่าพวกเขาจะโดนเฝิงเยี่ยนฮวายหลอกเข้าแล้วจริง ๆ ?

จริง ๆ แล้วนี่มันไม่ใช่ผีดิบ

พวกเขาเพียงแค่ถูกเฝิงเยี่ยนฮวายหลอก

แล้วผีดิบที่ว่านี่...เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง !

ถ้าเฝิงเยี่ยนฮวายได้ฆ่า “คน” คนหนึ่งตายลงไปต่อหน้าต่อตาพวกเขาล่ะ ?

ไม่อย่างนั้นทำไมพอดึงแผ่นยันต์ออก ตัดเชือกชุบหมึกทิ้ง มันถึงไม่แม้แต่ขยับเลย

หรือว่า......

ผีดิบตัวนี้ คงไม่ใช่ว่าถูกแช่จนแข็ง เลยขยับไม่ได้ใช่ไหม ? นี่ก็อาจจะเป็นไปได้หรือเปล่า

ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง อย่างนี้พวกเขาก็กำลังตกอยู่ในอันตรายน่ะสิ

เมื่อรอสักพักจนร่างของมันหายแข็ง มันก็จะฟื้นขึ้นมา ตอนนั้นก็คงไม่มีใครสามารถที่จะเอามันอยู่แล้ว ?

เมื่อคิดได้ดังนั้น เย่หนิงก็รีบพูดขึ้นมาว่า “แต่ถ้าเฝิงเยี่ยนฮวายพูดความจริงล่ะคะ ?”

“ความจริง ?” เสิ่นอี้ย้อนถาม “ถ้าอย่างนั้นคุณหมอเย่ คุณอธิบายให้ผมฟังหน่อยสิครับว่าทำไมตอนนี้มันถึงไม่ขยับตัวเลยล่ะ ?”

“มันอาจจะถูกแช่แข็งไว้ชั่วคราวเท่านั้น หากเรารอสักพักจนมันหายแข็ง...ไม่แน่ว่ามะ......มันอาจจะขยับขึ้นมาก็ได้...”

“ทำอย่างนั้นไม่ได้ !” สีหน้าของเสิ่นอี้เปลี่ยนไปอย่างมาก

“แล้วคุณคิดว่าเราควรจะทำยังไงล่ะคะศาสตราจารย์เสิ่น ?” เย่หนิงทำเสียงฮึดฮัดออกมา ทำเอาพวกเขารู้สึกตกใจขนาดนี้ไม่พอ แล้วยังจะมาห้ามพวกเขาทำนู่นทำนี่อีก

“คุณรู้ไหมว่าถ้าทำอย่างนั้นแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น !” เสิ่นอี้เดินไปที่ร่างของศพนั่น “ความเร็วในการย่อยสลายของมันจะเพิ่มขึ้น !”

“อะไรนะ ?” เย่หนิงนิ่งอึ้งไป

ทันใดนั้นพวกจวงหมิงหานสองสามคนก็รีบวิ่งเข้ามา “เกิดอะไรขึ้น ?”

“ศพนี้กำลังย่อยสลาย !”

จริงด้วย ! มันกำลังย่อยสลาย

เย่หนิงก็เห็นเช่นกัน ร่างของผู้ชายคนนี้ กำลังย่อยสลายด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า

“นี่มันเรื่องอะไรกัน” จวงหมิงหานตะโกนขึ้น “ทำไมอยู่ ๆ มันถึงย่อยสลายได้ล่ะ ?”

“เร็วเข้า !” เสิ่นอี้พูดขึ้นอย่างรีบร้อน “รีบเอากลับเข้าไป ! เอาไปแช่แข็งเร็วเข้า !”

คนเหล่านั้นช่วยกันจับแขนขาของศพกันเป็นพัลวัน เร่งรีบจะเอาศพใส่กลับเข้าไปในถุง แต่คิดไม่ถึงว่าระดับการย่อยสลายของศพร้ายแรงกว่าที่พวกเขาจินตนาการไว้ พอเอามือจับ มันทั้งลื่นทั้งเยิ้ม สักพักเนื้อหนังของศพก็หลุดออกมา ไม่สามารถจับเอาไว้ได้อยู่ ทุกคนต่างตกใจจนพูดไม่ออก ไม่ทันเสียแล้ว

เพียงในเวลาสั้น ๆ ไม่กี่นาทีนั้น ศพที่ตัวใหญ่ขนาดนี้กลับกลายเป็นคราบน้ำหนอง กลิ่นเหม็นร้ายกาจนั่นทำเอาพวกเขาแทบจะลมจับทีเดียว

เย่หนิง เสิ่นอี้ และจวงหมิงหานยังคงมีท่าทางปกติ แต่ลู่เว่ยกับเหลียงเซิงไม่สามารถที่จะทนไหวแล้ว เขาสองคนรีบพุ่งไปที่ห้องน้ำด้วยความรวดเร็ว อาเจียนกันออกมาอย่างหนักด้วยกันทั้งคู่

กลิ่นเหม็นนั่นรุนแรงมากจริง ๆ พวกเย่หนิงไม่กล้าที่จะเข้าใกล้ ต่างกลั้นหายใจ รีบวิ่งออกไปจากห้องชันสูตรศพเพื่อสูดอากาศกันเสียยกใหญ่

“นี่มันเรื่องเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ศะ...ศพนี้ทำไมอยู่ ๆ ถึงย่อยสลายจนเป็นแบบนี้ได้ล่ะ ?” เมื่อเย่หนิงนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้นี้ เธอก็ยังคงรู้สึกสะอิดสะเอียนไม่หาย

ยังดีที่เธอเป็นหมอนิติเวชมาหลายปี พบเจอคดีฆาตกรโรคจิตน่าขยะแขยงมาไม่น้อย ไม่อย่างนั้นก็คงตกใจกลัวแทบตายแล้ว

แต่ถึงแม้เธอจะทำงานเป็นหมอนิติเวชมาหลายปีก็จริง แต่ภาพที่แปลกประหลาดชวนขนลุกขนาดนี้ เธอจะไปเคยเห็นได้ยังไงกันเล่า ?

ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีนั้น ศพนี้เน่าเปื่อยจนกลายเป็นกองน้ำหนองส่งกลิ่นเหม็นร้ายกาจแผ่ซ่านไปทั้งบริเวณ

เธอล้างมืออยู่สิบกว่าครั้ง ล้างจนหนังมือแทบจะถลอก แต่กลิ่นเหม็นนั่นก็เหมือนยังติดแน่นอยู่ ได้กลิ่นเมื่อไหร่ก็รู้สึกเหม็นเมื่อนั้น

“น่าขยะแขยงชะมัดเลย” ลู่เว่ยเดินออกมาจากห้องน้ำ น้ำหูน้ำตาไหลเต็มหน้าไปหมด “นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย น่าขยะแขยงเป็นบ้าเลย ผมรู้สึกเหมือนพวกเรากำลังถ่ายหนังสยองขวัญยังไงก็ไม่รู้ พวกเราคงไม่ได้เข้าไปอยู่ในหนังผีอะไรเทือกนั้นใช่ไหมครับ ?”

“ศาสตราจารย์ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ ?” เหลียงเซิงถามขึ้น “ทำไมศพถึงเน่าเปื่อยจนกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างกะทันหันล่ะครับ ? เละไม่มีชิ้นดีเลย”

ลู่เว่ยพูดเสริมขึ้น “ให้ผมเดานะ มันโดนน้ำกรดหรือเปล่าครับ ? แม้กระทั่งกระดูกยังหายเกลี้ยงไปหมดเลย ยังดีที่เมื่อตะกี้พวกเราสวมถุงมือไว้...แหวะ...” พอคิดถึงภาพที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ ลู่เว่ยก็รู้สึกสะอิดสะเอียนขึ้นมาอีกแล้ว

จวงหมิงหานมองไปที่เสิ่นอี้ ก็เห็นเขาส่ายหัว ราวกับบอกว่าตนเองก็ไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นกัน

“นี่มันเรื่องประหลาดชัด ๆ” จวงหมิงหานพูดกับตัวเอง “ทำไมแม้แต่กระดูกยังสลายหายไปหมดเลยล่ะ ?”

พวกเขายังพยายามที่จะหาเหตุผลมาปลอบตัวเองเกี่ยวกับเรื่องผิดหนังที่เน่าเปื่อยนี้ แม้แต่กระดูกยังกลายเป็นน้ำหนอง แบบนี้พูดไม่ออกเลยจริง ๆ

อีกทั้งพวกเขายังไม่ได้แม้แต่จะทำอะไรกับศพเลยด้วย

ในห้องทดลองก็คงไม่มีอะไรที่สามารถทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีแบบนี้กับศพได้

จวงหมิงหานยิ้มเจื่อน ๆ ออกมา “ฉันว่าเรื่องนี้ พวกนายต้องไปถามเฝิงเยี่ยนฮวายคนนั้นให้รู้เรื่องแล้วล่ะ”

เสิ่นอี้พยักหน้า พูดด้วยเสียงหนักแน่น “หัวหน้าหยางกลับไปที่หมู่บ้านว่างยาชุนแล้ว เขาคงน่าจะพาตัวเฝิงเยี่ยนฮวายคนนั้นกลับมาด้วยตนเอง”

ผลการทดลองก็ยังไม่ออกมา นอกจากรู้ว่าแมลงดูดเลือดพวกนี้พออยู่ในเลือดก็จะแบ่งตัวแพร่พันธุ์แบบสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวแล้ว ก็ไม่มีความคืบหน้าใด ๆ อีกเลย

ในน้ำเมือกกับเนื้อเน่าเฟะที่ตัดออกมาจากร่างของผีดิบนั่นก็ตรวจสอบไม่เจออะไร และไม่มีอะไรอย่างอื่นที่พิเศษปรากฏออกมาด้วย แม้กระทั่งพวกเขาลองเอาแมลงดูดเลือดใส่ลงไปในผีดิบที่ละลายกลายเป็นน้ำหนองแล้ว แมลงดูดเลือดกลับยังคงมีชีวิตอยู่ ชีพจรปกติ ไม่มีร่องรอยอ่อนกำลังลงแต่อย่างใด

เวลานี้จวงหมิงหานยังหาทางแก้ไขไม่ได้ อีกทั้งยังไม่สามารถที่จะรีบร้อนด่วนสรุปอะไรออกมาได้ ได้แต่เก็บตัวอย่างทั้งหมดกลับไปเก็บปิดผนึกไว้ เพื่อจะทำการสังเกตอีกรอบเมื่อเวลาผ่านไป ดูว่าเมื่อแมลงดูดเลือดอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต่างกันนัน จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง