ตอนที่ 22 เงาสีดำ
“โกดัง โกดัง...” ร่างเล็ก ๆ ของหลี่ฉิง กลับสั่นเทาขึ้นมาอย่างกะทันหัน ปากของเธอสั่นไม่หยุด พูดออกมาไม่เป็นประโยค
“ไม่ต้องกลัว” เสิ่นอี้ปลอบด้วยเสียงที่อ่อนโยน “บอกผมมา คุณมองเห็นอะไรกันแน่ ?”
“เงา...เงา...เงาสีดำ...” หลี่ฉิงเหมือนกำลังนึกถึงเรื่องที่เจ็บปวด เห็นชัดว่าสำหรับเธอแล้ว ความทรงจำนี้เป็นสิ่งที่เธอผ่านมาได้ด้วยความหวาดผวาสุดขีด เธอไม่อยากจะนึกถึงมันขึ้นมาอีกเลย
“เป็นเงาสีดำอะไรครับ ?” เสิ่นอี้ถามต่อ “ไม่ต้องกลัวนะ บอกผมมานะครับ ไม่เป็นไร ผมยังอยู่ตรงนี้ ใครก็ทำร้ายคุณไม่ได้ คุณบอกผมมาสิครับ ว่ามันคืออะไรกันแน่ ?”
“หนู...หนูไม่รู้...เงาสีดำ...เงาสีดำอันหนึ่ง...หนูเห็นไม่ชัด...เป็นเงาสีดำใหญ่ ๆ...มัน มันลากพวกเขาไป...”
“มันลากใครไป ?”
“เงาสีดำ...เป็นเงาสีดำ...เงาสีดำ...” หลี่ฉิงยังพูดแต่คำเดิมซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด
“หลี่ฉิง ไม่ต้องกลัว ไม่มีอะไรแล้ว ตอนนี้คุณแค่บอกผม เงาสีดำนั่นลากใครไป ?”
“เขา พวกเขา...”
“พวกเขานั่นมีใครบ้างครับ”
“หวังจวิ้น...จาง จาง...”
“จางหลิงคุนใช่ไหม ?”
หลี่ฉิงนิ่งเหม่อลอย ไม่ตอบอะไร
เสิ่นอี้จึงได้แต่ถามต่อไป “เป็นจางหลิงคุนใช่ไหม ? เงาสีดำนั่นลากพวกเขาออกไปใช่ไหมครับ ?”
“จางหลิงคุน แล้วก็ แล้วก็ฟางอี้...พวกเขาสามคน พวกเขาสามคนถูกเงาสีดำลากตัวไป”
หลี่ฉิงพูดไป สีหน้าก็ฉายความหวาดกลัวออกมา “แล้วก็หนู หนูเห็นมันแล้ว มันไม่ปล่อยหนูไว้แน่ มันต้องลากหนูไปแน่ มัน มันไม่มีทางปล่อย..”
“ไม่หรอก” เสิ่นอี้รีบตัดคำพูด แล้วปลอบหล่อน “คุณวางใจเถอะ ตอนนี้คุณอยู่ที่นี่ คุณปลอดภัยแล้ว มันหาคุณไม่เจอหรอก ไม่มีทางลากคุณออกไปแน่”
“ไม่ ไม่...” หลี่ฉิงตะโกนอย่างเสียงดังออกมาทันที “พวกคุณไม่รู้อะไร ! มันมาได้ ! มันต้องหาที่นี่เจอแน่ มันต้องลากหนูไปแน่ ๆ”
เสียงตะโกนของหลี่ฉิงนั้นช่างบาดหูยิ่งนัก ทำเอาเย่หนิงอยากจะสยบเธอลงเสียเอง
“หลี่ฉิง !” เสิ่นอี้เพิ่มระดับเสียงพูดขึ้นมาทันที “ไม่มีทาง...คุณเชื่อผมสิ ! ...มันไม่มาหรอก”
“ไม่ ไม่ ไม่” หลี่ฉิงส่ายหน้าอย่างแรง “มันมาแน่ ๆ มันไม่มีทางปล่อยพวกเราไว้หรอก พวกเราจะต้องตาย พวกเราจะต้องตายกันทั้งหมด !”
“หลี่ฉิง” เสิ่นอี้พูดขัดเธออีกครั้ง น้ำเสียงของเขาเริ่มที่จะรุนแรงขึ้น “คูณรู้หรือเปล่าว่ามันคืออะไร ?”
หลี่ฉิงหยุดชะงักทันที ร่างเล็ก ๆ ของเธอสั่นหนักยิ่งกว่าเดิม เย่หนิงก็รู้สึกได้ว่าเธอกำลังกลัวถึงขีดสุด โดยเฉพาะเมื่อได้ยินเสิ่นอี้พูดประโยคสุดท้ายจบ หลี่ฉิงหวาดกลัวจนพูดไม่ออกอย่างเห็นได้ชัด
ทำไมเธอถึงได้กลัวขนาดนี้ ?
หรือว่าถูกเสิ่นอี้พูดจี้จุดเข้าให้ หลี่ฉิงรู้ว่ามันเป็นอะไรอย่างนั้นเหรอ ?
เงาสีดำ ? เย่หนิงขมวดคิ้ว หลี่ฉิงบอกว่าตัวเองเห็นไม่ชัด แต่กลับรู้ว่ามันเป็นอะไร
หรือว่าที่จริงแล้วหลี่ฉิงรู้ว่ามันเป็นอะไร เพียงแต่ไม่กล้าพูดออกมา เธอเลยบอกว่าไม่รู้ ?
มันคืออะไรกันแน่ ที่ทำให้หลี่ฉิงกลัวได้ขนาดนี้ ?
หล่อนแอบมองไปที่เสิ่นอี้ เมื่อเห็นท่าทีที่เคร่งเครียดของเขา ก็เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้คงอยู่เหนือความคาดหมายของเขาไปเสียหน่อย
จัดการไม่ได้งั้นหรือ ?
เย่หนิงเริ่มที่จะกังวลขึ้นมาแล้ว อยากจะถามเขาแต่ก็กลัวว่าจะเป็นการรบกวน จึงทำได้แต่เพียงอดกลั้นไม่ส่งเสียงใดใดออกมา
“หลี่ฉิง” เสิ่นอี้ลดเสียงต่ำลง “คุณต้องบอกผม ไม่อย่างนั้นผมก็ไม่รู้ว่าจะช่วยคุณยังไง ?”
“ไม่ คุณช่วยหนูไม่ได้หรอก...” หลี่ฉิงเริ่มที่จะร้องไห้ขึ้นมา
“ผมช่วยคุณได้แน่ แต่ก่อนอื่นคุณต้องบอกผมเกี่ยวกับเรื่องราวทุกอย่างก่อนนะครับ ไม่อย่างนั้นผมก็ไม่รู้ว่าจะช่วยคุณได้ยังไง”
“มีผี มีผี...มีผีอยู่ในโกดังนั่น” หลี่ฉิงเริ่มพูดไม่รู้เรื่องอีกครั้ง ถามมาตั้งนานแต่ก็เหมือยกับวนไปที่จุดเดิมอีกครั้งหนึ่ง
“ไม่ใช่ผี แต่เป็นคน ใช่ไหมครับ !” เสิ่นอี้ยังคงถามต่อ “จริง ๆ แล้วคุณเห็นรูปร่างของฆาตกรใช่ไหมครับ ? คุณรู้ใช่ไหมว่าใครคือฆาตกร ? แต่ที่คุณไม่กล้าพูดออกมาเพราะคุณกลัวว่าอีกฝ่ายจะตามมาทำร้ายคุณใช่ไหมครับ ?”
ร่างของหลี่ฉิงสั่นเทิ้ม เธอรีบปฏิเสธขึ้นทันที “ไม่ หนูไม่รู้ หนูไม่รู้ว่าเป็นใคร...หนูมองไม่เห็น...ผี มีผีจริง ๆ...หนูเห็นตัวเอง...หนูเห็นศพของตัวเอง...”
ประโยคเมื่อกี้นี้ที่หลี่ฉิงพูดออกมา ทำให้พวกเย่หนิงยิ่งจับต้นชนปลายไม่ถูก เมื่อกี้นี้ยังพูดถึงเงาสีดำอะไรนั่นอยู่เลย ทำไมอยู่ ๆ ถึงเปลี่ยนเป็นมองเห็นศพของตัวเองได้ล่ะ
ที่เธอเห็นนั่นต้องเป็นศพของคนอื่นสิ ? จะเห็นศพของตัวเองได้อย่างไรกัน ?
ในใจของเย่หนิงนั้นคิดว่าหลี่ฉิงคงหวาดกลัวจนสมองเลอะเลือนไปแล้ว เธอจะมองเห็นศพของตัวเองได้ยังไง แต่นึกไม่ถึงว่าเสิ่นอี้กลับเอาคำพูดของเธอมาคิดเป็นจริงเป็นจัง เขาถามหลี่ฉิงต่อทันที “คุณมองศพตัวเองที่ไหนครับ ?”
เขาบ้าไปแล้วหรือไง ? เย่หนิงตะลึงอ้าปากค้าง หลี่ฉิงสภาพจิตไม่ปกติแบบนี้ แม้แต่เสิ่นอี้ก็เป็นไปกับเธอด้วยเหรอเนี่ย นี่ตกลงว่าใครสะกดจิตใครอยู่กันแน่หะ ?
“หนู... หนู...” หลี่ฉิงเริ่มตั้งใจนึกอย่างจริงจังขึ้นมา เห็นท่าทางแบบนี้ของเธอแล้ว ราวกับเรื่องที่เธอพูดเมื่อสักครู่นั้นเป็นความจริง
เย่หนิงอับจนคำพูด คำถามแบบนี้ ยังต้องถามต่ออีกหรือ ?
“ในบ้าน...” หลี่ฉิงพึมพำออกมาเบา ๆ “หนูเห็นศพตัวเอง อยู่ตรงระเบียง แถมเธอยังมองหนูด้วย...”
ลู่เว่ยทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ “เธอกำลังพูดจาไร้สาระอะไรอยู่เนี่ย !”
เสิ่นอี้จ้องเขม็งไปที่เขา ทำให้ลู่เว่ยจึงรีบหุบปากลง
หลี่ฉิงยังคงพึมพำกับตัวเองอยู่
เสิ่นอี้จึงรีบถามขึ้นต่อ “นอกจากนี้แล้วคุณยังเห็นอย่างอื่นอีกไหมครับ ? บนระเบียง นอกจากศพของคุณแล้ว ยังเห็นอะไรอีกบ้างไหม ?”
“เงาสีดำ !” หลี่ฉิงร้องตะโกนขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว “เงาสีดำ ! มัน มันมาแล้ว ! มันจะฆ่าหนู ! หนูรู้ มันไม่ปล่อยหนู มันไม่ปล่อยหนูไว้แน่ ! เป็นมัน ต้องเป็นมันที่ฆ่าพวกฟางอี้ ! มันไม่ปล่อยหนูหรอก คนต่อไปก็คือหนู...คนต่อไปก็คือหนู...”
“พอแล้ว ไม่มีอะไรแล้ว ! หลี่ฉิง ไม่ต้องกลัว ! มันตายไปแล้ว ไม่มาอีกแล้ว ! คุณสบายใจเถอะ มันไม่มาหาคุณแล้ว !” เสิ่นอี้พูดปลอบด้วยความอ่อนโยน
“เงาสีดำ... เงาสีดำ...” หลี่ฉิงพึมพำออกมา
“ไม่เป็นไรแล้ว คุณนอนพักสักหน่อยนะครับ พอคุณตื่นมา ทุกอย่างจะเหมือนเดิม ไม่มีอะไรแล้วนะ” เสิ่นอี้ยังคงสะกดจิตเธอต่อไป
เงาสีดำอีกแล้วงั้นหรือ ? เย่หนิงขมวดคิ้วแน่น นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย !
ถ้าฆาตกรอยู่ในหมู่นักศึกษาจริง ๆ เขาเป็นใครกันแน่ ? แล้วมีเหตุผลอะไร ถึงได้ฆ่าคนอย่างต่อเนื่องมากขนาดนี้ ?
เย่หนิงกับหยางปินต่างมองหน้ากัน เสิ่นอี้ถอนหายใจออกมาพร้อมกับยืนขึ้น “พอแค่นี้ก่อนละกันนะครับ”
ท่าทางของเขาอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด การสอบถามครั้งนี้ สำหรับเขาแล้วดูท่าคงไม่ง่ายเลย
“ผู้ป่วยไม่มีท่าทีที่จะผ่อนคลายอารมณ์ลงเลย คงซักถามต่อไปไม่ได้จริง ๆ” เสิ่นอี้มองหลี่ฉิงที่นอนหลับตาลงไปแล้ว พลางพูดว่า “ให้เธอพักผ่อนสักหน่อยจะดีกว่า”