webnovel

ตอนที่ 021

ตอนที่ 21 ในโกดังนั่นมีอะไร ?

“พูด...พูดว่าอะไร…ดิฉันเองก็ได้ยินไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ อีกทั้งเธอก็พูดเร็วมากด้วย มีแต่คำพูดแปลก ๆ ทั้งนั้นเลย ลากออกไปอะไรสักอย่างนี่แหละ”

“กรี๊ด !” ทันใดนั้นหลี่ฉิงก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดัง ทำเอาทุกคนสะดุ้งไปตาม ๆ กัน เธอกรีดร้องขึ้นมาอย่างไม่หยุด “ลากออกไปแล้ว ! ผี ! พวกเขาโดนผีลากไปแล้ว ! โดนผีลากตัวไปแล้ว ! มีผี ! มีผี ! ตรงนั้นมีผี ! โกดังนี้มันมีผี...”

พวกเขาต่างมองหน้ากัน สีหน้าของทุกคนล้วนเปลี่ยนไปหมด

คำพูดสั้น ๆ เหล่านั้น ทำให้ทุกคนต่างก็คิดกันไปต่าง ๆ นา ๆ

พวกเขาโดนผีลากตัวไปแล้ว

มีผีอยู่ในโกดัง

พวกเขาคือใคร ? พวกหวังจวิ้นงั้นหรือ หรือว่ามีคนอื่นด้วย ?

โกดังนี่มันโกดังของที่ไหน ? ใช่โกดังที่หมู่บ้านว่างยาชุนหรือเปล่า ?

แล้ว “ผี” ที่หลี่ฉิงพูดถึงตลอดเวลามันคืออะไรกันแน่ ?

แน่นอนว่าพวกเขาไม่ทางเชื่อประโยคน่าขันอย่างเช่นบนโลกนี้มี “ผี” อยู่อะไรทำนองนั้นหรอก หลี่ฉิงคงแค่กลัวอะไรบางอย่างจนทำให้พูดไม่รู้เรื่องเช่นนี้ แต่ว่ามีบางสิ่งที่สามารถมั่นใจได้ก็คือ หลี่ฉิงคงเห็นอะไรบางอย่างเข้าแน่ ๆ ไม่เช่นนั้นเธอคงไม่มีอาการหวาดกลัวถึงขนาดนี้

พยาบาลสองสามคนเข้ามาช่วยยึดตัวของหลี่ฉิงให้อยู่กับที่ เห็นหลี่ฉิงตัวเล็ก ๆ แบบนี้ แต่เธอกลับมีพละกำลังมากมายจนน่าตกใจ ขนาดถูกพยาบาลรั้งตัวไว้ก็ยังดิ้นรนสุดชีวิต ถ้าขืนปล่อยไว้แบบนี้อีกไม่นานเธอคงสลัดจนหลุดออกมาได้แน่ เย่หนิงจึงรีบเข้าไปช่วย แต่ไม่คิดว่าอยู่ ๆ หลี่ฉิงจะอ้าปากเข้ามากัดเธอเช่นนี้

“พี่เย่ระวัง !” ลู่เว่ยตะโกนเสียงดังแล้วพุ่งเข้าไปผลักเย่หนิงออก หลี่ฉิงจึงกัดได้เพียงแต่ลม สีหน้าของเธอดูดุร้าย เอาแต่หันหน้ากัดไปรอบ ๆ ตัว เมื่อหยางปินเห็นว่าพยาบาลทำท่าจะเอาไม่อยู่แล้ว จึงได้เรียกตำรวจเข้ามาช่วย จากนั้นไม่นานก็สามารถจับหลี่ฉิงกดลงกับพื้นได้ แล้วใส่กุญแจมือเธอเอาไว้

พ่อแม่ของหลี่ฉิงมีอาการตกใจกลัวอย่างเห็นได้ชัด ได้แต่นั่งอ้าปากตาค้าง แต่พอเมื่อเห็นหลี่ฉิงถูกใส่กุญแจมือก็ได้สติขึ้นมาทันที รีบพุ่งเข้ามาแล้วพูดขึ้นทั้ง ๆ ที่ยังคงร้องไห้อยู่ “คุณตำรวจคะ พวกคุณอย่าจับลูกสาวเราเลยนะ เธอก็แค่หวาดกลัวเท่านั้นเอง”

หยางปินจับต้นแขนของหลี่ฉิงไว้อย่างแน่นหนา ไม่ปล่อยให้หลุดออกไปได้ “พวกคุณวางใจเถอะครับ พวกเราไม่ได้จับคนสุ่มสี่สุ่มห้า เราเห็นว่าอารมณ์ของเธอแปรปรวนเกินไป อาจจะทำร้ายคนอื่นหรือตัวเธอเองได้ ก็เลยคุมตัวเธอไว้ชั่วคราวเท่านั้นเองครับ”

“มีผี ! มีผีอยู่ ! ในโกดังมีผีอยู่ ! ในโกดังมีผีอยู่จริง ๆ นะ !” หลี่ฉิงยังคงพูดซ้ำไปซ้ำมาไม่เป็นภาษา

“ให้ผมลองคุยกับเธอดูดีกว่านะครับ” อยู่ ๆ เสิ่นอี้ก็เดินเข้ามา มองผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นแล้วพูดขึ้นว่า “แต่ว่าในห้องนี้มีคนเยอะเกินไป เธออาจจะรู้สึกกดดันได้ คุณหลี่ คุณนายหลี่ครับ แล้วก็ท่านประธานโจว รบกวนพวกคุณช่วยออกไปรอข้างห้องสักครู่ได้ไหมครับ เสียวหม่า พวกคุณก็ด้วย ! หัวหน้าหยาง เสี่ยวลู่ พวกคุณช่วยดูเธอหน่อย ส่วนคุณหมอเย่...คุณมาช่วยผมจดบันทึก”

เย่หนิงชะงักไป “ศาสตราจารย์เสิ่นคะ คุณจะถามอะไรเธอเหรอ ?”

“สะกดจิตน่ะ” เสิ่นอี้พูดขึ้นเรียบ ๆ “ สภาพของหลี่ฉิงในตอนนี้ คงต้องใช้การสะกดจิตช่วยให้เธอผ่อนคลายขึ้น ถึงจะสามารถถามเรื่องราวต่าง ๆ กับเธอได้”

เย่หนิงกับหยางปินเข้าใจได้ในทันที เวลาที่พวกเขาต้องสอบปากคำ โดยปกติแล้วถ้ามีคนมาก ๆ อยู่ด้วย จะทำให้ทำงานไม่สะดวกนัก ดังนั้นเสิ่นอี้จึงหาเหตุผลให้คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปจากห้องเสียก่อน

“นี่...” เห็นได้ชัดว่าพ่อแม่ของเธอไม่ค่อยจะวางใจเท่าไหร่นัก

หยางปินจึงรีบพูดขึ้นมา “คุณหลี่ คุณนายหลี่ พวกคุณวางใจได้เลยครับ ศาสตราจารย์เสิ่นเป็นนักจิตวิทยาที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในประเทศเลยนะครับ ถ้าหากให้เขาเข้ามาช่วย อาการของหลี่ฉิงก็อาจจะดีขึ้นมาก็ได้ อีกทั้งยังมีพวกเราคอยดูอยู่ข้าง ๆ รับรองว่าไม่เป็นอะไรแน่นอนครับ”

ท่านประธานโจวพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราคงต้องรบกวนศาสตราจารย์เสิ่นแล้วล่ะครับ”

ในเมื่อหัวหน้าหยางกับท่านประธานโจวพูดมาขนาดนี้แล้ว พ่อแม่ของหลี่ฉิงก็คงไม่กล้าพูดอะไรอีก “ถ้าอย่างนั้นคงต้องรบกวนคุณแล้ว ศาสตราจารย์เสิ่น พวกเราขอฝากลูกสาวด้วยนะครับ ศาสตราจารย์เสิ่น หัวหน้าหยาง พวกคุณต้องช่วยลูกสาวเราให้ได้นะ”

หยางปินพยักหน้าอย่างจริงจัง “แน่นอนครับ”

หลังจากที่พ่อแม่ของหลี่ฉิงออกจากห้องไปได้สักพัก เย่หนิงก็ทำตามคำขอของเสิ่นอี้โดยการปิดประตูห้อง รวมทั้งลดม่านหน้าต่างทั้งสองฝั่งลง เธอหยิบเครื่องบันทึกเสียงขนาดพกพาออกมาเพื่อทำการบันทึก ทันใดนั้นก็ได้ยินเสิ่นอี้พูดขึ้นมาว่า “ปิดไฟให้หมด เหลือไว้แต่ไฟตรงหัวเตียงก็พอแล้วครับ”

“อ่าฮะ” เย่หนิงไม่รู้สาเหตุที่ต้องทำเช่นนี้ ได้แต่เพียงปิดไฟลง สักพัก...ในห้องผู้ป่วยก็มืดสลัวขึ้นมา ไม่รู้ว่าเปิดแอร์จนเย็นเกินไปหรือเปล่า ทำไมอยู่ ๆ เธอถึงได้รู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาได้นะ

หลังจากนั้นก็มองไปรอบ ๆ ...

นี่คือเขากำลังที่จะเตรียมสะกดจิตแล้วใช่ไหม ?

ทำไมรู้สึกเหมือนเขากำลังจะนั่งทางในอย่างไรอย่างนั้นเลยล่ะ

“หนาวชะมัด !” เย่หนิงอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา

เสิ่นอี้มองเธอเพียงแวบเดียว พลางถอดเสื้อเชิ้ตของเขาส่งให้ “ใส่ซะสิ”

เย่หนิงรับเสื้อเชิ้ตมาจากเขา แล้วมองเขาที่สวมแต่เพียงเสื้อกล้าม โดยไม่ได้พูดอะไรออกมา

เขาถอดเสื้อออกแล้ว เธออยากจะบอกเขาว่าไม่ต้อง แต่ก็อดที่จะรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาไม่ได้ จึงได้แต่รีบนำเสื้อมาสวม

ลู่เว่ยขยิบหูขยิบตาให้เธอ ปากของเขาขยับเพียงเล็กน้อยเหมือนจะพูดออกมาว่า ไม่เลว ๆ อนาคตไปได้ไกลชัวร์

อนาคตอะไรกันห๊ะ !

เธอรู้สึกเหมือนกับว่าถูกเสิ่นอี้คนนี้ทำให้ปั่นป่วนจนแทบจะเป็นบ้าเข้าไปทุกทีแล้ว !

หลี่ฉิงที่ถูกหยางปินกับลู่เว่ยคุมตัวไว้ก็ยังคงดิ้นอยู่ สีหน้าไม่มีความหวาดกลัวเหมือนเมื่อสักครู่แล้ว แต่กลับกลายเป็นความโมโหฉุนเฉียว ราวกับโกรธแค้นจนอยากจะกระโจนกัดคอพวกเขาให้ตายขึ้นมาแทน

เมื่อเห็นเด็กผู้หญิงคนนั้นดิ้นไปดิ้นมาแบบนี้ เย่หนิงก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกที่แปลก ๆ ขึ้นมา

เสิ่นอี้เดินไปนั่งตรงด้านหน้าของหลี่ฉิง ตั้งใจมองดวงตาคู่นั้นของเธอ

เย่หนิงรู้สึกได้ว่า ตอนนี้อารมณ์ของหลี่ฉิงฉุนเฉียวมาก ฉุนเฉียวมากจริง ๆ

ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้ล่ะ ?

ยังดีที่ตอนนี้หลี่ฉิงถูกใส่กุญแจให้นั่งอยู่บนเก้าอี้ ไม่อย่างนั้นเย่หนิงคงกังวลเล็กน้อย เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เธออาจจะกระโจนขึ้นมากัดคอเสิ่นอี้เข้า

พอนึกถึงท่าทางเมื่อกี้ที่เธออ้าปากจะพุ่งเข้ากัดแล้ว ในใจของเย่หนิงก็รู้สึกกลัวขึ้นมา ตอนนั้นมันน่ากลัวมากจริง ๆ

แต่เสิ่นอี้กลับมีท่าทีที่สงบนิ่ง เขามองหลี่ฉิงอย่างเงียบ ๆ หลังจากนั้นก็ถามขึ้นด้วยความอ่อนโยนว่า “คุณชื่อหลี่ฉิงใช่ไหมครับ ?”

เสียงของเขานั้นทั้งเบาทั้งอบอุ่น ราวกับธารน้ำที่กำลังไหลเอื่อย ๆ

เสียงนั่น เมื่อเย่หนิงฟังแล้วรู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่เลย

หลี่ฉิงกลับเงียบขึ้นมาทันที มองจ้องเสิ่นอี้ด้วยสายตาที่เหม่อลอย

นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย ? ถามเพียงประโยคเดียว ก็ทำให้เธอนิ่งงันได้เสียแล้ว !

เย่หนิงมองด้วยความตกตะลึง นี่มันอะไรกันเนี่ย ? แผนหนุ่มหล่อพิฆาตงั้นเหรอ ? เป็นไปได้ไหมที่เสิ่นอี้จะใช้ความหล่อ (หรือสวย) ทำให้ฝ่ายตรงข้ามมึนงงน่ะ ?

แต่ว่าหน้าตาที่งดงามอย่างเขานี่ การที่จะทำให้สาวน้อยผู้อ่อนต่อโลกหลงใหล นับว่าไม่ใช่เรื่องยากอะไรเท่าไหร่หรอก

ยังสะกดจิตอยู่นี่นา ! เย่หนิงบุ้ยปาก

พอเห็นว่าในที่สุดหลี่ฉิงก็สงบลงได้ หยางปินกับลู่เว่ยก็ค่อยๆ ถอนหายใจอย่างโล่งอกขึ้นออกมา โดยเฉพาะลู่เว่ย เห็นได้ชัดว่าสายตาที่เขาใช้มองเสิ่นอี้นั้นมันไม่เหมือนเดิมแล้ว ในใจมีคำอยู่เพียงสองพยางค์ว่า เจ๋งโครต !

เสิ่นอี้เอาแต่จ้องมองที่ดวงตาของหลี่ฉิงโดยที่ไม่ยอมละสายตา เสียงของเขาอ่อนโยนมากกว่าเดิม “มองตาของผมสิ...ใช่ อย่างนั้นแหละ...บอกผมสิ ว่าคุณชื่ออะไร ?”

ปากของหลี่ฉิงเริ่มที่จะขยับเล็กน้อย ผ่านไปไม่กี่วินาที ก็พูดขึ้นมาสองพยางค์ว่า “หลี่ฉิง”

“หลี่ฉิง...คุณบอกผมได้ไหมครับ คืนวันนั้น ในโกดัง คุณเห็นอะไรกันแน่ ?”

ทันใดนั้นสีหน้าของหลี่ฉิงเปลี่ยนไปในทันที