webnovel

ตอนที่ 012

ตอนที่ 12 เหตุการณ์แปลกๆ

เมื่อเสิ่นอี้มาถึงห้องประชุม หยางปินก็แนะนำตัวเองกับเขาด้วยท่าทีที่โอ้อวด แต่ว่าหยางปินพูดอะไรบ้างนั้น เย่หนิงกลับฟังไม่เข้าหูเลยสักนิด เธอเอาแต่มองเสิ่นอี้ด้วยอาการเหม่อลอย ในหัวเอาแต่คิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอแสดงความรู้สึก “ตกใจ” มากเกินไปหรือเปล่า เพราะเสิ่นอี้เอาแต่มองมาตรงที่เธอนั่งอยู่หลายครั้ง คิ้วคู่งามของเขาขมวดเข้าหากันแน่น สีหน้าแสดงถึงความไม่ค่อยพอใจนัก ตำรวจคนอื่นต่างก็เห็นความผิดปกติของเย่หนิงนี้ โดยเฉพาะหยางปินที่เริ่มจะมีอาการไม่พอใจมากขึ้นกว่าเดิม เขาส่งสายตาดุไปที่เธอ แล้วเอ่ยตำหนิขึ้นมา “เสี่ยวเย่ !”

เย่หนิงเรียกสติกลับมาได้อีกครั้ง เธอรีบก้มหัวลง ในหัวมีแต่ความสับสนวุ่นวาย เธอไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? แต่ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้จะให้เธอพุ่งเข้าไปถามเสิ่นอี้ตรง ๆ เลยก็ไม่ได้ คงได้แต่อดกลั้นเอาไว้ก่อน

ลู่เว่ยกุมใบหน้าของตนไม่กล้าแม้แต่เงยหน้าขึ้นมามอง คุณหมอเย่หิวกระหายจนถึงขั้นนี้แล้วเหรอเนี่ย ? ทำไมตั้งแต่เสิ่นอี้เข้ามา เธอทำตัวไม่เป็นปกติเลย แม่คุณเอ๊ย คนอื่นมองขนาดนี้ เธอไม่รู้สึกอายบ้างเลยหรือยังไงกัน ?

พอเห็นว่าเย่หนิงมีสีหน้าเหม่อลอยไร้ชีวิตจิตใจ ลู่เว่ยจึงลดเสียงถามขึ้น “ลูกพี่เย่ ตกลงพี่เป็นอะไรกันแน่ ? ถ้าหากใครที่ไม่รู้เรื่อง เขาคงต้องคิดว่าพี่โดนศาสตราจารย์เสิ่นทิ้งแน่ ๆ”

เกิดอะไรขึ้นน่ะหรือ ? เธอเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้น แล้วทำไมในหัวของเธอต้องเอาแต่คิดเรื่องที่ไม่ควรคิดด้วยล่ะ ! อย่างเช่น ผู้ชายคนที่ถูกเธอถอดเสื้อผ้าออกจนหมด......

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเอาใบหน้าผู้ชายที่เห็นในคืนนั้นมาซ้อนทับกับใบหน้าของเขาในตอนนี้แล้ว ในใจของเย่หนิงก้รู้สึกอับอายจนแทบจะเป็นบ้าไปเสียแล้ว

แต่หยางปินกลับรู้สึกอับอายมากกว่าเธอเสียอีก เขารีบขอโทษขอโพยศาสตราจารย์เสิ่นสียยกใหญ่ “เอ่อ...ขอโทษนะครับ ดูท่าศาสตราจารย์เสิ่น คงจะมีคนมาชอบมากมายเลยนะครับ แหะ ๆ...”

เสิ่นอี้มองไปที่เย่หนิงเพียงแวบหนึ่ง “แต่คนที่ชอบผมจนถึงขนาดเสียศูนย์แบบนี้ ผมก็เพิ่งจะเคยเจอเป็นครั้งแรกนะครับ”

ตำรวจหลายนายต่างหัวเราะขึ้นมาเสียงดังลั่น

เย่หนิงแทบจะมุดโต๊ะหนี เธออับอายจนไม่รู้จะอับอายยังไงแล้ว !

แต่พอเมื่อเสิ่นอี้พูดขึ้นมาเมื่อกี้นี้ เย่หนิงก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้นกว่าเดิมว่า เขาต้องเป็นคนเดียวกันกับคนเมื่อคืนนั้นแน่ ๆ !

ตั้งแต่เล็กจนโต ประสาทสัมผัสทางเสียงของเธอค่อนข้างจะดีเป็นพิเศษ ทุกสิ่งทุกอย่างถ้าผ่านเข้าหูของเธอแล้วเธอจะไม่มีวันลืม โดยเฉพาะเสียงพูดของคนคนเดียว ถึงแม้จะแตกต่างเพียงนิดเดียว แต่เธอก็สามารถแยกแยะออก เพราะอย่างนี้ เธอถึงได้มั่นใจนักว่าเสิ่นอี้คนนี้ ต้องเป็นคนเดียวกันกับเมื่อคืนแน่ ๆ

ส่วนที่ว่าทำไมเขาถึงได้ปรากฏตัวและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย รวมถึงเข้ามาที่หอพักของเธอได้ด้วยวิธีไหนนั้น เธอก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี แต่มีบางสิ่งบางอย่างที่เธอมั่นใจเป็นอย่างมาก นั่นก็คือตาเสิ่นอี้คนนี้น่าจะมีปัญหา และน่าจะเป็นปัญหาใหญ่เสียด้วย !

แต่โชคดีที่ว่าเสิ่นอี้ไม่ได้ซักถามอะไรต่อ เขากลับเปลี่ยนประเด็นไปคุยเรื่องคดี เพื่อกลบเกลื่อนความอับอายของเธอ

เขาให้หยางปินเล่าถึงรูปคดีอย่างคร่าว ๆ หลังจากนั้นก็ให้ทุกคนดูรูปภาพที่ถ่ายจากที่เกิดเหตุกันเสียก่อน

“ผู้เคราะห์ร้ายเหล่านี้ ล้วนเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยซีอวิ๋น ผู้เคราะห์ร้ายรายแรก หวังจวิ้น เพศชาย อายุยี่สิบปี นักศึกษาปีสามเอกเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยซีอวิ๋น รายที่สอง จางหลิงคุน เพศชาย อายุยี่สิบเอ็ดปี นักศึกษาปีสามเอกบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยซีอวิ๋น รายที่สาม ฟางอี้ อายุสิบเก้าปี นักศึกษาปีสองเอกการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยซีอวิ๋น นอกจากเป็นคนเมืองตงไห่เหมือนกันแล้ว ก็ไม่พบจุดร่วมใด ๆ”

เย่หนิงมองไปยังที่รูปภาพเหล่านั้น ส่วนหนึ่งเป็นรูปของหมู่บ้าน อีกส่วนหนึ่งเป็นรูปภาพของที่เกิดเหตุและเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย

ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเย่หนิงถึงได้มีความรู้สึกแปลกใจตลอดเวลา รูปภาพที่ดูเหมือนปกตินั้น กลับทำให้เธอรู้สึกตกใจและหวาดกลัวขึ้นมา

โดยเฉพาะต้นหวายแก่ตรงหน้าหมู่บ้านที่แตกกิ่งก้านสาขาใหญ่โต ภายใต้ท้องฟ้าอันมืดครึ้มนั้นดูโหดร้ายอย่างเห็นได้ชัด ราวกับกรงเล็บของสัตว์ป่าที่คอยจะขยุ้มหมู่บ้านก็ไม่ปาน

ในรูปบ้านที่ดูเก่าแก่คร่ำครึทำให้คนที่ได้มองรู้สึกหม่นหมอง ไม่รู้ว่าเธอรู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าชาวบ้านที่ปรากฏในรูปภาพเหล่านั้นดูเฉื่อยชา ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกเลยสักนิด

โกดังซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุนั้นมีขนาดใหญ่ พอมาอยู่ในชนบทเช่นนี้ก็ดูจะสะดุดตาเป็นพิเศษ ข้างนอกโกดังเป็นกำแพงฉาบด้วยปูน มีรอยแตกร้าวถี่ยิบเหมือนกับใยแมงมุมอยู่เต็มไปหมด มีปูนขาวบางส่วนหลุดลอกออกมาจนเห็นสีเดิมของตัวอิฐบล็อก มุมกำแพงเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ แล้วก็เปียกชื้นไปด้วยไอน้ำ

ประตูของโกดังเป็นประตูเหล็ก เมื่อเทียบกับสีแดงที่ทาใหม่กับกำแพงล้อมที่ผุพังแล้วนั้น สีแดงนั้นยิ่งดูสดและสะดุดตาเป็นพิเศษ ขั้นบันไดทางเข้าทั้งสองฝั่งกับรอยแตกนั้นต่างมีวัชพืชขึ้นโดด ๆ ออกมา

โกดังสูงห้าเมตรกว่า กว้างเกือบหกเจ็ดเมตร ลึกสิบกว่าเมตร มีขนาดใหญ่โต แต่ว่าทั้งอาคารนั้นกลับประดับเพียงตะเกียงเจ้าพายุ ที่แทบจะไม่ส่องสว่าง ให้ความรู้สึกถึงบรรยากาศมืดทึบ

ข้างในนั้นว่างเปล่า ไม่มีเสบียงอาหารเก็บไว้เลย มีเพียงกองข้าวเปลือกเล็ก ๆ วางอยู่ใกล้หัวมุม ด้านข้างเป็นบันได ที่จริงแล้วชั้นลอยข้างบนนั้นคับแคบมาก เพดานโกดังเป็นทรงสามเหลี่ยม ถ้าให้ผู้ใหญ่ขึ้นไปบนนั้นแม้แต่ช่วงเอวลงไปก็คงเข้าไปไม่ได้

ข้างบนนั้นมืดยิ่งกว่าเดิม ไม่มีแม้แต่โคมไฟ มีเพียงช่องหน้าต่างเล็ก ๆ ความกว้างไม่เกินยี่สิบเซนติเมตร อีกทั้งหน้าต่างก็ยังปิดอยู่ กลอนหน้าต่างเหล็กนั้นมีสนิมติดอยู่เป็นดวง ๆ จนดูไม่ออกว่าผ่านการใช้งานมานานเท่าไหร่แล้ว

ระยะห่างจากหน้าต่างลงมาบนพื้นนั้นห่างกันสี่เมตรห้าสิบเซนติเมตร กำแพงทั้งสี่ด้านขัดเป็นมัน ถ้าไม่ใช้อุปกรณ์ใด ๆ ก็ไม่มีทางที่จะปีนขึ้นไปได้ เมื่อดูจากสภาพที่เกิดเหตุแล้ว ฆาตกรคงไม่มีทางเข้ามาก่อคดีผ่านทางหน้าต่างบานนั้นได้อย่างแน่นอน

ประการแรกคือ หน้าต่างไม่มีร่องรอยของการเปิดออกมาก่อน

ประการที่สอง หน้าต่างนั้นแคบเกินไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ใหญ่เลย แม้แต่เด็กเล็กก็ยังเข้าไปได้ยาก

ประการที่สาม หน้าต่างนั้นถูกล็อกจากด้านใน ถ้ามีคนก่อคดีเสร็จแล้วหนีออกไปจากโกดัง ก็ไม่มีทางล็อกหน้าต่างจากด้านในได้เช่นเดียวกัน

เมื่อวินิจฉัยจากเหตุผลดังกล่าว ความเป็นไปได้ที่คนในจะก่อคดีนั้นมีโอกาสค่อนข้างสูง

ผู้ตายสามคนนั้นถูกพบอยู่บนชั้นลอยของชั้นสอง ร่างของทั้งสามคนนอนพิงอยู่ตรงนั้นอย่างสะเปะสะปะ เมื่อดูจากภายนอกแล้ว ไม่พบร่องรอยบาดแผลใด ๆ สีหน้าเรียบนิ่ง ราวกับแค่นอนหลับไป แต่ใบหน้าที่หลับสนิทที่ปรากฏอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่าไม่เข้ากันเลยสักนิด รู้สึกได้ว่าพวกเขาไม่ควรปรากฏอยู่ในที่แบบนี้เลย

เย่หนิงดูภาพหลายสิบรูปเหล่านั้นซ้ำไปซ้ำมา

ถึงจะดูไม่ออกว่ามีปัญหาอะไรในนั้นบ้าง แต่ก็รู้สึกว่าไม่ชอบมาพากล

ไม่ชอบมาพากลอย่างสุด ๆ !

บางทีบนร่างที่ไม่มีปัญหาอะไรเลยนั่นแหละคือปัญหาใหญ่ที่สุด

หยางปินเคาะโต๊ะเบา ๆ แล้วถามขึ้นว่า “เชิญทุกคนแสดงความเห็นได้ ทุกคนพบอะไรที่น่าสงสัยบ้างไหม ?”

เย่หนิงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นในทันที “หัวหน้าหยางคะ ในคำอธิบายรูปคดีที่บอกว่าไม่พบสาเหตุการตายนี่มันหมายความว่าอย่างไรกันคะ ?”

“จากภายนอกของศพ ตรวจไม่พบบาดแผลใด ๆ อีกอย่างผู้ตายก็ไม่เหมือนคนที่ถูกวางยาพิษจนเสียชีวิตด้วย...” หลังจากที่ลังเลมาสักพัก หยางปินก็พูดต่อ “เหมือนกับเสียชีวิตตามธรรมชาติ”

“เสียชีวิตตามธรรมชาติ ?” เย่หนิงร้องเสียงหลง “จะเป็นไปได้อย่างไรกัน !”

เสิ่นอี้พูดขึ้นอย่างเรียบ ๆ “ศพเพิ่งส่งมาถึง คงยังไม่ได้ชันสูตรศพเลยสินะครับ ไม่แน่ว่าถ้าขันสูตรแล้ว เราอาจจะพบอะไรบนตัวศพบ้างก็ได้”

เย่หนิงตกใจมาก “ยังไม่ได้ชันสูตรหรอคะ ?”