ตอนที่ 8 จิตแตกแยก
“นี่แก......” เย่หนิงอยากจะฟาดเขาสักที แต่ตอนนี้ในใจของเธอรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมาเล็กน้อย เป็นเรื่องที่ประหลาดชะมัด ลู่เว่ยจำอะไรไม่ได้เลยสักนิดเดียว รวมทั้งเหตุการณ์เมื่อตอนนั้นอีก เวลาผ่านไปแค่สองชั่วโมงเอง ต่อให้เขาเป็นคนขี้ลืมขนาดไหน แต่ก็ไม่น่าจะลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสองชั่วโมงที่แล้วได้นะ
มันชักจะแปลกเกินไปแล้ว
เหตุการณ์ที่ลากยาวจากเมื่อเย็นนี้ เริ่มจะไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว
ศพผู้ชายแปลกประหลาด......ศพที่ฟื้นขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ…...แล้วก็ลู่เว่ย…...ทำไมลู่เว่ยถึงจำเรื่องนี้ไม่ได้เลย ?
เย่หนิงมั่นใจเป็นอย่างมากว่าเธอไม่ได้ฝันไป เหตุการณ์ทั้งหมดเธอจำได้อย่างชัดเจน แม้กระทั่งตอนที่ลูบคลำบนตัวเขา ศพที่เย็นจัดนั่นทำให้เธอจำทุกอย่างได้อย่างชัดเจน แล้วแบบนี้จะเป็นความฝันได้อย่างไรกัน ?
ความรู้สึกในฝันไม่มีทางชัดเจนขนาดนี้หรอก !
ลู่เว่ยถามขึ้นด้วยความระมัดระวังที่สุด “ลูกพี่ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ไม่ได้เครียดไปใช่ไหม หรือว่าช่วงนี้เหนื่อยเกินไป ผมว่ารีบกลับบ้านไปพักผ่อนดีกว่านะครับ”
“มานี่ !” เย่หนิงลากลู่เว่ยแล้วเดินไป
“ลูกพี่ นะ...นี่ก็ดึกมากแล้ว จะไปไหนอีกหรือครับ...”
“ห้องควบคุม !”
เย่หนิงไม่มีทางเชื่อ คนทั้งคนจะหายไปไหนได้อย่างไรกัน ?
แล้วถ้าพิสูจน์แล้วผลออกมาว่า คนทั้งคนสามารถหายไปได้จริง ๆ ล่ะ
อย่างเช่นว่า “ศพผู้ชาย” ที่เธอมั่นใจหนักมั่นใจหนาว่าเอากลับมาด้วย กลับหายไปจริง ๆ
ในห้องควบคุม ไม่คาดคิดว่าจะตรวจสอบอย่างไรก็ไม่เจอคนผู้นั้นจริง ๆ ด้วย
เวลา 22.45 น. พวกเขาขับรถเข้ามาที่สำนักงานกรมตำรวจใหญ่ แล้วจอดรถไว้ที่โรงรถ คนที่ลงมาจากรถมีเพียงแค่สองคน ซึ่งก็คือเธอ กับลู่เว่ย
เธอถือกล่องอุปกรณ์เก็บตัวอย่างจากที่นั่นแล้ววิ่งไปอย่างรวดเร็ว มีลู่เว่ยวิ่งตามหลังมาโดยที่มือกุมท้องอยู่ ท่าทางน่าขบขัน
แต่สิ่งที่เธอจำได้นั่นก็คือ หลังจากที่พวกเธอลงจากรถแล้ว ทั้งสองคนก็ช่วยกันยกศพลงมา จากนั้นลู่เว่ยก็หามศพเข้าไปในห้องชันสูตรศพด้วยตัวเอง ส่วนเธอก็รีบวิ่งกลับไปเอากล่องอุปกรณ์เก็บตัวอย่าง ถ้าหากนับตามเวลาแล้ว ก็น่าจะเป็นช่วงเวลาสี่ทุ่มห้าสิบนาทีถึงประมาณห้าทุ่ม แต่เมื่อเธอเช็คเทปที่บันทึกย้อนหลังช่วงเวลานั้นกลับไปกลับมาอย่างซ้ำ ๆ อยู่เกือบสิบนาที ก็ตรวจสอบไม่พบอะไรเลย
เทปถูกบันทึกไว้เพียงช่วงเวลาหลังจากที่พวกเขากลับมาถึงกรมตำรวจ กับช่วงที่วิ่งออกจากที่จอดรถไปยังตึกสำนักงาน และหลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เย่หนิงไม่เลิกล้มความพยายาม เธอเช็คกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่ด้านหน้าของตึกสำนักงานอีกครั้ง รวมถึงกล้องวงจรปิดตรงระเบียง ผลที่ได้ก็ออกมาเหมือนกันหมด นอกจากเธอกับลู่เว่ยแล้ว ภาพที่บันทึกได้ก็ไม่ปรากฏร่างของใครอีก หรือจะพูดได้ว่า สิ่งที่เธอคิดไว้ กับสิ่งที่ปรากฏในภาพวงจรปิดนั้นกลับไม่ตรงกัน
ในความทรงจำของเธอ พวกเขาจะต้องนำศพเคลื่อนย้ายเข้าไปในห้องชันสูตรศพแล้ว แต่ในภาพที่ปรากฏในกล้องวงจรปิด กลับเป็นภาพของเธอที่เดินถือกล่องอุปกรณ์เข้าไปในห้องชันสูตรเพียงคนเดียว หลังจากนั้นไฟในห้องก็ส่องสว่างอยู่ตลอด เวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง เธอก็ออกมาจากห้องชันสูตรศพ วิ่งกลับไปยังห้องทำงาน แล้วเข้าไปลากลู่เว่ยมาที่ห้องชันสูตร
แต่ในช่วงเวลาที่หล่อนออกมาจากห้องชันสูตรศพ ประตูห้องก็ยังคงปิดอยู่ตลอด แม้แต่เสี้ยววินาทีประตูก็ไม่ได้เปิดออกแม้แต่นิดเดียว เป็นไปไม่ได้เลยว่าที่จะมีคนเข้าออกห้องนั้นได้
พนักงานฝ่ายเทคนิคหาวขึ้นพลางถามว่า “คุณหมอเย่ เป็นยังไงบ้างครับ ? เช็คเจออะไรไหมครับ ?”
เขาไม่แน่ใจว่าเย่หนิงต้องการที่จะหาอะไร เปิดกล้องวงจรปิดดูย้อนไปย้อนมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่
เย่หนิงพูดไม่ออกเสียแล้ว
เธอไม่รู้จะอธิบายเหตุการณ์นั้นอย่างไรดี
เธอจำเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสองชั่วโมงนั้นได้อย่างชัดเจน แต่ลู่เว่ยกลับบอกเธอว่า ตอนที่อยู่บนถนนพวกเขาไม่ได้ขับรถชนใครเลยสักคน แล้วก็ไม่ได้พาใครกลับมาด้วย อีกทั้งตอนนี้ภาพในกล้องวงจรปิดก็ราวกับจะบอกเธอถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นแบบเดียวกันว่า ตอนที่เธอกลับมา เธอกลับมาพร้อมกับลู่เว่ย นอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีภาพของใครปรากฏอยู่ในกล้องวงจรปิดเลย ไม่ต้องพูดถึงคน แม้แต่เงาของภูตผีวิญญาณก็ไม่มีแม้แต่นิดเดียว
เมื่อเห็นสีหน้าของเย่หนิงฉายแววย่ำแย่เป็นอย่างมาก ลู่เว่ยจึงถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง “พี่เย่ พี่ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ ?”
เย่หนิงมองปราดไปที่ลู่เว่ย ตอนนี้เธอดูเหมือนไม่เป็นอะไรงั้นเหรอ ? เธอคิดว่านั่นแหละคือปัญหาใหญ่เลยล่ะ
อีกทั้งสถานการณ์ตอนนี้ แม้เธอจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็คงไม่มีใครเชื่อเธอแน่ ๆ
แม้แต่ตอนนี้ในใจของเธอเองก็เริ่มที่จะรู้สึกสงสัยขึ้นมาแล้ว เรื่องที่แปลกประหลาดเช่นนี้เธอก็เพิ่งจะเคยพบเคยเห็น
ถ้าหากจะบอกว่าลู่เว่ยหลับจนสติเลอะเลือนจำอะไรไม่ได้ไปเสียแล้ว แล้วกล้องวงจรปิดนั่นล่ะ ทำไมถึงถ่ายออกมาไม่ติด ?
แต่ถ้าหากจะบอกว่าเธอหลับฝันไปจริง ๆ ......ฝันนี้มันก็คงจะเหมือนจริงมากเกินไป
ต่อให้เธอตาย เธอก็ไม่ม่ทางเชื่อว่าเหตุการณ์ทุกอย่างที่เธอเพิ่งได้พบเจอมาล้วนเป็นแค่ความฝันเท่านั้น
“พี่เย่...” ลู่เว่ยถามขึ้นมาอย่างระมัดระวัง “ถ้าจะให้ผมพูดเนี่ย... ผมว่าลูกพี่คงเหนื่อยมากเกินไปแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนดีกว่านะครับ”
เย่หนิงรู้สึกว่าตัวเองคงต้องกลับไปสงบสติสักพัก เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นอย่างกะทันหันไปหน่อย เธอไม่ค่อยแน่ใจนักว่าทั้งหมดนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ดูท่าว่าค่อย ๆ กลับไปนึกจะดีเสียกว่า
เย่หนิงกลับมาตรวจสอบที่ห้องชันสูตรศพอีกรอบหนึ่ง หลังจากที่ตรวจดูจนมั่นใจแล้วว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงปิดไฟ ล็อกประตูห้อง แล้วเดินออกไป
เมื่อกลับมาถึงห้องพัก เธออาบน้ำอุ่นขัดสีฉวีวรรณเป็นอย่างดี เพื่อทำให้ตัวเองสดชื่น แต่เมื่อสมองยิ่งปลอดโปร่งมากขึ้นเท่าไหร่ ภาพเหล่านั้นก็ยิ่งจะชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น ภาพผู้ชายใบหน้าหล่อเหลาคนนั้นเหมือนเขายังอยู่ตรงหน้าของเธอเสียด้วยซ้ำ คิ้วเข้มราวกับวาด พาให้คนมองใจพองโต สีผมดำขลับดั่งน้ำหมึก สวมชุดสีขาวสะอาด สูงสง่าเหมือนหลุดออกมาจากภาพวาดโบราณ ทั้งตัวเต็มเปี่ยมไปด้วยราศีดั่งผู้ดีโบราณ
ทั้งที่ความทรงจำชัดเจนขนาดนี้ จะเป็นเพียงแค่ความฝัน หรือมโนไปเองได้อย่างไรกัน ? แล้วอันไหนเรื่องจริง อันไหนเป็นแค่ภาพลวงตา เธอเองก็ยังไม่แน่ใจ เธอไม่ได้เป็นโรคจิตแตกแยกสักหน่อย !
จิตแตกแยกหรอ ?
เย่หนิงรู้สึกตกใจขึ้นมาอีกครั้ง !
ขออย่าให้เป็นอย่างที่ลู่เว่ยพูดไว้เลย ว่าเป็นเพราะโดนแรงกดดันจากงานที่มากเกินไป จนอาจทำให้มีอาการจิตแตกแยก หลังจากนั้นก็ทำให้เกิดจินตนาการแปลก ๆ แบบนี้ขึ้นมา
แล้วจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน ?
เย่หนิงล้มตัวลงนอนแล้วหลับตา ภาพในหัวปรากฏซ้ำไปซ้ำมา เห็นเป็นหน้าตาชวนเย้ายวนของผู้ชายคนนั้น ทันใดนั้นเองในใจเธอก็ทอดถอนใจด้วยความเศร้า นี่เธอหลงเสน่ห์เขาเข้าให้แล้วหรือเปล่านะ ?
ก็เอาแต่คิดถึงแต่เรื่องฟุ้งซ่านแบบนี้ พอจะนอนก็เลยหลับไม่สนิท ทันใดนั้นเอง ไฟในห้องก็กระพริบขึ้นมา
เย่หนิงสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที
ลืมตาขึ้น ภายในห้องยังคงมืดสนิทอยู่
เป็นเพราะว่าฝนตก ทำให้อากาศไม่ได้ร้อนอบอ้าว เธอจึงไม่ได้เปิดแอร์ ประตูหน้าต่างก็ปิดสนิทมิดชิด ไม่มีทางที่น้ำฝนจะสาดเข้ามาในห้องได้ แต่ลมหนาวนั่น มันพัดมาจากไหนกันนะ ?
ไม่ได้คิดไปเองแน่ ๆ เธอรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ ลมหนาวเย็นยะเยือกพัดมากระทบเข้ากับใบหน้าของเธอจนรู้สึกขนลุก
จากนั้น หลอดไฟก็ค่อยส่งเสียงดังซ่า ๆ
เสียงนั้น......เหมือนกับเสียงที่เธอได้ยินจากในห้องชันสูตรศพ
ไฟกระพริบถี่ขึ้นจนไฟดับลงไป แต่เสียงดังซ่า ๆ นั้นกลับยังดังไม่หยุด ห้องที่เงียบเชียบแบบนี้ทำให้เสียงที่ได้ยินนั้นชัดเจนมากเข้าไป
ทันใดนั้น ที่บริเวณหัวเตียงก็เกิดเสียงขึ้นมาดัง “ปัง !”